มาถึงวันนี้คงไม่มีแฟนหนังกําลังภายในคนไหนที่ไม่รู้จักเจ้าของความมันที่ยุคหนึ่งค่ายหนังต้องการันตีด้วยสโลแกนว่า "ฉีเคอะ กำกับ!!" เพราะ Tsui Hark หรือ ฉีเคอะ ทำหนังจีนฮิตติดตลาดบ้านเรามานานกว่า 10 ปี ทั้ง โปเยโปโลเย, นางพญางูขาว, เทพยุทธ์เขาชูซัน หรือกระทั่งโกอินเตอร์กับ Double Team
และเมื่อเขาจะกลับมาทวงคืนความยิ่งใหญ่อีกครั้ง จากการหยิบบทประพันธ์เรื่องดัง Seven Swords หรือเจ็ดนักกระบี่ ภาคสองของนิยายนางพญาผมขาวโดยฝีมือของ เนี่ยอูเซ็ง ต้นตำรับหนังสือกำลังภายในของจีนมาดัดแปลงสร้างเป็นหนังทุนสร้างมหาศาล ทาง Life and Entertainment จึงได้มีโอกาสพูดคุยกับผู้กำกับมาดเข้มที่บินมาเปิดตัวหนังถึงเมืองไทยแบบไม่ทันให้แฟนหนังได้ตั้งตัว ทั้งในเรื่องความเป็นมา การทำงาน และนานาทัศนะเกี่ยวกับโลกของหนังกำลังภายในจากชายที่ชื่อ "ฉีเคอะ" ผู้นี้
ใน Seven Swords เฮียฉีกำกับเอง อำนวยการสร้างเองและเขียนบทเองด้วย และแรงบันดาลใจที่ทำให้หยิบมาทำหนังนั้นฉีเคอะเอ่ยอย่างภูมิใจว่า ตัวเขาเองชอบและหลงใหลในบทประพันธ์ของเนี่ยอู่เซ็งอย่างมาก เมื่อครั้ง 20 ปีก่อนสมัยเพิ่งกลับจากอเมริกาและมาทำงานทีวี ตอนนั้นก็มีการหยิบเอานิยายของเนี่ยอู่เซ็งมาสร้างขึ้นจอแก้วด้วยเช่นกัน เขาเองอยากทำมากแต่ยังไม่มีโอกาส ตอนนี้มีโอกาสแล้วจึงหยิบมาทำ
"หนังเรื่องนี้มันน่าติดตามมาตั้งแต่สมัยที่ยังเป็นนิยายแล้วรู้ไหม มีตัวละครเด่นๆตั้งเจ็ดคน แต่ละคนก็จะโดดเด่นในลีลาวรยุทธที่ใช้คู่กับดาบที่มีเอกลักษณ์พิเศษเฉพาะตัวเจ็ดเล่มอีกด้วย ซึ่งอาวุธประจําตัวของจอมยุทธที่เราเรียกว่า กระบี่ นั้นมันยังมีความหมายสื่อไปถึงพลังอันเฉียมคม และความสงบสุขุมของผู้ใช้ ต่างจากอาวุธชนิดอื่นๆด้วยน่ะ" ผู้กำกับมาดคมอธิบายถึงเสน่ห์ของหนังอย่างได้อารมณ์
โดยตัวหนังดัดแปลงมาจากหนังสือ เจ็ดนักกระบี่ ของเนี่ยอูเซ็ง ย้อนกลับไปเมื่อปี 1600 เรื่องราวของกลุ่มจอมยุทธเจ็ดคน ผู้มีกระบี่และวรยุทธคู่กายอันเป็นเอกลักษณ์ของตัวเอง พวกเขาได้รับการขอร้องให้มาปกป้องชาวยุทธและชาวบ้านผู้เดือดร้อนจากการปกครองของแมนจูที่สถาปนาราชวงศ์ชิงขึ้นปกครองแผ่นดินจีน โดยสั่งห้ามประชาชนฝึกวิทยายุทธ รวมทั้งกวาดล้างเหล่าชาวยุทธและผู้เป็นปรปักษ์อีกด้วย และในเมื่อมีตัวละครหลักถึงเจ็ดราย เฮียฉีจึงขอเป็นคนเลือกนักแสดงเองเสียเลย
"จริงๆก็พยายามจะหาดาราใหม่มาเล่น หรือไม่ก็เอาคนเก่าแต่จะดึงมารับบทบาทในแบบที่คนคนนั้นยังไม่เคยได้เล่นมาก่อน แต่งานนี้ต้องทํางานเป็นทีม ผมจึงเลือกคนที่เข้ากับบุคลิกของแต่ละคนในกลุ่มจอมยุทธทั้งเจ็ดเป็นหลัก ซึ่งผมเองก็เลือกเอาจากความชอบมากกว่า ส่วนเรื่องคิวดาราก็ไม่มีปัญหาเลยด้วย" ผู้กำกับของงานให้รายละเอียด
เมื่อเลือกเองแบบนี้เรื่องตัวแสดงจึงไม่เป็นปัญหาเท่าไหร่ แต่ที่สร้างความหนักใจให้มากกว่า ฉีเคอะเล่าว่า เป็นเรื่องอากาศที่หนาวเย็นเอามากๆ เพราะต้องยกกองไปถ่ายกันใน ซินเจียง ทางแถบตะวันตกเฉียงเหนือของประเทศจีน ซึ่งเป็นแถบภูมิประเทศที่ดูแล้วเต็มไปด้วยกลิ่นไอบรรยากาศย้อนยุคและอากาศหนาวเย็นเหมาะตามท้องเรื่อง โดยไปปักหลักถ่ายกันอยู่นานถึงสี่เดือนเลยทีเดียว
ทว่าสิ่งที่สร้างความประหลาดใจให้แฟนหนังเอามากๆ กับหนังเรื่องนี้ก็คือการไปคว้าตัวพระเอกชื่อดังอย่าง "หลี่หมิง" มาร่วมงานด้วย และเมื่อแย้บถามถึงค่าตัวของหนุ่มเถียนมีมี่ ผู้นี้ ผู้กำกับเต็มใจตอบอย่างไม่มีกั๊กว่า "ค่าตัวของหลี่หมิงในการรับแสดงเรื่องนี้อยู่ที่ 140 ล้านหยวน (ราว 700 ล้านบาท) น่ะ"
"เรื่องทุนสร้างก็ประมาณ 1,400 ล้านหยวน แต่เรื่องเอฟเฟ็กต์ต่างๆ มีไม่มากอย่างที่คิดหรอกนะ เพราะเรื่องนี้เราอยากจะให้เป็นไปตามแบบนิยายให้มากที่สุด ใช้จินตนาการสื่อสารออกมาในบางฉากของหนัง แต่เอาจริงๆแล้ว หนังกําลังภายในคงจะไล่ตามเก็บรายละเอียดในนิยายได้ไม่หมด เราจะเลือกเอาจุดเด่นแต่ละจุด ดึงออกมาทําให้เกิดจินตนาการสร้างเป็นหนังแบบนี้แหละครับ" ฉีเคอะบรรยายอย่างละเอียด
ส่วนทุนสร้างที่มหาศาลนั้น มีการอธิบายว่าเป็นทุนสร้างที่รวมหลายโปรเจ็กต์เข้าด้วยกันนั่นคือโปรเจ็กต์หนังและละครทางทีวีซึ่งถ่ายทำควบคู่กันไป รวมทั้งโปรเจ็กต์เกมส์ออนไลน์และหนังสือการ์ตูน และหากแววดีก็จะเป็นทุนเอาไว้ทำภาคต่ออีก 6 ภาคที่วางไว้ด้วย
"ในประเทศจีนเองถือว่าประสบความสําเร็จมาก ก็คิดๆ เอาไว้ว่าจะทําภาคต่อออกมาอีก 6 ภาค ใช้นักแสดงชุดเดิม ส่วนเรื่องราวจะต้องมีพัฒนาการต่อไป และหนึ่งในกลุ่มเจ็ดกระบี่จะกลายเป็นตัวร้ายในภาคต่อด้วย แต่คงยังบอกไม่ได้ว่าจะใช้เวลาในการสร้างภาคต่อนานแค่ไหน" ฉีเคอะตอบ แต่แม้หนังจะยังไปไม่ถึงฝั่งตะวันตก ทว่าล่าสุดก็มีทีมงานจากฮอลลีวูดมาติดต่อขอซื้อหนังเรื่องนี้ไปเรียบร้อยแล้วด้วย "เขาติดต่อมาแล้ว รวมถึงในภาคต่อด้วยนะ"
และในเมื่อกระแสหนังกําลังภายในกับหนังกังฟูกําลังบุกตลาดฮอลลีวูด แถมฮีโร่คนเก่งไม่ว่าจะ "เฉิงหลง-แจ็คกี้ ชาน" หรือ "หลี่เหลียนเจี๋ย-เจ็ต ลี" ก็ไปรุ่งโรจน์อยู่ในฝั่งตะวันตกมาแล้ว ขณะที่หนังไทยที่นําศิลปะแม่ไม้มวยไทยมาเป็นจุดขายบ้างอย่างเช่น "ต้มยํากุ้ง" ก็กำลังมีแววจะส่งฮีโร่ของคนไทยอย่าง "จา พนม -โทนี่ จา" ไปติดตลาดโลกด้วยเช่นกัน เรื่องนี้ผู้กำกับคนดังให้ความเห็นถึงเรื่องโกอินเตอร์ของจาว่า
"ผมยังไม่ได้ดูเรื่องต้มยำกุ้งนะ แต่ผมได้ดูองค์บากแล้ว โทนี่ จา เขาเก่งทีเดียวแหละ แต่เรื่องจะไปฮอลลีวูดนั้น ที่สําคัญเลยต้องได้ภาษาอังกฤษ ขนาดเฉิงหลง และหลี่เหลียนเจี๋ย ยังต้องฝึกภาษาอยู่เป็นปีๆเหมือนกัน"
และก่อนจะอำลากันไป ฉีเคอะ ฝากผลงานใหม่ "Seven Swords 7 กระบี่เทวดา" ที่จะเข้าฉายในวันที่ 8 ก.ย. นี้ว่าอยากให้ลองไปชมกันโดยย้ำว่าไม่ผิดหวังแน่นอน พร้อมเกริ่นโครงการหนังใหม่ว่ามีรอคิวเปิดกล้องอยู่อีกถึงสี่เรื่อง รวมถึงโปรเจ็กต์ในฝันอย่าง "มังกรหยก" อีกด้วย
แต่จะได้เห็น เอี้ยก้วย-เซียวเล่งนึ้ง-ก๊วยเจ๋ง-อึ้งย้ง กันเมื่อไหร่ อันนี้เขาไม่รับประกันจ้า!