xs
xsm
sm
md
lg

ตัวอันตรายในสายตาของดารา

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


เวลาที่อ่านข่าวบันเทิงเคยนึกสงสัยกันบ้างหรือไม่ว่าเรื่องบางเรื่อง ข่าวบางข่าวที่ลึกจริงๆ ของเหล่าดาราที่ตีแผ่ตามหน้าหนังสือพิมพ์หรือหนังสือบันเทิงทั้งหลายแหล่ ประเภทข่าวที่บ่งบอกถึงพฤติกรรมที่เหลวแหลกเลวร้ายของพวกคนบันเทิงนั้น สื่อมวลชนเขารู้มาได้อย่างไร?

ยกตัวอย่างเช่นข่าวดาราสาวใจแตกทำแท้งที่คลินิกย่านดัง, นักร้องหนุ่มอัพยาจนต้องหามส่งโรงพยาบาล, ซูเปอร์สตาร์สาวหิ้วไฮโซหนุ่มกกไกลถึงต่างประเทศ, นางเอกหลอกดูดเงินแฟนทอมจนหมดตัว, พระเอกมั่วกับนางเอกของเรื่องในกองถ่าย เรื่องเหล่านี้ล้วนเป็นความลับที่ใครๆ ก็อยากปิดบังกันไว้ทั้งนั้น

แต่ก็อย่างที่หลายคนชอบพูดกันว่า “ความลับไม่มีในโลก” หรือ “ถ้าไม่มีมูลหมาไม่ขี้” นั่นแหละ ถ้าไม่มีคนเอามาพูดหรือประจานความเน่าเฟะของบุคคลเหล่านั้น “ความจริง” และ “ธาตุแท้” ของคนดังเหล่านั้นจะปรากฎได้หรือ?

อันที่จริงตัวดาราเองก็น่าจะพอเดาได้ว่า “เรื่องลับ” ที่พวกเขาได้ก่อไว้นั้น มีใครบ้างที่รู้และใครกันน่าจะเป็นคนที่เอามาแฉ !!!

จะแฉเพราะอิจฉาหรือเพราะเมาท์กันแค่สนุกปากภายในกลุ่มแต่เรื่องก็มาถึงหูนักข่าวจนได้หรือจะเพื่อเงินที่ได้ตอบแทนมาจากการ “ขายข่าว” ก็นั่นปะไร ล้วนเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้ทั้งนั้น และบุคคลต่อไปนี้แหละที่น่าจะได้ชื่อว่าเป็น “ตัวอันตรายของดารา”

“กี้คิดว่าเพื่อนดาราด้วยกันเนี่ยแหละ เพราะว่ากี้เห็นมาเหมือนกันแบบว่าเพื่อนนินทากันเองน่ะ เราก็เอ๊ะ!คู่นี้เขาสนิทกันไม่ใช่เหรอแล้วเขาเอามาพูดได้ไงอย่างงี้” นี่เป็นคำบอกเล่าของนางเอกสาว “พิงค์กี้ สาวิกา ไชยเดช” ที่พูดถึงต้นเหตุที่ทำให้เรื่องลับของเหล่าดาราถูกประจานออกมา นั่นไม่ได้มาจากใครที่ไหนก็ “เพื่อนดารา” ด้วยกันเองนี่แหละ ซึ่งด้วยเหตุนี้เองทำให้พิงค์กี้จึงไม่ค่อยอยากมีเพื่อนในวงการบันเทิงสักเท่าไหร่

“เรื่องที่เพื่อนดาราปล่อยข่าวกันเองกี้คิดว่าอาจจะมีอย่างนั้นด้วย และก็ด้วยความที่กลัวแบบคนอื่นดังกว่าก็เลยพูดออกไป แบบว่าพูดอ่อยๆ ว่าอย่าไปบอกใครนะ แต่ เอ๊! แล้วคนเขาจะเก็บความลับเหรอซึ่งมันก็เสียสำหรับตัวเขาเองที่พูดออกมาด้วยนะ ก็จะดูไม่ดีน่ะค่ะ”

“กี้จะไม่ค่อยมีเพื่อนดาราหรอกค่ะคือมีเยอะนะแต่ไม่สนิท ที่สนิทก็จะมีบี-มาติกา คือเขาเป็นคนตรงๆ แล้วก็รู้จักกันมาตั้งแต่เด็กแล้ว ไม่มีอะไรต้องมาอิจฉากันแล้วก็ปิดบังกันค่ะ”

ยังมีมุมมองของอีกหลายคนที่คิดว่าบุคคลที่ “น่ากลัว” สำหรับดาราไม่แพ้เพื่อนดาราด้วยกันเอง นั่นก็คือ “ช่างแต่งหน้า” และ “ผู้จัดการส่วนตัว” เหตุเพราะว่าพวกเขาหรือเธอจะต้องคลุกคลีกับตัวดารามากที่สุด ซึ่งบุคคล 2 กลุ่มนี้ก็มักจะมีบุคลิกช่างเจ๊าะแจ๊ะเจรจาพาทีไปเรื่อย จนบางทีอาจได้ล่วงรู้เรื่องที่ไม่ควรรู้และไม่ควรบอกใครของเหล่าดารามาบ้างก็เป็นได้

แต่ก็มีเสียงคัดค้านอยู่บ้างเหมือนกันที่คิดว่า “ผู้จัดการส่วนตัว” ไม่น่าจะเป็น “ตัวอันตรายของดารา”
“ผู้จัดการเหรอคะคือก็อาจจะมีน้อยนะเพราะว่าเขาต้องรักษาผลประโยชน์ของคนของเขาอยู่น่ะค่ะ ฉะนั้นกี้ก็คิดว่าไม่น่านะ” พิงค์กี้ แสดงความคิดเห็น

แต่สำหรับกรณีของ “ช่างแต่งหน้า” พระเอกหน้าทะเล้น “ซี ศิวัฒน์ โชติชัยชรินทร์” ค่อนข้างที่จะฟันธงว่าพวกเขาเหล่านี้นี่แหละที่จะมาแทงข้างหลังเหล่าดาราได้เหมือนกัน
“อันนี้มันก็ตอบยากนะครับเพราะว่าใครๆ ก็สามารถเป็นตัวอันตรายได้ทั้งนั้น ถ้าเขามาทำไม่ดีกับเราแต่ที่เจอพวกช่างแต่งหน้าก็มีบ้างครับ”

นั่นก็เป็นเรื่องของถ้อยคำที่อาจจะมีบ้างที่คนพูดอาจจะต้องการใส่ร้ายกันเองจนทำให้เป็นกระแสข่าวฉาวขึ้นมาให้นักข่าวต้องตามเจาะตามขุดตามคุ้ยกันต่อไป ซึ่งส่วนใหญ่แล้วก็ล้วนมีมูลมาจากความจริงทั้งสิ้นแต่ในเมื่อตัวดาราที่ตกเป็นข่าวออกมาแก้ต่างว่าไม่ใช่ ไม่จริง คนอ่านก็อาจเชื่อตามคำให้สัมภาษณ์ของเหล่าดารานั้นแล้วก็พลอยด่าไล่หลังเหล่านักข่าวว่าเป็นพวกไม่มีจรรยาบรรณกุข่าวขึ้นมาขาย นั่นก็ว่ากันไป

เพราะฉะนั้นการแฉจึงไม่สิ้นสุดเพียงแค่ด้วยคำพูดของ “แหล่งข่าว” แต่มี “จอมแฉ” ตัวใหม่ซึ่งเหล่าคนในโลกมายาต่างหวาดกลัวกันเหลือเกิน นั่นก็คือ “ปาปารัซซี่” ไม่ต้องมีคำพูดใดๆ ออกมาจากปากของแหล่งข่าวหรือตัวดารา แค่ “ภาพ” ที่ปรากฎนั่นก็พอจะบ่งบอกถึงพฤติกรรมของดาราได้บ้างแล้วว่าเขาและเธอประพฤติปฏิบัติตัวกันเช่นไร

“ซี ศิวัฒน์” เป็นดาราอีกคนหนึ่งที่เคยเป็นเหยื่อของปาปารัซซี่มาแล้ว โดยเป็นภาพที่เขาเดินควงคู่กระหนุงกระหนิงกับ “เอมี่ กลิ่นประทุม” ซึ่งถือว่าเป็นภาพที่ไม่แรงอะไรเลยแต่เขาก็ยอมรับว่าตัวอันตรายของดาราในความคิดเขายกให้ “ปาปารัซซี่” มาอันดับ 1 เลยทีเดียว

“ก็น่าจะเป็นปาปารัซซี่น่ะครับที่หนักสุดสำหรับผมแต่ผมก็ไม่กลัวนะครับ เพราะว่าถ้าเราไม่ได้ทำอะไรผิด ก็ไม่เห็นต้องกลัวน่ะครับ”

เหนืออื่นใดทั้ง “คำพูด” และ “ภาพ” ที่ถูกตีแผ่หรานั้นจะเกิดขึ้นไม่ได้เลย ถ้าไม่มี “นักข่าว” เป็นผู้เล่าเรื่องและนำเสนอออกมาให้คนได้รับรู้ จึงไม่เป็นเรื่องที่น่าแปลกอะไรถ้า “เหยี่ยวข่าว” จะติดอยู่ในโผรายชื่อ “ตัวอันตรายของดารา” เหมือนกัน

“ถ้าให้ตอบจริงๆ ก็คือที่อยู่วงการมา 20กว่าปี ไม่เคยกลัวอะไรเลยนะ แต่มาถึงวันนี้บอกตามตรงว่ากลัวข่าวที่ไม่จริง กลัวนักข่าวเอาเรื่องเราไปเขียนในสิ่งที่มันไม่เป็นความจริงแล้วทำให้เราเสียหาย เจอกับตัวเองแล้วมันรู้สึกว่าเศร้ามาก”

“สื่อที่ดีก็มี นักข่าวที่รู้ใจกันก็มีเยอะแยะ แต่ไอ้ที่ไม่ดี เล่นข่าวแรงๆ เนี่ยบางทีมันดูเกินไปแต่บางมุมก็มีส่วนดีนะ เพราะจะได้ตามจับพฤติกรรมดาราที่มันเลวๆ คุมให้รู้สติว่าไม่ควรจะทำตัวเสียหายนะ” “เอ้ ชุติมา นัยนา” ซึ่งครั้งหนึ่งเคยโดนเขียนข่าวกล่าวหาว่าเธอเป็นแม่เล้าหาสาวบริการให้อาเสี่ยจนมีคดีฟ้องร้องกันมาแล้วได้บอกเล่าถึงความรู้สึกของตัวเองที่มีต่อนักข่าวออกมาด้วยเสียงเรียบๆ

ทั้งนี้ทั้งนั้นถ้าตัว “ผู้กระทำ” ไม่ได้ “กระทำผิด” ก็ไม่เห็นว่าจะมีอะไรในโลกมาเป็นตัวอันตรายของเราได้ จึงมีดาราอยู่ไม่น้อยที่มีความคิดเห็นว่าก็ ”ตัวดารา” เองนั่นแหละ ที่ “อันตราย” แก่ตัวเองที่สุด โดย “ท๊อป พิพัฒน์ อภิรักษ์ธนากร” ได้พูดถึงเรื่องนี้ว่า

“โอ้โห ! ตัวอันตรายของดาราเหรอครับ ตัวเขาเองน่ะแหละครับ ก็ถ้าเกิดตัวเองทำอะไรไม่ดี คิดอะไรไม่ดี ก็ตัวเองแหละฮะอันตรายที่สุดแล้ว คนอื่นก็ไม่เท่าไหร่ คนอื่นก็ส่วนประกอบอยู่ที่ว่าเราจะเลือกทำหรือไม่ทำเท่านั้นแหละผมว่า”

ทางด้านพระเอกหนุ่มอารมณ์ติสต์ “ชาคริต แย้มนาม” ที่โดนมาหมดแล้วทั้งข่าวเสียๆ หายๆ และภาพปาปารัซซี่ก็ยังยอมรับว่าอะไรก็ไม่ร้ายเท่าใจของเราเอง

“ตัวเองเลยครับพี่ ดาราชอบลืมกำพืด ชอบลืมว่าตัวเองเป็นใคร หลงชอบเหลิงตัวเอง รู้สึกดีใจมากที่มีอาจารย์พันธุ์เทวนพ เทวกุล สอนให้เราเป็นตัวเราเอง”

“จะเป็นพวกช่างแต่งหน้า ปาปารัซซี่ ผมไม่กลัวน่ะ เฉยๆ เพราะเราพ้นตรงนั้นแล้วมั้ง ที่กลัวตัวเองหมายถึงเรื่องอื่นเพราะอะไรที่มันไม่จริง มันห้ามไม่ได้อยู่แล้วแต่เราจะไปปัญญาอ่อนกับตรงนั้นเหรอ ก็เคยรู้สึกทรมานมาตลอดเลย 2 ปีกับการที่ต้องตื่นขึ้นมาทุกเช้า ต้องมานั่งพิสูจน์กับอะไรก็ไม่รู้”

“ถ้าเราไปทำผิดมาแล้วเราอาจจะต้องมานั่งว่า เออ มันเกิดขึ้นเพราะสุดวิสัยนะแต่นี่คือเรายังไม่รู้เลยว่าเราไปทำอะไรมาแต่เขาพูดว่าเราทำน่ะ เรายังงงตัวเองเลยว่าเราไปเมายานอนหลับแล้วไปทำไรมารึป่าว จำไม่ได้ มันไม่ใช่อ่ะ ก็คือมันก็งงๆ โง่ๆ อยู่พักนึง ตื่นมาแล้วแบบอะไรวะ”

“แต่มาเดี๋ยวนี้ก็คือเออเป็นเรื่องปกติของดาราใช่มะ ฮอลลีวูดก็โดน ญี่ปุ่นฮ่องกงก็โดน ก็เจอกันหมดก็เป็นเรื่องปกติน่ะ สุดท้ายแล้วเราจะบ้าทำไม มันไม่ใช่เรื่อง เราก็รู้ตัวเราเองอยู่แล้วมันก็จบเท่านั้นเอง"



กำลังโหลดความคิดเห็น