แม้ชื่อเสียงและภาพลักษณ์ที่ออกมาจะไม่ดีนัก แต่อย่างหนึ่งที่คนในวงการบันเทิงจะต้องขอบคุณผู้ชายที่ชื่อ "พจน์ อานนท์" ก็คือสายตาอันเฉียบคมของเขาในฐานะ "แมวมอง" ปั้นดาราขึ้นมาให้กับวงการบันเทิงบ้านเรามากมายหลายต่อหลายคน
ที่สำคัญในจำนวนหลายคนที่ว่าล้วนแล้วแต่อยู่ในระดับที่ต้องบอกว่าไม่ธรรมดา
ไล่มาตั้งแต่ยุคแรกๆ อย่าง ต้น จักรกฤษณ์ ถัดมาก็เป็นรุ่นของ เต๋า สมชาย, มอส ปฏิภาณ, แอนดริว และปัจจุบันล่าสุดที่สาวๆ กำลังกรี๊ดกร๊าดกันอยู่ในตอนนี้อย่างนักร้องดัง "ฟิล์ม รัฐภูมิ"
อย่างไรก็ตามแม้จะได้ชื่อว่าเป็นนักปั้นมือฉมัง แต่ดูเหมือนว่าการเป็นนักบริหารและการเป็นนักจัดการของเขาคนนี้จะมีปัญหาอยู่พอสมควร เนื่องจากบรรดาเด็กๆ หลายต่อหลายคนที่เขาส่งให้มีชื่อเสียงขึ้นมาล้วนแล้วแต่เดินจากเขาไปโดยมีข่าวตามมาในทำนองที่ไม่ค่อยดีสักเท่าไหร่
“ผมถือว่าตัวเองเป็นส่วนหนึ่งที่เปลี่ยนแปลงวงการบันเทิงนะ คือตอนนั้นซึ่งถือว่าเป็นยุคแรกๆ มันมีแต่สันติสุข จินตหราไง แต่มาตอนหลังกลายเป็นมอส ปฏิภาณ เต๋า สมชาย เป็นดาราวัยรุ่นหมดเลย"
จุดเริ่มต้นมันมาอย่างไร?
"พอดีตอนนั้นผมทำงานอยู่ที่นิตยสารเธอกับฉัน มีหน้าที่ต้องหาเด็กวัยรุ่นมาถ่ายแบบขึ้นปกอยู่แล้ว คือผมทำงานตรงนี้แต่อายุ16 เป็นบรรณาธิการตอนอายุ 18 ทำงานแค่ 2 ปีก็ได้เลื่อนตำแหน่งเป็นบรรณาธิการเลย"
“สาเหตุที่ต้องงานตั้งอายุยังน้อยก็เพราะว่าไม่มีเงินเรียนจบแค่ ม.6 เลยคิดว่าออกมาทำงานเลี้ยงตัวเองดีกว่า อีกอย่างอาจจะเป็นเพราะชอบและก็ไฝ่รู้ด้านนี้อยู่แล้วด้วย ตอนแรกเลยเขาติดต่อมาให้ไปเป็นนายแบบก่อนซึ่งช่วงนั้นทำงานเป็นเด็กเสิร์ฟอยู่ที่โรงแรมแอมบาสเดอร์ ก็เลยอยากลองดู ถ่ายอยู่สักประมาณ 2 – 3เล่มก็รู้สึกไม่ชอบ ไม่ค่อยถนัด เลยขอเขามาทำงานที่ถนัดดีกว่า”
“ช่วงที่ทำงานหนังสือก็ขยันอย่างเดียวไฝ่รู้เยอะๆ มีปัญหาอะไรไม่เข้าใจก็ถามผู้รู้ ศึกษา อ่านตำราคือทำทุกวิถีทางที่จะหาความรู้ใส่ตัวเอง ทำงานตรงนี้มาก็หลายปี อายุ 24 ก็เริ่มผันตัวเองมาเป็นผู้กำกับดูบ้าง อันนี้ก็ถือว่าเป็นจุดเปลี่ยนชีวิตของเราเหมือนกัน และส่วนใหญ่คนที่มาเล่นหนังด้วยก็จะเป็นนางแบบนายแบบที่ถ่ายแบบขึ้นปก รู้สึกถูกใจใครถูกใจใครก็เรียกมาถ่าย คือชอบนิสัย คุยกันแล้วไปด้วยกันได้ ขยัน เพราะเรื่องแบบนี้ไม่ได้เอามาทำกันได้ทุกคน”
เด็กปั้นในยุคแรกๆ?
“เด็กปั้นรุ่นแรกที่ถือว่าบูมสุดๆ ในสมัยนั้นก็ต้องยกให้พระนางคู่ขวัญ “ ต้น - จักกฤษณ์ ” และ “โจ้ - นิสา วงวัฒน์ ที่เสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางรถยนต์ ต้น จักกฤษณ์ อัมรัตน์ ผมพาเข้ามาเริ่มจากถ่ายแบบ เดินแบบ ถ่ายโฆษณาจากนั้นจึงพามาเล่นละคร แล้วก็มารุ่นไอ้มอส เต๋า แอนดริว ฟลุค เกริกพล, จอห์น ดีแลนด์ ฯลฯ แต่ละคนก็ถือว่าโด่งดังมีชื่อเสียงไปในทางที่ตัวเองถนัดและชอบ ล่าสุดก็ไอ้ฟิล์มนี่แหละครับ”
มีวิธีมองยังไงว่าใครสามารถเข้าวงการได้?
“ผมคิดว่าชาติที่แล้วคงจะทำเวรทำกรรมกับเขาไว้ถึงได้เจอกันแล้วต้องมาช่วยสนับสนุนกัน อยู่ๆ กับคนๆ หนึ่ง อย่างไอ้มอสอย่างนี้ผมไปเดินเล่นมาบุญครองผมก็เจอมัน ไอ้ฟิล์มอย่างนี้จู่ๆ ก็เจอมัน เป็นดวงที่แบบเมื่อชาติที่แล้วทำบุญมาด้วยกันหรือว่าใช้เวรใช้กรรมพวกมัน ดวงดีมันด้วยครับพวกนี้ ส่วนใหญ่ก็จะเจอตามห้างแล้วแต่”
ส่วนใหญ่เด็กสร้างจะเป็นผู้ชาย มีเหตุผลอะไรมั้ย?
“มันก็เป็นได้หมดแหละแต่ผมไม่ได้สนใจ ผู้หญิงก็มี เต๋า สโรชา ซึ่งเขาก็บูม อย่างเมื่อก่อนโน้นแต่มันก็ขึ้นอยู่กับดวงเขาด้วย”
ถามถึงวิธีการเข้าไปหาเป้าหมาย แมวมองชื่อดังบอกว่าไม่มีอะไรมากก็เข้าไปบอกตรงๆ ซึ่งแรกๆ อาจจะมีปัญหาเพราะเด็กส่วนใหญ่จะไม่รู้จักและออกอาการเหวอๆ ทว่าพอเริ่มมีชื่อเสียงอะไรทุกอย่างก็ง่ายขึ้น
“ก็เข้าไปบอกว่าถ่ายแบบมั้ย สนใจถ่ายแบบมั้ย ขอเบอร์มา หรือไม่บางครั้งก็ให้คนอื่นเดินเข้าไป บางคนเดินไปตอนแรกเขาก็เหวอ แต่พอหลังเราเริ่มเป็นที่รู้จักก็ไม่เหวอ อย่างไอ้ฟิล์มนี่มันก็รู้จักผม แต่ถ้าคนที่ไม่สนใจเราก็ปล่อย"
"คือผมไม่ได้เอาเด็กทุกคนมาอยู่ในสังกัด เราก็เลือกเหมือนกันไม่ใช่ใครก็มาเป็นเด็กพจน์ อานนท์ได้ ก็เลือกที่ดีที่สุดออกไป เพราะว่าเรามีสิทธิ์ที่จะการันตีได้”
“ที่สำคัญเลยนะเลยนะคนที่จะเข้ามาต้องนิสัยดี คือไม่จำเป็นต้องมาอยู่กับเราก่อนหรอกถึงจะรู้นิสัย ว่าเป็นยังไง พอเราเห็นปุ๊บเออเด็กคนนี้หน้าตาดี อันนี้คือสิ่งแรกที่จะมอง หลังจากนั้นต้องมีการคุยกันก่อน แล้วรู้สึกว่ามันใช่ถึงจะเอาไปฝากให้เล่นหนัง ร้องเพลง ถ่ายแบบไปตามเรื่องแล้วแต่ว่าเด็กมันมีความสามารถและถนัดทางด้านไหน”
มีเคล็ดลับส่วนตัวในการสร้างเด็กให้มีชื่อเสียงในวงการหรือเปล่า?
“ไม่มีเคล็ดลับอะไรหรอกครับหรอกครับ ถ้าเขาฟังเราทุกอย่างมันก็ง่ายขึ้น รวมทั้งสอนเขาด้วยว่าเวลาเจอผู้หลักผู้ใหญ่ควรจะวางตัวยังไง ทำตัวยังไง เมื่อเจอรุ่นพี่ที่เขาอยู่มาก่อนเราควรจะทำยังไง คือสอนหมดทุกอย่าง เสร็จแล้วก็มานั่งคุยกันอีกที แต่พวกนี้ส่วนใหญ่เขาจะเก่งกันอยู่แล้ว แต่ละคนมีพรสวรรค์กันอยู่แล้วในตัวเราไม่จำเป็นต้องไปใส่อะไรให้เขามาก”
“ถ้าเป็นสมัยก่อน อย่างยุคจินตหรา สันติสุขอาจจะต้องมีการเทรนกันเยอะหน่อย เด็กสมัยนั้นไม่ค่อยรู้เรื่องสักเท่าไหร่ แต่เดี๋ยวนี้เทคโนโลยีทันสมัยขึ้น เด็กมันก็ดูทีวี ข่าวในวงการอะไรเป็นยังไงก็รู้กันหมด ทำให้เขารู้จักวางตัวได้ในระดับหนึ่ง เราแค่เพิ่มเติมบางส่วนที่เขายังไม่รู้ลงไปเท่านั้นเอง”
ต่อความขัดแย้งกับเด็กที่ตนเองปั้นจนหลายต่อหลายคนเดินจากกันไปโดยมีข่าวคราวการทะเลาะเบาะแว้งกันนั้น เรื่องนี้แมวมองชื่อดังบอกว่าข่าวก็คือข่าวพร้อมกับยืนยันว่าความจริงไม่ได้มีการผิดใจกันแต่อย่างไร
"ไม่เคยทะเลาะกับเด็กไม่รู้จะทะเลาะทำไม นอกจากเขาเอาปัญหามาให้พี่เอง คือถ้ามีปัญหาก็เลิกคบกัน ล่าสุดก็ฟิล์ม แล้วก็มีน้องที่เล่นไฉไลอยู่ สองคน สามคน มันไม่ซ้ำรอย มันเป็นไปตามวัฏจักรอยู่แล้ว อย่างแอนดริวนี่ก็ไม่ได้โกรธอะไรกัน เขามาขอว่าอยากดูแลคิวเองผมก็ไม่ว่าอะไร จู่ๆ เขาก็ไม่คุย อย่างไอ้เต๋าตอนนั้นที่มีข่าวว่าชวนมาเล่นหนัง คือมันเป็นโปรเจ็กต์ที่เราคิดไว้ติดต่อก็ปรากฏว่าคิวไม่ได้ก็เลยชวดไป ไม่ได้ทะเลาะกันเลย ทุกวันนี้ผมกับไอ้เต๋ายังโทรคุยกันอยู่”
“ไม่ได้เป็นเพราะสาเหตุอะไรหรอกเพราะเขาก็มีงานทำของเขาผมก็มีงานทำของผม ไม่ได้กลัวเพราะมันเป็นแบบนี้อยู่แล้ว ไม่รู้ว่าเป็นเพราะจิตใต้สำนึกของเขาหรือว่าอะไรหรือเปล่าอันนี้ก็บอกไม่ถูก ผมไม่เคยชวนเด็กตัวเองมาเล่นเพราะไม่อยากบังคับ รู้ว่าเขาไม่มาอยู่แล้วก็เลยไม่ติดต่อไปดีกว่า เพราะบางทีมันติดติดอะไรเยอะแยะไปหมดบางทีผมก็เบื่อ”
“เขามีงานทำของเขาเราไม่ได้ซีเรียส เราก็ดีใจกับเขาที่ประสบความสำเร็จ มีชื่อเสียง คือเราไม่ได้คิดว่าช่วยสนับสนุนซึ่งเขาก็มีจุดเด่นอยู่แล้วในตัวแต่ละคนที่แตกต่างกันออกไป จะมีส่วนแบ่งหรือผลประโยชน์จากตรงนี้ แค่เป็นส่วนหนึ่งที่จะช่วยทำฝันเขาให้เป็นจริงเร็วขึ้นผมเป็นคนดูด้วย อาจจะเพราะส่วนนี้ด้วยที่ทำให้หลายคนอยู่กับเราได้ไม่นาน แต่ขึ้นอยู่กับแต่ละคนอีกแหละ เพราะบางคนก็กลัวบางคนก็ไม่กลัว”
“ไม่เป็นไร รู้สึกว่ามันเป็นเรื่องธรรมดาเพราะว่า ตั้งแต่ที่มีเด็กมาไอ้ฟิล์มกับไอ้เต๋านิสัยดีสุด มันไม่ลืมเรา ตอนที่มีข่าวว่าจะเอาเต๋ามาเล่นหนังด้วยแล้วเต๋าไม่เล่นผมไม่พอใจอย่างโน้นอย่างนี้ ไม่ได้มีอะไรหรอกก็เมาท์กันไปอย่างนั้นแหละ ผมกับไอ้เต๋าเจอหน้ากันก็ด่ากันทุกครั้ง แต่คงจะมีโอกาสกลับมาร่วมงานกันอีกแน่นอน เพราะส่วนตัวก็ไม่ได้มีอะไรกันมากมาย แต่มันไปอยู่แกรมมี่แล้วไม่รู้เป็นยังไง”
“เท่าที่จำได้เด็กที่เราปั้นมาประมาณ 50 กว่า เป็นดาราบ้าง นักร้องบ้าง เดินแบบ ถ่ายแบบส่วนใหญ่ก็มีชื่อเสียงเป็นซูเปอร์สตาร์ก็หลายคน หลังๆ ผมก็ทำงานของผม เขาก็ทำงานของเขาไม่ค่อยได้เจอกัน น้อยใจ จนเลิกน้อยใจไปแล้ว ไม่มีกลับมามอง วันเกิดก็ไม่เคยมีของขวัญกลับมาให้ อย่างมีไอ้ฟิล์มล่าสุด แต่เราก็รู้ว่าเพราะมันยังใหม่”
เหมือนจะน้อยใจ?
“เป็นเรื่องปกติเพราะไม่เจอมาไม่รู้กี่คนแล้ว แต่เวลาเจอก็คุยกันตามปกติแต่อาจจะไม่สนิทเหมือนอย่างช่วงแรกๆ คือตอนที่เข้ามาในวงการเราก็ไม่ได้มีข้อตกลงหรือข้อผูกมัดอะไรกับเขาก็เล่นเลย เราแค่ในฐานะเรือพอถึงฝั่งก็พายกลับมารับคนใหม่เข้าไป”
"แต่ผมไม่เคยมีปัญหากับเด็กนะ ลองไปเช็กดูได้ มีแต่คนเขียนขึ้นมาเอง แต่แอนดริวก็ไม่ได้มีปัญหาเขาอยากดูคิวเอง พี่ก็คืนคิวให้เขาไปแค่นั้นเอง ถ้าไปพูดว่ามีปัญหาๆ กันนี่ผิดแล้ว ผมกับไอ้เต๋า ก็ยังคุยกันอยู่ กับไอ้มอสก็ยังคุยกันอยู่ แล้วทุกวันนี้ไอ้ฟิล์มกับพี่ก็ยังคุยกันอยู่เพิ่งจะเจอกันแล้วก็โทรมาประจำ มีปัญหาอะไรก็ปรึกษาตลอด”
เคยคิดมั้ยว่าตนเองก็เป็นคนที่มีคุณูปการต่อวงการบันเทิงอยู่เหมือนกัน?
“เป็นเรือจ้างดีกว่า (เสียงเศร้าๆ) ก็รู้สึกดี พายเรือพาเขาไปส่งให้ถึงฝั่ง เสร็จแล้วก็พาคนใหม่ไปอีกไม่ได้คิดอะไร เขาไปได้ดีเราก็ดีใจด้วย เพราะความจริงเราก็ไม่ได้มีการตกลงอะไรกันก่อนที่จะพาเขาเข้ามาอยู่แล้ว ชีวิตใครชีวิตมัน ไม่รู้จะเก็บไว้ทำไม ทำก็เพราะอยากที่จะสนับสนุนตรงนี้จริงๆ”
ถึงตอนนี้พอจะบอกได้หรือยังว่าคนชื่อ "พจน์ อานนท์" ประสบความสำเร็จในชีวิตที่ต้องการแล้ว?
"ไม่รู้เรียกว่าประสบความสำเร็จหรือเปล่าต้องให้คนอื่นมอง มองตัวเองก็ยังรู้สึกว่าเฉยๆ อยู่ ไม่โลดโผน ไม่ทะเยอทะยานไปมากกว่านี้แล้วแค่นี้ก็น่าจะเพียงพอแล้วสำหรับชีวิตหนึ่ง"