ฉากหนึ่งที่ผมจำได้แม่นในหนังเรื่อง The Virgin Suicides ของโซเฟีย คอปโปลา เพราะนอกจากจะเศร้าชนิดดูดเอาน้ำหล่อเลี้ยงหัวใจให้เหือดแห้งไปหมดแล้ว มันยังอธิบายใจความของเรื่องได้ชัดเจนมากที่สุดอีกด้วย - ฉากที่ว่าเป็นตอนที่ เซซิเลีย น้องสาวคนเล็กวัย 13 พยายามฆ่าตัวตาย แต่หมอก็ช่วยเธอไว้ได้ทัน
หมอถอนหายใจพลางเอ่ยปากว่า เด็กน้อยทำอะไรลงไป “เธอยังไม่โตพอที่จะรู้ว่าชีวิตมันแย่ขนาดไหนด้วยซ้ำ”
คำตอบของเซซิเลียฟังดูโง่ๆ “หมอจะรู้อะไร หมอไม่เคยเป็นเด็กหญิงอายุ 13 นี่”
ยอมรับว่าถึงตอนนี้ผมก็ยังไม่เข้าใจเซซิเลียทั้งหมด ก็แน่ล่ะ ผมไม่เคยเป็นเด็กสาวอายุ 13 อย่างที่เธอบอกจริงๆ แต่ความไม่เข้าใจมันก็คนละเรื่องกับการรู้สึกเห็นอกเห็นใจเด็กสาวแบบเธอ ผมลองคิดไปว่า ตัวเองคงอึดอัดน่าดู ถ้าหากไม่สามารถอธิบายความรู้สึกลึกๆ ให้คนรอบข้างรับรู้หรือเข้าใจได้
ผมเชื่อของผมว่าไม่ใช่เฉพาะเด็กสาวอายุ 13 หรอกที่เต็มไปด้วยความซับซ้อนทางอารมณ์ ใครๆ ก็มีทั้งนั้น แต่เด็กในช่วงวัยรุ่นอาจเป็นมากกว่าคนในช่วงชีวิตอื่นๆ เพราะมีปัจจัยเรื่องสารเคมีในร่างกายเข้ามาเกี่ยวข้อง พวกเขาต้องรับมือกับความเปลี่ยนแปลงทางกายภาพชนิดใหญ่หลวง ระดับอารมณ์เองก็แปรปรวนขึ้นลง เป็นการเผชิญหน้ากับปัญหาตามลำพังที่ไม่ต้องการให้ผู้ใหญ่เข้ามามีส่วนร่วม
ไม่ค่อยมีอะไรเหมือนกันนัก โทนของหนังก็ต่างกันด้วย แต่หลังจากดู The Sisterhood of the Traveling Pants จบ ผมก็พาลนึกถึงหนังหลายๆ เรื่องอย่างไม่ตั้งใจ และ The Virgin Suicides ก็เป็นหนึ่งในนั้น
หนังทั้งสองเรื่องพูดถึงเด็กสาวที่ยังไม่โตเต็มที่ ร่างกายอาจดูเป็นผู้ใหญ่กันแล้ว แต่จิตใจยังเปราะบาง ใสบริสุทธิ์ไม่ต่างจากเด็ก ข้อแตกต่างระหว่างเด็กสาวและเด็กชายคือ พวกเด็กผู้หญิงเป็นพวกที่มีความสุขอยู่กับเทพนิยาย และฝันเพ้อๆ (ในขณะที่เด็กผู้ชายทิ้งอะไรเทือกนี้ไปตั้งนานแล้ว) ทึกทักเอาว่ามันอาจเกิดขึ้นได้จริงๆ แล้วก็ยึดถือเป็นแนวทางการดำเนินชีวิตด้วย
ตัวละครเอกเป็นเด็กสาววัย 15 หยกๆ 16 หย่อนๆ จำนวน 4 คน - บริดเจต, ทิบบี, เลนา และคาร์เมนรู้จักกันตั้งแต่พวกเธอยังไม่ลืมตาดูโลก เพราะแม่ของพวกเธอรู้จักกันมาก่อน โตมาก็ติดหนึบไปไหนมาไหนด้วยกัน ทั้งๆ ที่ดูจากบุคลิกแล้วเรียกได้ว่าไปกันคนละทาง
บริดเจตเป็นคนโดดเด่น เพราะสวยที่สุดในกลุ่ม เป็นนักกีฬา เป็นพวกที่ชอบเอาชนะ ตรงข้ามกับเลนาที่ไม่เอาอะไรเลย เธอดูหงิมๆ เพื่อนว่าไงก็ว่าตามกัน ดีใจก็หัวเราะเสียงค่อยๆ ทำตัวเป็นผู้ตามที่ดี จะว่าเลนาไม่เอาอะไรสักอย่างก็ไม่เชิง อย่างน้อยเธอก็มีพรสวรรค์เรื่องวาดรูป ท่าทีเงียบขรึมอาจเป็นลักษณะของศิลปินที่มีความสุขอยู่ในโลกของตัวเอง
ทิบบีเป็นสาวห้าว มีความคิดและอุดมการณ์ของตัวเอง แต่งตัวได้ประหลาดที่สุด แต่ก็มีความเป็นผู้ใหญ่มากที่สุดในกลุ่ม คนสุดท้าย – คาร์เมน เป็นเด็กสาวร่างท้วมอารมณ์ดี ขี้โวยวาย คล้ายจะเอาตัวเองเป็นศูนย์กลางนิดๆ แต่ก็แคร์เพื่อนๆ มาก เธอเป็นคนเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นในหนัง ซึ่งก็เหมาะสมแล้ว เพราะเด็กสาวเป็นคนที่ได้เรียนรู้อะไรมากที่สุดหลังจากเรื่องดำเนินมาถึงตอนจบ
เรื่องเริ่มต้นขึ้นเมื่อคราวที่ทั้งสี่ไปซื้อเสื้อผ้าในร้านแห่งหนึ่ง แล้วพบว่ากางเกงยีนส์ธรรมดาๆ ที่ไม่ได้ดูพิเศษอะไรเลย สามารถใส่เข้ารูปได้กับทุกคน ไม่ว่าจะเป็นหุ่นแห้งๆ ของเลนา ไปจนถึงหุ่นตันๆ ของคาร์เมน - - ทั้งหมดเลยเชื่อมั่นแบบไม่หาอะไรมาคัดค้านว่านี่คือ กางเกงมหัศจรรย์ที่ใครสักคนส่งมันมาให้แก่พวกเธอ
ทั้งสี่ตกลงกันว่าจะเวียนกันใส่กางเกงยีนส์ตัวนี้ในช่วงหน้าร้อนคนละ 1 อาทิตย์ ต่างภาวนาว่าเรื่องดีๆ จะต้องเกิดขึ้น และนี่จะเป็นหน้าร้อนที่จะเปลี่ยนแปลงชีวิตของพวกเธอ มันจะกลายเป็นช่วงเวลาที่น่าจดจำมากที่สุด
ความคาดหวังของทั้งหมดเป็นจริงแค่ครึ่งเดียว เรื่องดีๆ ไม่เกิดขึ้นกับใครเลย เลนาไปเยี่ยมบ้านปู่ที่กรีซ และดันไปชอบพอกับหนุ่มที่อยู่ในครอบครัวซึ่งเป็นศัตรูกับบรรพบุรุษของเธอ, บริดเจตไปเข้าค่ายกีฬาและพยายามยั่วยวนโค้ชหนุ่ม แต่หลังจากมีเซ็กซ์กันแล้ว แทนที่จะเติมเต็มบางอย่างที่ขาดหายไปในชีวิต เธอกลับพบว่าจิตใจนั้นเบาโหวงยิ่งกว่าเดิม
ทิบบีพยายามทำหนังสารคดีในช่วงหน้าร้อน แต่ก็เจอเด็กแสบคนหนึ่งมาป่วนตลอดเวลา ส่วนคาร์เมนนั้นตั้งใจไปพักกับพ่อของเธอที่ต่างเมือง แล้วพบว่าพ่อมีครอบครัวใหม่ที่แสนอบอุ่น และเธอก็เป็นส่วนเกินของทุกอย่างที่ลงตัวเรียบร้อยแล้ว
มันเป็นเรื่องเจ็บปวดเล็กๆ น้อยๆ ที่เด็กสาวจะต้องเจอ แต่ก็ไม่มีวิธีไหนจัดการกับมันได้ดีกว่าการเผชิญหน้ายอมรับความจริง ทุกคนเจ็บแล้วค่อยโตกันทั้งนั้น อาจฟังเป็นวลีเชยๆ แต่ชีวิตก็เป็นแบบนี้
จากที่ไม่เคยกล้ากับอะไรเลย เลนาประจันหน้ากับปู่ขอเธอ เพื่อร้องขอความเป็นธรรม, ทิบบีมักมองทุกอย่างในแง่ร้าย แต่แล้วก็ได้เห็นอีกด้านที่งดงามของมัน, บริดเจตยังคงคิดถึงแม่ผู้จากไป และพยายามโหยหาความรัก โดยลืมไปว่าเพื่อนๆ คืออีกคนที่เธอสามารถเอนตัวไปซบตรงไหล่เพื่อร้องไห้ได้ ส่วนคาร์เมน ได้เรียนรู้ว่า ทุกคนก็มีปัญหากันทั้งนั้น ไม่ใช่เธอคนเดียว และการเรียกร้องทุกสิ่งเพื่อตัวเอง มันดูเห็นแก่ตัวเกินไป
The Sisterhood of the Traveling Pants เป็นหนังที่มีโครงเรื่องซ้ำๆ ประเภท “แล้วฤดูร้อนปีนั้น ชีวิตฉันก็เปลี่ยนไป” (ในหนังก็มีประโยคนี้ปรากฏอยู่ด้วย) แต่กลับเอาตัวรอดจากการเป็นหนังเบาๆ ได้เพราะมันพยายามบอกเล่าประเด็นที่จับต้องได้ และถ่ายทอดมันออกมาในท่วงทำนองที่ไม่เหนือจริงจนเกินไปนัก
ที่สำคัญ หนังไม่ได้เทศนาจนเกินงามว่า เด็กสาวควรปฏิบัติตัวเช่นไร เมื่อวาระสำคัญแห่งการเติบโตก้าวเข้ามาถึง เรื่องบางเรื่องไม่สามารถแก้ได้ในทันที บางอย่างก็ต้องอาศัยเวลาและความอดทนเหมือนกัน
ผมดูแล้วก็ยังมีบางจุดที่ไม่ได้เข้าใจแบบชัดเจนนัก อารมณ์หญิงๆ แบบนี้ อาจจะต้องให้ผู้หญิงด้วยกันดูคงจะสื่อถึงกันได้ง่ายกว่า และผมก็อนุมานเอาว่า หนังเองก็ไม่ได้ให้ตัวละครทั้งสี่ เข้าใจสิ่งที่ตัวเองทำทั้งหมดด้วย แต่นั่นก็ไม่ใช่ประเด็น เพราะแก่นของมันอยู่ที่ พวกเธอได้เผชิญหน้ากับชีวิตไปอีกขั้นหนึ่งแล้ว
อาจจะไม่ใช่ขั้นที่สูงอะไรมากมาย แต่ก็พูดได้ว่า เติบโตขึ้นอีกนิดนึงแล้ว