อาจจะไม่ใช่ภารกิจที่สลักสำคัญอะไรมากมายสำหรับคนส่วนใหญ่ ทว่าสำหรับ "บางคน" แล้ว "กลุ่มคน" กว่าสิบชีวิตเหล่านี้เปรียบประดุจราวกับ "นางฟ้า-เทวดา"
"บางคน" ที่หมายถึงคนยากไร้ เด็กพิการ ตา - ยายแก่ๆ ที่ถูกลูกหลานทอดทิ้ง และอีกสารพัดที่เราอาจจะตั้งคำถามกับตนเองว่า ระหว่างการมีชีวิตอยู่กับการลาจากโลกนี้ไป ตรงไหนน่าจะเป็นทางออกที่มีความสุขกว่ากัน
ในขณะที่ "กลุ่มคน" ที่ว่าก็ให้หมายถึงกลุ่มที่นำเอาชีวิตของ "บางคน" ที่ว่ามาเผยแพร่ให้คนทั่วไปด้มีโอกาสได้รับรู้ ผ่านรายการทีวีที่ชื่อ "วงเวียนชีวิต" (ช่อง 3) และ "สกู๊ปชีวิต" (ช่อง 7) ซึ่งนี่แหละคือรายการ "เรียลลิตี้" ของจริง!
..........
กว่าจะมาเป็นเรื่องที่สังคมควรรู้และสำนึก
เชื่อว่าหลายคนคงพอคุ้นตากับภาพของตา-ยายแก่ๆ ที่ถูกลูกหลานทิ้งให้อยู่อย่างโดดเดี่ยว, เด็กพิการที่ถูกแม่และพ่อทิ้งขว้างเพราะความอับอาย และอีกมากมายสารพัดจากรายการที่ชื่อคล้ายกันอย่าง "สกู๊ปชีวิต" ทางช่อง 7 และ "วงเวียนชีวิต" ทางช่อง 3
แม้จะเป็นช่วงเวลาสั้นๆ ทว่าอารมณ์ของเรื่องนั้นยิ่งใหญ่เหลือเกิน บางคนดูแล้วนึกเวทนา บางคนดูแล้วรู้สึกว่าตนเองโชคดีที่ไม่เป็นแบบนั้น ในขณะที่อีกหลายต่อหลายคนต่างเบือนหน้าหนี
แต่จะมีใครบ้างหนอที่คิดไปถึงกลุ่มคนเบื้องหลังอันเป็นที่มาของเรื่องราวเหล่านี้
เปรียบกับละครทั้งที่น้ำเน่ามากและน้ำเน่าน้อยที่ออนแอร์กันทุกวี่วัน วันละหลายเรื่อง เรื่องละไม่ต่ำกว่าชั่วโมงด้วยแล้ว ความลำบากในการผลิตมันยิ่งเทียบกันไม่ได้ใหญ่ แต่ใครเลยจะรู้ว่าการทำเรื่องสั้นๆ สักเรื่องเพื่อถ่ายทอดให้ผู้คนได้รับรู้ถึงความโหดร้ายในสังคมในปัจจุบันนั้น ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย
“ทีมงานของเรามีแค่ทีมเดียว 3 คน ประกอบไปด้วยช่างภาพ ผู้สื่อข่าวแล้วก็ผู้ช่วยช่างภาพ ก็ทีมนี้แหละที่มีหน้าที่ออกไปถ่ายทำไปผลิต” แดง มณัชยา รักพานิชแสง ผู้ควบคุมและดูแลการผลิตรายการ "วงเวียนชีวิต" เกริ่นก่อนเล่าถึงวิธีการทำงานของเธอและทีมงาน
“ขั้นตอนในการทำงานเบื้องต้นพี่ก็จะได้รับข้อมูลมาจากจดหมายหรือว่าแจ้งมาทางโทรศัพท์ แล้วพี่ก็จะมาคัดเลือกโซนจังหวัด ว่าอยู่ภาคไหนๆ แล้วก็ส่งข้อมูลให้ภูมิภาคไปตรวจสอบตามที่ได้รับจดหมายมา ภูมิภาคก็จะดูเบื้องต้นให้ก่อนว่าเป็นเรื่องจริงมั้ย”
“พอทางภูมิภาคส่งข้อมูลมาตรงส่วนเรา ก็จะนำเรื่องพร้อมกับภาพที่เขาถ่ายวิดีโอมาคัดเลือกอีกทีหนึ่ง เข้าที่ประชุมมีคณะกรรมการดูว่ารายไหนเราสมควรที่จะถ่ายทอดถ่ายทำ พอผู้ใหญ่อนุมัติ ก็ทำเรื่องอนุมัติขอเงินเบิกเพื่อที่จะเอาไปให้แต่ละรายที่เราตั้งใจจะทำออกอากาศ ซึ่งพี่ก็จะมอบหมายให้ทีมข่าวไปทำเรื่องเปิดบัญชีให้แต่ละรายต่อไป”
ถามถึงหลักในการคัดเลือก แดงบอกว่าไม่ได้อยู่ที่ความเศร้า แต่จะดูเรื่องของโอกาสเป็นสำคัญ
“เราดูจากที่เขาขาดโอกาสที่จะทำแล้วเมื่อเราช่วยเขาแล้วเขาสามารถที่จะลุกขึ้นแล้วก็ก้าวต่อไปเองหรือเปล่า แต่ถ้าเขายังสามารถประกอบอาชีพได้อยู่เราก็จะไม่เอาเพราะเขายังมีความสามารถที่จะดูแลชีวิตของเขาเองได้ อย่างเด็กกับคนแก่เขาจะไม่มีตรงนี้"
เรื่องบางเรื่องทางรายการก็อยากจะเข้าไปช่วยแต่เมื่อมันไม่ตรงกับวัตถุประสงค์ของรายการและด้วยเวลาที่ออกอากาศในแต่ละสัปดาห์เพียงครั้งเดียวซึ่งไม่เพียงพอกับจำนวนจดหมายที่ส่งเข้ามา เธอก็เลยจำเป็นต้องแจ้งให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องหรือรายการอื่นได้เข้ามาดูแลและช่วยเหลือแทน
“เรื่องพวกนี้ส่วนมากจะมาเป็นจดหมาย อาจจะเป็นคนอื่นส่งมาให้ อาจจะเป็นคนที่ไปเที่ยวไปเจอยายคนนี้น่าสงสารเป็นยังไงๆ แล้วก็เขียนมาเล่าให้ฟัง บางทีก็เป็นผู้ใหญ่บ้าน,อบต.เขียนมา บางทีก็เป็นเจ้าตัวเขียนมาเองซึ่งแต่ละเดือนก็มีเรื่องเข้ามาเยอะพอสมควร ทีนี้ของเราออกมาได้เดือนหนึ่งแค่ 4 ครั้ง ออกทุกวันเสาร์เรื่องบางเรื่องก็ต้องตัดออกไปน่ะค่ะเพราะเราช่วยเหลือไม่ทันแต่ตอนนี้มีรายการจูงมือน้องเดิน , ช่วยด้วย บางทีก็เจาะใจเขาก็โทรมาขอข้อมูล เราก็จะแบ่งข้อมูลไปให้บ้าง”
“ส่วนเคสไหนที่เราไม่สามารถทำได้ไม่ตรงตามวัตถุประสงค์อย่างกรณีมีผู้หญิงคนหนึ่งเขาสติไม่ค่อยดีแล้วเขาค่อนข้างหน้าตาดี นอนอยู่คนเดียว ทีนี้คนที่พบเห็นเขาก็กลัวจะถูกข่มขืน ซึ่งถ้าเราไปทำเนี่ยเราต้องหาที่อยู่ให้เขาเราไม่สามารถทำตรงนั้นได้ เราก็เลยต้องแจ้งไปทางกรมพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เขาก็จะเอาเจ้าหน้าที่เข้าไปดู แล้วก็พาไปอยู่ในสถานที่ที่ปลอดภัย แล้วบำบัดรักษาซึ่งตอนนี้ผู้หญิงคนนั้นก็ได้รับการช่วยเหลือเรียบร้อยแล้วค่ะ”
เป็นบรรยากาศการทำงานของรายการ "วงเวียนชีวิต" ในขณะที่การทำงานที่ต้องออกอากาศทุกวันอย่าง ”สกู๊ปชีวิต” ของช่อง 7 "กฤษณะ อนุชน" บรรณาธิการข่าวบอกว่าบางทีเรื่องราวที่มีเข้ามาไม่พอเพียงต่อการนำเสนอเสียด้วยซ้ำ
“เพราะเราจะพยายามออกอากาศให้กระจายกันไป วันนี้อาจจะออกไปทางภาคอีสาน วันนี้ภาคกลาง หรือภาคเหนือ บางทีถ้ามันทำไม่ทันจริงๆ มันก็จะมาเบิ้ลเหมือนกันอย่างอีสานติดกันน่ะครับเพราะว่าจดหมายที่เข้ามาส่วนใหญ่เป็นทางภาคอีสานสัก 80% รองลงมาเป็นภาคเหนือ กลางและท้ายที่สุดก็ภาคใต้”
“พอภาคใต้มันเข้ามาน้อยเราก็มาคิดว่าจะทำยังไง ก็เลยต้องติดต่อผ่านผู้สื่อข่าวพิเศษช่อง 7 ที่ประจำอยู่ตามจังหวัดภาคใต้ช่วยดูให้หน่อย อาจเข้าไปทางประชาสงเคราะห์จังหวัดเขามีรายไหนที่มันเหลือบ่ากว่าแรงมั้ยหรือว่าติดต่อไปทางผู้นำชุมชน ก็วานเขาดูให้หน่อยเพราะฉะนั้นเรื่องที่เราทำก็จะมีจากจดหมายด้วยและเราออกไปหาเองด้วยส่วนหนึ่ง”
“ของเราจะมี 2 ทีมที่จะสลับกันออกไป ซึ่งพอเราได้ข้อมูลจากทางผู้สื่อข่าวพิเศษของแต่ละพื้นที่มาแล้ว ทีมข่าวสกู๊ปชีวิตก็จะตรวจสอบไปทางเบาะแสที่เขาอ้างอิงอย่างเช่นผู้ใหญ่บ้าน กำนันหรือว่าครูก็โทรไปคุยกันก่อนแล้วก็วางแผนเดินทางเลย เราก็จะวางแผนเดินทางออกไปประมาณ 7 หรือ 10 วันก็ตระเวนออกไปเลย รวบรวมข้อมูลและกำหนดเส้นทางว่าจะผ่านตรงนี้ๆ จะแวะทำตรงนี้ๆ ติดต่อนัดหมายไว้ล่วงหน้าก่อน”
“ส่วนมากเราจะวางแผนอย่างน้อยๆ วันหนึ่งน่าจะได้ 1 เคสแต่ว่าถ้าวางแผนดีๆ เต็มที่อาจจะได้ 2 เคส เพราะแต่ละเคสเนี่ยต้องใช้เวลาในการคุย ทีมงานไปถึงเขาจะไม่ตรงไปที่เป้าหมายเลยนะครับ จะแวะไปที่อาจจะเป็นร้านกาแฟหรือว่าบ้านผู้ใหญ่บ้านไปคุยดูก่อนว่าเคสนี้เขาเป็นยังไง ลูกเขาทอดทิ้งจริงรึเปล่าซึ่งบางครั้งพอเข้าไปคุยจริงๆ กลับไม่ได้เป็นอย่างนั้น เราก็จำเป็นต้องยกเลิกไป”
“พอผ่านขั้นตอนนี้ปุ๊บโอเคเขาลำบาก เราก็จะเข้าไปคุยกับเขาเลย เราก็จะไปหาผู้นำชุมชนพาไปพูดคุยกับเขา ก็ส่วนมากจะไปคุยที่บ้านแล้วก็ให้เขาช่วยทำกิจวัตรอะไรบางอย่างที่เราดูแล้วรู้ว่าเออตรงนี้เป็นมุมที่น่านำเสนอออกไป ก็ต้องให้เขาช่วยทำกิจวัตรตรงนั้นเพื่อให้เราเก็บภาพ"
“พอถ่ายเสร็จก็กลับเข้ามาเริ่มขบวนการผลิต นักข่าวที่ออกไปเองก็จะเอาเทปนั้นออกมาดูแล้วก็จะมาผลิตเป็นสคริปต์ออกมา พอสคริปต์เสร็จก็เข้าสู่ขบวนการตัดต่อ แล้วก็จะให้บก.ฝ่ายปรู๊ฟอีกคนให้เขาเป็นคนดูแลเรื่องจัดวางว่าจะเอาตอนไหนลงก่อน-หลังครับ”
...........
ความจนที่ถูกตีราคา
แม้ว่ารายการ”สกู๊ปชีวิต” จะได้ออกอากาศทุกวัน แต่ในแต่ละวันเวลาที่ทีมข่าวสกู๊ปชีวิตได้รับมันช่างน้อยนิดเหลือเกิน จนกลายเป็นอุปสรรคที่สำคัญอย่างหนึ่งที่ กฤษณะ เองก็ยอมรับว่ายังไม่สามารถแก้ปัญหาที่น่าหนักใจนี้ได้
"อุปสรรคในการนำเสนอผมว่าสำคัญคือเวลาในการออนแอร์ซึ่งมันถูกบีบลง เวลาของข่าวช่อง 7 จะถูกกำหนดโดยทางฝ่ายรายการวางแผนมาว่าสัดส่วนเวลาควรจะเป็นเท่านี้ๆ เวลาข่าวช่วงที่สกู๊ปชีวิตออนแอร์เขาก็จัดเวลาให้เราค่อนข้างน้อยเพราะมันมีอะไรที่จะต้องนำเสนอในข่าวภาคค่ำเยอะมาก เวลาต้องแบ่งกันหลายช่วง สรุปมาถึงสกู๊ปชีวิตเราได้เวลาอยู่นาทีครึ่ง เราจะทำเทปได้แค่นาที 20 วินาที”
“ในนาที 20 วิทำยังไงที่จะสื่อสารความเดือดร้อนของเขาให้ออกมาชัดเจนที่สุด สคริปต์กับภาพสำคัญมาก จะทำยังไงให้คนดูดูแล้วอยากจะช่วยนี่เป็นอุปสรรคในการทำ ถ่ายเทปมาชั่วโมงครึ่ง-ชั่วโมง มาดูแล้วโอ้โห!นั่งกุมขมับกันเลย กว่าสคริปต์แต่ละแผ่นจะออกมาเพราะว่าเขาก็อยากให้เนื้อหาที่มันตรงที่สุดเนี่ยได้บรรจุลงไปในเวลานาทีตรงนั้น”
น่าตกใจมิใช่น้อยเมื่อเรารู้ว่าปัญหาที่ทั้ง 2 รายการนี้เจอเหมือนกันเป็นเรื่องของข้อมูลที่มีการบิดเบือนความจริงและความเห็นแก่ได้ของคนที่หาประโยชน์กับคนด้อยโอกาส
“บางทีสิ่งที่เราเห็นไม่เป็นอย่างที่เราคิดนะ บางทีเราไปเห็นเขาอยู่ในบ้านหลังเล็กๆ แต่ไม่ใช่หรอก เขาเมกมาให้อยู่เฉยๆ คือเราเคยเจอเหตุการณ์ที่ทางผู้ด้อยโอกาสเขาเตี๊ยมกัน เขาอยู่ในกลุ่มญาติพี่น้องตรงนั้นน่ะค่ะ อันนี้คือปัญหาหลักในการทำงานของเราตรงนี้” แดงเล่าให้ฟัง ซึ่งจากประสบการณ์ที่ทำงานมากกว่า 15 ปี เขาบอกว่ายิ่งระยะหลังๆ นี้จะตรวจสอบกันได้ยากมากเพราะมีลูกเล่นเยอะ
“บางทีแจ้งเป็นจดหมายมาแต่เป็นหัวคิวนะ เราเคยไปทำแล้วเนี่ยสมมติเราจะให้ทุกรายรายละ 10,000บาท ทีนี้เขาก็รู้ว่าได้ตังค์แน่เขาก็จะไปคุยว่าเนี่ยๆ เขาเป็นคนแจ้งช่อง 3 ให้นะถ้าได้ออกอากาศแล้วต้องแบ่งให้เขาบ้างเท่านี้ๆ แล้วเดี๋ยวเขาจะเขียนจดหมายไปให้ ทีนี้ทางผู้ด้อยโอกาสก็เอาน่ะเพราะอย่างน้อยๆ ก็ได้เงิน ก็ต้องยอม เราต้องให้ทันเขา"
"การตรวจสอบช่วงนี้ค่อนข้างยากเพราะว่าคนเขาจะมีลูกเล่นเยอะ คนที่เขาลำบากจริงๆ เขาก็ไม่รู้วิธีทางมาเดินเรื่องเอง ส่วนคนที่มีความสามารถมากกว่าก็ไปหากินกับพวกนี้”
ในกณีของ "สกู๊ปชีวิต" เองก็เคยเจอเรื่องที่(ร้าย)ไม่ธรรมดาเหมือนกัน
“บางเคสยอมรับว่ามีหลุดก็คือแรกๆ เลยที่ทำหลุดตรงที่ว่าเราอาจจะสกรีนไม่ 100% ไปแล้วเราถูกหลอก แต่บางเคสเราถอนตัวทัน มีอยู่ประมาณ 2-3 เคสที่หลุดออกมาถึงขั้นออนแอร์เราก็รู้สึกไม่ค่อยดี มันออนแอร์ไปแล้วคนก็โทรเข้ามาว่า โอ้โห!ช่อง 7 ทำไปได้ยังไงเนี่ย”
“คือมีเคสหนึ่งเขาว่าเขาออกหาของเก่าแล้วเกิดอุบัติเหตุรถไฟชนแขนขาด แล้วตอนนี้ครอบครัวก็แตกแยกอยู่คนเดียวกับลูก ปรากฎว่าออนแอร์ไปมีเงินช่วยเหลือเข้ามาแต่ก็มีคนโทรเข้ามาว่าตอนนี้เนี่ยที่บ้านของเคสนั้นทั้งคาราโอเกะทั้งวงเหล้าเต็มสนั่นกันอย่างสนุกสนานเลยครับ”
ความภูมิใจกับข้อคิดที่ได้จากชีวิตจริง
คงไม่มีใครมากนักหรอกที่อยากจะรับรู้ถึงความเดือดร้อน,ความโชคร้ายและชะตากรรมที่ย่ำแย่ของผู้อื่น แต่สำหรับคนกลุ่มนี้ที่ต้องคลุกคลีกับเรื่องเหล่านี้ทุกวัน ได้มองว่ามันกลายเป็นหน้าที่ที่พวกเขาต้องรับผิดชอบและทำมันออกมาให้ดีที่สุดเพื่ออย่างน้อยๆ สิ่งที่เขาได้ทำจะทำให้สังคมที่เน่าเฟะที่ซุกซ่อนอยู่ในมุมใดมุมหนึ่งได้สะอาดสดใสและน่ามองขึ้นมาบ้าง
หลายคนอาจจะเถียงขึ้นมาว่าก็นั่นมันอาชีพของเขาที่ต้องผลิตรายการเพื่อสังคมแบบนี้ออกมา เขาก็ต้องยอมเหนื่อยยอมทำกันน่ะสิ นั่นก็น่าจะใช่ แต่รู้หรือไม่ว่านอกเหนือจากเงินตราที่พวกเขาได้รับเป็นค่าตอบแทนแล้ว มันยังมีผลลัพธ์อื่นๆ ที่พวกเขาได้กลับมาที่ซึ่งประเมิณค่าแทบไม่ได้เลย
“พูดถึงความรู้สึกแรกๆ ในการที่เราไปสัมผัสกับคนกลุ่มผู้ด้อยโอกาสนี้ บางทีเราก็คิดว่าโอ้โห! เขาเป็นขนาดนี้เลยเหรอ เราไม่คิดว่าในสังคมของเราจะมีแบบนี้เกิดขึ้น อย่างเอามาทิ้งไว้ข้างถนนอย่างนี้ แล้วต้องไปอยู่ในเล้าไก่อย่างนี้" แดงเริ่มเล่าด้วยเสียงสั่นเครือก่อนจะสาธยายความรู้สึกของเธอให้ฟังต่อไปว่า...
“ทีนี้บางเคสที่เราทำเนี่ยเรากลับไปดูแล้วเขาสามารถที่จะอยู่ดีขึ้น อย่างมีลุงรายหนึ่งที่ทางใต้ขาขาด 2 ข้างแล้วลูกก็ปัญญาอ่อน เราก็ไปทำถ่ายทอดออกอากาศเสร็จเรียบร้อยแล้ว พอไปอีกทีลุงได้เงินตรงนั้นมาลุงมาต่อเติมบ้านจากกระต๊อบเป็นบ้านอิฐบล็อกน่ะ ก็แข็งแรงขึ้นแล้วลุงก็เลี้ยงไก่แล้วลุงเขามีรายได้ในการขายไข่”
“พอเราไปเห็นตรงนี้ปุ๊บเรารู้สึกเราอิ่มน่ะเรารู้สึกว่าแววตาแกมีความสุข เราก็แบบมีความสุขไปด้วย เออ เราช่วยเขาได้เขาดีขึ้น เรารู้สึกว่าเราอยากจะทำอีก ก็มีกำลังใจที่จะทำต่อ เอออย่างน้องบางคนที่ออกอากาศเขาเป็นเด็กดี เขาได้เป็นเยาวชนดีเด่นแห่งชาติ เขาได้รางวัลอะไรตั้งเยอะแยะหลังจากที่เราออกอากาศไป ก็เหมือนเราสำเร็จไปกับเขาด้วยเราดีใจไปกับเขาด้วย นี่คือผลงานของเขา เขามีโอกาสที่จะก้าวไปสู่จุดที่ดีๆขึ้นน่ะ”
ความรู้สึกดีๆ ที่เจ้าตัวได้ยังไม่ได้หมดเพียงแค่นั้น
“พี่ก็รู้สึกภูมิใจมาก เราไม่คิดว่าเราจะได้มาอยู่ตรงนี้แต่พอเราได้มาอยู่ตรงนี้อย่างน้อยๆ เราได้บุญเยอะในการที่จะทำตรงนี้เหมือนเราเก็บสะสมบุญไว้ด้วยน่ะค่ะ คือเราไม่มีเงินก้อนใหญ่ไม่ใช่คนรวยอะไรที่จะไปช่วยบริจาคให้ใคร แต่เราทำได้ตรงนี้เราช่วยเหลือเขาได้แค่นี้ก็โอเคแล้ว พอเราไปเห็นเขาดีขึ้นเรารู้สึกอิ่มนั่นคือเราได้บุญแล้ว”
“บางทีน้องเขาจะบวชเขาเขียนจดหมายมาให้เราไปงานบวช แล้วเขามาลาบวชเราเหมือนเราเป็นผู้ปกครองเขา เราก็รู้สึกว่าเหมือนได้เกาะผ้าเหลืองเขาไปด้วย พี่มีความสุขมากเลยค่ะที่ได้ทำตรงนี้คือจริงๆ แล้วสังคมไม่รู้แต่เรารู้ตัวเราเองว่าเราทำอะไร เราได้รับอะไรไม่ได้อะไร คือทำแล้วโอเคตรงนี้สบายใจ”
แน่นอนความรู้สึกของ "กฤษณะ" เองก็คงไม่ได้ต่างอะไรกันมากนัก
"ถ้าถามถึงความรู้สึกหดหู่ที่ผมได้รับจากการที่ต้องมารับรู้เรื่องราวตรงนี้คือตัวผมไม่ค่อยเท่าไหร่หรอกเพราะอยู่แต่ข้างใน แต่สงสารก็แต่น้องที่เขาออกไปทำ ผมได้คุยกับเขาแต่เขาก็โอเคเขาก็รับได้เพราะว่าคนที่มาทำตรงนี้เราต้องดูแล้วต้องสมัครใจ ต้องชอบนะ ไม่ใช่คุณหดหู่ไม่อยากไป โอ๊ย! กลับมาก็ซึมเศร้า”
“ก็คือน้องทั้ง 2 คนที่เป็นนักข่าวเขาโอเคเลย เขาชอบที่จะไปช่วย โอเคเขาหดหู่แต่เขาก็รู้สึกดีที่เขาได้ทำ เขาได้เป็นสื่อที่เข้าไปช่วย สื่อให้คุณป้าคุณยายหรือเด็กคนนั้นคนนี้มีชีวิตที่ดีขึ้น เวลาที่เราให้เขาไปงานที่เป็นงานติดตามเขาจะรู้สึกว่ามีความตื้นตันใจกลับมาก่อนที่คนดูจะรู้สึก น้องเขาจะรู้สึกมาก่อน”
“อย่างของเราจะมีเคสติดตาม คือสำคัญที่คนที่ดูสกู๊ปชีวิตแล้วเขาช่วยเหลือ เขาเป็นคนที่มีใจเมตตาจริงๆ เห็นความทุกข์ความยากของคนร่วมโลกแล้ว พอดูจบเขาส่วนมากรู้สึกจะหดหู่ใจ แล้วเราจะทำอะไรที่ให้เขารู้สึกตื้นตันอิ่มเอมใจได้บ้าง อย่างน้อยเสาร์-อาทิตย์เราจะมีภาพพวกเคสที่เราไปช่วยแล้วเอาออกมาให้ดูว่าเขาเหล่านั้นได้รับการช่วยเหลือที่ดีขึ้น"
"เด็กคนนี้มีเสื้อผ้าใส่ไปโรงเรียนแล้วนะ คนที่เขาช่วยเหลือเล็กๆ น้อย 500 1,000 หรือว่า 200 เขาดูแล้วจะรู้สึกว่าโอเคนี่คือสิ่งที่เขาได้รับ เขาปลื้มใจตื้นตันใจและจะมีแรงให้เขาช่วยคนอื่นต่อไปอีก เป็นการทำให้คนดูได้เห็นผลที่เขาได้ช่วยด้วย”
“ส่วนตัวผมเองก็รู้สึกภูมิใจในตัวเองมากทีเดียวครับ ถึงแม้ว่าไม่ได้ลงไปโดยตรง ก็อย่างน้อยได้คุยได้สื่อสารกับคนที่เขาโทรเข้ามาก็รู้สึกว่าอยากช่วย บางสายที่เขาได้รับการช่วยเหลือแล้วเขาโทรมาคุยกับเราว่าขอบคุณมากนะคะ จะแวะไปหาที่ช่อง 7 นะ บางทีน้องเขาออกไปเขาก็จะบอกว่าจะเขียนจดหมายไปหาคุณกฤษณะ ฝากบอกคุณกฤษณะด้วย เท่านี้มันก็ โอ้โห!ปลื้มใจ ทั้งๆ ที่เราไม่ได้ทำอะไรก็แค่นั่งเป็นสื่อกลางรับเรื่องรับโทรศัพท์อยู่ตรงนี้”
ยังมีอีกสิ่งหนึ่งที่พวกเขาจะได้รับจากหน้าที่การงานตรงนี้ ก็คือข้อคิดดีๆ ที่แดงเริ่มพูดก่อนว่า...
“ข้อคิดหลักใหญ่ๆ ที่เราได้กับตัวเอง พี่ว่ามันเป็นเรื่องของเวรกรรมนะคือบางทีเขาอาจจะทำกรรมของเขาไว้ เขาถึงต้องมาเผชิญกับเรื่องแบบนี้ สิ่งที่เขาเป็นอยู่นี้คือเขาต้องชดใช้ในสิ่งที่เขาทำ แต่เขายังโชคดีที่เรายื่นมือเข้าไปช่วย ถ้าเขาทำดีคิดดีเขาก็จะดีขึ้นแต่ถ้าเขายังไม่คิดทำอะไรให้ดีขึ้นอยู่ เขาก็ต้องชดใช้กรรมของเขาต่อไป พี่คิดอย่างนี้นะซึ่งมันสะท้อนให้เห็นว่าถ้าเราไม่อยากประสบชะตากรรมที่เลวร้ายในชีวิตก็ควรทำแต่ความดี”
“เท่าที่เห็นเลยก็คือมันไม่แน่นอนเลย ทุกวันนี้คนทำก็ย้อนดูตัวเองว่าเดี๋ยวสักพักหนึ่งเรา 60 –70 เนี่ยจะมีใครมาถ่ายทำชีวิตเรารึเปล่า อีกเรื่องหนึ่งคือ โอ้โห! เงินนี่มันเปลี่ยนทุกอย่าง มีหลายเคสที่ออกอากาศไปแล้วลูกหลานที่ทอดทิ้งพ่อแม่ปล่อยให้อยู่กันพิกลพิการอยู่กันเอาตัวรอดหาผักหาปลากินเองไปวันๆ พอข่าวออกไปมาปลูกบ้านข้างๆ เลย รอวันที่พ่อแม่จะตายหรือยังไงก็ไม่รู้ บางทีเข้ามาข่มขู่พ่อแม่ว่าเอาบัญชีที่ช่อง 7 เปิดไว้มา ไปเบิกมาหนูจะทำโน่นผมจะทำนี่แล้วก็พ่อแม่ไม่เคยเลยที่จะปฏิเสธลูก ลูกจะเอาก็เอ้าไป"
"เงินมันทุกอย่างเลยจริงๆ นี่คือข้อคิดที่เราได้กับทีมงานครับ...” กฤษณะ ทิ้งท้าย