xs
xsm
sm
md
lg

"บท(พูด)" จุดอ่อนความห่วยของละครไทย?

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


แม้จะมีการพัฒนาจากความบันเทิงเก่าก่อนอย่าง "ลิเก" กลายมาเป็น "ละคร" อย่างที่เราเห็นกันอยู่ในจอทีวี และถึงแม้จะมีการพยายามสรรหาเนื้อหาเรื่องราวที่หลากหลาย หาเทคนิกเอฟเฟ็กต์ที่แปลกแตกต่างทันสมัยมานำเสนอ แต่เมื่อจะนับถึงละครที่เรียกได้ว่า ดี สนุก และดูมีคุณภาพจริงๆ ของบ้านเราต้องบอกว่ายังน้อยกว่าละครที่มีคุณสมบัติตรงข้ามกันอยู่เยอะ

เหตุที่เป็นเช่นนี้ที่หลายคนรู้สึกอย่างแรกเลยก็คือเรื่องของ "บท" ที่ส่วนใหญ่ยังขาดความสมจริง ยัดคำพูดที่คนทั่วไปไม่พูดกันในชีวิตประจำวัน การกำหนดให้ตัวละครมีลักษณะโอเวอร์แอ็กติ้ง หรือบางครั้งก็กำหนดบทให้ตัวละครพูดกันซะจนแทบจะไม่ต้องใช้ทักษะที่เรียกว่า "การแสดง" อะไรเลย

สอบถามเกี่ยวกับข้อสมมติฐานนี้ไปยังผู้ที่ทำหน้าที่นี้อยู่อย่าง "พลอย” ผู้เขียนบทละครเรื่อง “วัยซน คนมหัศจรรย์” ของค่ายกันตนาเจ้าตัวได้แสดงทัศนะว่า จริงๆ แล้วคงจะไปเหมารวมไปทั้งหมดไม่ได้ หากแต่ขึ้นอยู่กับสไตล์ใครสไตล์มันมากกว่า

“แล้วแต่สไตล์ของคนเขียนมากกว่า เพราะตัวเองก็ไม่ได้เขียนแบบนั้น จะเขียนเป็นแอ็กชั่นเล่ามากกว่า"

"ซึ่งตรงนี้มันขึ้นอยู่กับสไตล์การเขียนของแต่ละคน อย่างละครเด็กถ้าพูดมาก เด็กก็จะเบื่อ ต้องสร้างสรรค์ให้ได้มากที่สุด อย่างเรื่องวัยซนจะสังเกตเห็นว่าจะไม่ค่อยพูด จะมีภาพเล่นตลอด”

“มันก็ขึ้นอยู่กับหลายๆ อย่างนะค่ะ คือบางทีมันต้องพูดให้กระจ่างไปเลยไม่ต้องให้คิดมากและ แต่ละฉากมันออนแอร์ไปไวมาก อีกอย่างต้องขึ้นอยู่กับตัวนักแสดงในการตีบทด้วยค่ะ ว่าจากตรงนี้เขาจะแสดงออกมายังไงบ้างค่ะ”

ถามถึงความรู้สึกที่หลายคนมองว่าสาเหตุที่ละครไทยดูแล้วไม่สนุกทั้งๆ ที่บางเรื่องมีเนื้อหาที่น่าสนใจ บางเรื่องก็ทำกราฟิกซะสวยงาม มีเอฟเฟ็กต์ที่สมบูรณ์สุดยอด แต่ทั้งหลายทั้งปวงก็ต้องมาตกม้าตายเพราะเรื่องบทว่า ในฐานะของคนที่ทำงานตรงนี้เจ้าตัวรู้สึกอย่างไรบ้าง? เรื่องนี้พลอยตอบว่า...

“ไม่ได้อึดอัดนะ เพราะว่าตัวเองจะมีโจทย์สำหรับตัวเองคือก็จะตอบโจทย์ให้กับตัวเองว่าเราเขียนบทเพื่ออะไร สำหรับตัวเองจุดประสงค์แรกเลยคือให้ความบันเทิงกับคนดูค่ะ”

“การเขียนบรรยายมากๆ เขียนให้ตัวละครพูดเยอะๆ เนี่ยมันบอกไม่ได้หรอกว่ามันเป็นจุดอ่อนหรือจุดเสีย มันต้องขึ้นอยู่กับสถานการณ์ของบทในขณะนั้นด้วย สิ่งสำคัญต้องรู้จุดประสงค์คนเขียนว่าการที่เขาบรรยายเขาต้องการจะบอกอะไร อย่างฉากดราม่าก็เป็นฉากที่ต้องการอารมณ์ หรือฉากนี้เป็นการบอกเล่าอะไรบางอย่างเขาถึงใส่ลงไป คือต้องดูเจตนาของคนเขียนในขณะนั้นแล้วก็ดูองค์รวมของเรื่องโดยรวมนะค่ะ”

ข้ามฟากไปยังค่ายเอ็กแซ็กท์ "นพ จิระศักดิ์" ซึ่งคลุกคลีอยู่กับบทละครและการกำกับละครหลายต่อหลายเรื่องที่ค่อนข้างจะได้รับคำชมในเรื่องของความสนุก ทั้ง “บางรักซอย9”, “เป็นต่อ”, “เฮงเฮงๆ”, “รักแปดพันเก้า” แสดงทัศนะว่าสาเหตุหนึ่งที่ทำให้บทละครไทยไม่ค่อยจะพัฒนาก็เพราะนิสัยของการดูละครส่วนใหญ่ไม่ได้เอาใจใส่กับตรงนี้มากนัก จึงทำให้คนเขียนบทเองติดนิสัยที่ทำอะไรง่ายๆ ไปด้วย

"อย่างของฝรั่งเวลาเขารีแลกซ์เขาก็จะนั่งดูเลย เหมือนเรานั่งดูหนังนะครับ อย่างของเมืองนอกในการแสดงความรู้สึกมันจะมากกว่าไดอะล็อกนะ อย่างหนังบ้างเรื่องให้มีแค่รีแอ็กของนักแสดงหรือความรู้สึกของนักแสดงหรือแค่ดนตรีเท่านั้น บางทีประกอบกันก็ได้ความรู้สึกออกมาอย่างที่ต้องการ"

"แต่ของไทยป้ากำลังขายส้มตำอยู่มั่ง กำลังทำกับข้าวกันอยู่มั่ง กำลังคุยกันอยู่บ้าง ละครไทยส่วนมากก็จะเป็นการตะโกนเรียก เหมือนกับว่าต้องเสียงดังเข้าไว้ ละครจึงมักจะใช้การส่งเสียงเยอะ มันเหมือนว่ากลายเป็นวัฒนธรรมไปแล้ว อย่างการที่เรากลัวใครสักคนแล้วเรานิ่งเฉย มันแค่อินเนอร์ออกมานั่นก็คือละครฝรั่ง แต่ละครไทยเนี่ย ถ้าเราโกรธแล้วเราบอกว่าโกรธ มันจะชัดมากกว่า”

ไม่ใช่เรื่องที่ผิดแต่เป็นเรื่องของรสนิยมและพฤติกรรมที่คนทำละครเองต้องศึกษาและปรับเปลี่ยน
“คือการดูของคนไทยอย่างที่บอกมันเยอะมากกว่าคนที่จะไปเสพละครที่ใช้ความรู้สึกดูนิ่งๆ คนดูหนังกับคนดูละครจะไม่เหมือนกัน อย่างคนดูหนังเราก็จะตั้งใจไปดูเลย แล้วก็ตั้งใจดู แต่ละครไทยมันฟรีไง ออกตอนนี้มีตบตีกันสนุกมาทำนิ่งๆ มีศิลปะมันก็จะได้กลุ่มคนไม่เยอะ"

"อย่างละครดีๆ ทำไมไม่เห็นดัง นั่นคือคนที่ดูละครแล้วเอามาเป็นศิลปะจริงๆ มันมีน้อย ในความรู้สึกคนไทยชอบอะไรที่เจี๊ยวจ๊าว อย่างคนไทยดูศิลปะเขาก็ไม่ได้ดูที่ศิลปะแต่จะชมแบบเผินๆ มันไม่เหมือนฝรั่งเวลาเขาชื่นชมอะไรเขาจะนุ่มลึกกับมัน”

ยอมรับว่าโดยส่วนตัวแล้วรู้สึกอึดอัดกับสิ่งที่เป็นอยู่เช่นกัน แต่นัยหนึ่งก็คือความท้าทายในการที่จะหาจุดลงตัวให้ได้
“ทางบริษัทเองก็อยากจะปรับการดูของคนเหมือนกัน อย่างรักแปดพันเก้าแต่ก่อนมาเป็นซีรีส์ฝรั่งเลย แต่การตอบสนองมันก็น้อย คนที่เป็นนักศึกษาเป็นคนทำงานเขาก็จะชอบแต่คนไทยส่วนใหญ่เขาไม่ชอบ คือเขาจะชอบให้มีฉากตบตีกันละครพวกนี้มันก็อยู่ไม่ได้"

"ก็เลยจะดูที่กระแสคนดูแล้วนำปรับกับตัวบทและเราก็พยายามที่จะผสมผสานให้เกิดความสุขกับคนดูทุกกลุ่ม แต่มันก็ยากเหมือนกันนะในการทำละครเรื่องหนึ่งให้ถูกใจทุกคน บางทีละครบางเรื่องไม่มีอะไรเลยแต่คนส่วนใหญ่ชอบคือมันต้องเป็นละครแนวตลาดๆ สนุกสนาน”

“รู้สึกอึดอัดนะ อย่างที่เราทำซิทคอมออกไปเนี่ย เวลาเราทำมุกเราจะให้ป้าเข้าใจหรือว่าจะให้นักศึกษาเข้าใจ คือมันจะต่างกัน ประชากร 60 ล้านคน มีประชากรที่เป็นป้าอยู่เท่าไรที่ไม่ใช่เด็กมหาวิทยาลัย มันก็ต้องคละๆ กันไป"

"อย่างของพี่ก็จะเป็นแบบผสมๆ กันไปแล้วแต่ว่าเขาจะมองกันอย่างไง แต่ตลาดทั่วไปเขาก็จะมองป้าเป็นแมส เขาจะทำให้คนกลุ่มใหญ่ดู”

เป็นคำตอบที่คงจะพอตอบคำถามได้ว่า ทำไมละครไทยถึงได้ซ้ำๆ ซากๆ และวนเวียนอยู่กับเรื่องที่เราเห็นๆ กันอยู่?
กำลังโหลดความคิดเห็น