xs
xsm
sm
md
lg

16 ปีแห่งความหลัง สู่ 37 ปีแห่งความอมตะ

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


แม้เสียงปืนที่ดังขึ้นในคืนวันที่ 16 สิงหาคม เมื่อ 37 ปีที่แล้วจะดับชีวิตของสุดยอดนักร้องลูกทุ่งคนหนึ่งลงไป ทว่าสิ่งหนึ่งที่ยังคงดังอยู่ตลอดมาก็คือบทเพลงที่เกิดจากน้ำเสียงของเขา

เขาที่ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหน เขาที่ไม่ว่าจะเป็นคนแก่ คนเฒ่า เรื่อยไปจนถึงคนเด็กคนน้อยต่างรู้จักกันดีในชื่อของ "สุรพล สมบัติเจริญ"
..........
"สุรพล" เดิมชื่อว่า "ลำดวน" เกิดเมื่อวันที่ 25 กันยายน 2473 เป็นคนจังหวัดสุพรรณฯ ครอบครัวค่อนข้างจะมีกินมีใช้ เรียนจบระดับชั้นมัธยมที่โรงเรียนกรรณสูตรศึกษา เข้าเรียนต่อที่อุเทนถวาย แต่เพราะไม่มีใจรักทางด้านนี้เจ้าตัวเลยตัดสินใจลาออกไปสมัครเป็นครูสอนหนังสืออยู่ที่โรงเรียนสุพรรณกงลิเสียซึ่งเป็นโรงเรียนจีน ทว่าทำอยู่ได้เพียงปีครึ่งเจ้าตัวก็ต้องลาออกมาด้วยเหตุผลเดิมเพื่อเดินหาสิ่งที่ตนเองรัก

นั่นก็คือการเป็นนักร้อง

เส้นทางดังกล่าวเริ่มต้นขึ้นด้วยการสมัครเข้าไปเป็นทหารอยู่ที่โรงเรียนนักเรียนจ่าทหารเรือซึ่งแรกๆ ไม่สมหวังเอาซะเลย และด้วยความคึกคะนอง ลำดวนพร้อมเพื่อนๆ ได้แอบไปดูเขาเล่นการพนันแถวท่าช้างกระทั่งถูกจับได้และถูกส่งตัวไปยัง "สมอแดง" ที่คุมขังนักโทษทหารเรือของกรมแพทย์ ซึ่งที่นั่นเองลำดวนได้กลายเป็นขวัญใจของบรรดาเพื่อนๆ ทั้งหลายจากการทำหน้าที่ร้องเพลงกล่อมเพื่อนทหารด้วยกันก่อนนอน

ออกจากคุกทหารเรือลำดวนถูกปลดจากนักเรียนจ่ามาเป็น "พลทหารหมวดเรือเล็ก" เป็นเวลา 4 ปีเต็มก่อนจะตัดสินใจทิ้งเครื่องแบบไปสมัครเป็นคนงานธรรมดาอยู่ที่กองทัพอากาศ พร้อมกับเปลี่ยนชื่อเป็น "สุรพล"

ที่นี่เองเขาได้ฉายแววความเป็นนักร้องขึ้นมา กระทั่งคืนหนึ่งของงานสังสรรค์ภายในกองทัพอากาศ น้ำเสียงของสุรพลก็ไปสะดุดหู "เรืออากาศศรีปราโมทย์ วรรณพงษ์" เข้าอย่างจัง รุ่งขึ้นอีกวันเขาก็ถูกเรียกเข้าไปพบที่ห้องทำงานของหัวหน้าคณะนักมวย ก่อนจะได้ย้ายมาประจำกองดุริยางค์ทหารอากาศในเวลาต่อมา

หลังขยันฝึกสอนและได้ร้องเพลงประจำดุริยางค์บ่อยขึ้น สิ่งที่สุรพลใฝ่ฝันมานานก็เป็นจริงขึ้นมา นั่นก็คือการได้บันทึกเสียงในช่วงประมาณปี พ.ศ.2496

เพลงแรกที่สุรพลร้องก็คือเพลง "น้ำตาสาวเวียง" แต่เพลงที่รู้จักกันมากจากอัลบั้มแรกนี้ก็คือ "ชูชกสองกุมาร" จากนั้นงานเพลงชุดที่สองก็ตามออกมา มีเพลงที่รู้จักกันดีในเขตทหารอากาศอาทิเช่น โดดร่ม พระรามตามกวาง และ คำเตือนเพื่อนชาย แต่เพลงที่ทำให้ชื่อของสุรพลดังไปทั่วประเทศอย่างแท้จริงก็คือ "ลืมไม่ลง"

เมื่อชื่อเสียงดังเป็นพลุแตก สุรพลจึงมีงานร้องเพลงนอกสังกัดถี่ขึ้นเป็นลำดับ อาทิ ร่วมร้องกับวง "แมมโบ้ร็อค" ของ "เจือ รังแรงจิตร" วง "บางกอกช่ะช่ะช่ะ" ของ "ชุติมา สุวรรณรัตน์" และ "สมพงษ์ วงษ์รักไทย" ส่วนวงดนตรีที่เขาร้องด้วยมากที่สุดคือ วง "ชุมนุมศิลปิน" ของ "จำรัส วิภาตะวัตร"

แต่ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดก็คือวงดนตรี "สุรพล สมบัติเจริญ" ที่เขาตั้งขึ้นในช่วง พ.ศ. 2503

งานเพลงทั้งหมดของสุรพลมีประมาณ 400 กว่าเพลง ส่วนใหญ่จะเป็นเพลงที่เจ้าตัวแต่งเองร้องเอง ที่เป็นที่นิยมจนถึงทุกวันนี้ก็อาทิเช่น หัวใจผมว่าง น้ำค้างเดือนหก เสียวไส้ ลูกแก้วเมียขวัญ หนาวจะตายอยู่แล้ว น้ำตาจ่าโท สาวสวนแตง ของปลอม สาวหน้าฝน ฯลฯ เพลงสุดท้ายที่ "สุรพล สมบัติเจริญ" ร้องก่อนลงเวที นั่นก็คือเพลง "16 ปีแห่งความหลัง" ซึ่งเป็นเพลงที่เขาแต่งให้กับ "ศรีนวล สมบัติเจริญ" ภรรยาที่มีเรื่องระหองระแหงและกำลังจะแยกทางกันเดิน

หลังจากก้าวพ้นเวทีที่วัดหนองปลาไหล อำเภอกำแพงแสน จังหวัดนครปฐม ได้ไม่ถึงอึดใจ เขาก็พบจุดจบจากการถูกคนร้ายไม่ทราบจำนวนกระหน่ำยิงด้วยอาวุธปืนพกขนาด 11 มม.ในเวลา 01.00 น.ของคืนวันที่ 16 สิงหาคม พ.ศ.2511
..........



ทั้งรักและทั้งโกรธ จากใจ "แม่ผ่อง"
ในบรรดานักร้องที่ได้ทำงานร่วมกับราชาเพลงลูกทุ่งไทยคนนี้ ดูเหมือนว่า "ผ่องศรี วรนุช" หรือ "แม่ผ่อง" จะมีอะไรที่พิเศษกว่าคนอื่นๆ

เพราะนอกจากจะเป็นคนที่สนิทกันมากๆ แล้ว เจ้าตัวยังเป็นคนที่ถูกโกรธจนไม่มองหน้ากันกระทั่งวันสุดท้ายของชีวิต

"ความจริงแม่ประทับใจทุกอย่างที่แม่กับพี่พลเคยประสบร่วมกันมา เพลงทุกเพลงที่พี่เขาแต่งและให้แม่ร้องกับเขา ไม่ว่าจะเป็นเพลงคู่ เพลงแก้ มันเหมือนเขาแต่งให้แม่ แล้วแต่ละเพลงมันก็มีเสน่ห์แตกต่างกันออกไป แม่ว่าพี่พลเขาเป็นอัจฉริยะเรื่องการแต่งเพลง ถ้าสมัยนี้เขาก็เรียกว่าแต่งแล้วมันโดน มันโดนใจคนร้องอย่างแม่ด้วย คนฟังด้วย บางเพลงฟังแล้วมันก็ซึ้ง ซึ้งในความหมายที่เขาช่างแต่งออกมาได้ ฟังแล้วเห็นเป็นภาพเลย"

"พี่พลเป็นคนตรงๆ เมื่อก่อนด้วยความที่ต้องร้องเพลงคู่กัน ทำอะไรด้วยกันบ่อยๆ แฟนเพลงเขาก็คิดว่าแม่กับพี่พลเนี่ยเป็นสามีภรรยากันเลยนะ เพราะหน้าเวทีพี่พลเขาจะสนุกสนานมากๆ แล้วเขาก็จะหยอกล้อกับแม่จนคนคิดว่าเราเป็นอะไรกัน ซึ่งความจริงไม่ใช่เลย เราต่างมีครอบครัวแล้ว พี่พลเองก็มีครอบครัวแล้วและรักครอบครัวมากๆ ด้วยเรื่องชู้สาวไม่มีแน่ๆ"

มูลเหตุของความโกรธ
"พี่พลเป็นคนสนุกๆ แต่บางครั้งก็เป็นคนอารมณ์ร้อน ไม่ค่อยฟังเหตุผล ตอนนั้นที่แม่ต้องย้ายมาอยู่กับวงอื่นเพราะมีประท้วงของท่านจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ แล้วงานที่หาไว้ก็มีอันต้องเลื่อนออกไป ทีนี้แม่เนี่ยต้องดูแลแม่ตัวเอง จ่ายค่าเช่าบ้าน พอวงพี่พลยุบแม่ก็ต้องหาเงิน ก็เลยขอแกไปเล่นงานอื่น พอดีครูพยงค์ มุกดา มาชวนไปเล่นงานกาชาดที่นครสวรรค์แม่ก็ไป"

"แต่ดันบังเอิญวันที่เขาเลิกปฏิวัติกัน พี่พลเขาประกาศทางวิทยุให้คนที่หางานไว้มากำหนดวันเล่นใหม่ แล้วแม่ไม่รู้ ก็เลยมาช้า พอมาช้าพี่พลโกรธมาก แล้วเขาก็ไม่ฟังเหตุผลแม่นะ แม่บอกว่าแม่ไม่รู้เพราะอยู่ต่างจังหวัด ไม่รู้เรื่อง พี่พลไม่ฟังเลยๆ ไล่อย่างเดียว ไปเลย ไปไหนก็ไปเลย จากนั้นแม่ก็ออกมา แต่ไม่ได้โกรธกันหรอก เจอที่ไหนแม่ก็ตามไปไหว้พี่พลตลอด แรกๆ ก็ไม่สนใจทักเท่าไหร่แกก็ไม่พูด แกขี้เล่น แต่บางทีอะไรที่แกพูดไปแล้วแกก็มีฟอร์มไปอย่างนั้นเอง"

ผ่านมา 37 ปีแล้ว เพราะอะไรสุรพลถึงไม่เคยตาย?
"แม่ว่าจริงนะพี่พลไม่เคยตายจากโลกนี้ไปจริงๆ เพราะผลงานเขายังมีอยู่ ให้ได้ยินได้ฟังตลอด พอเปิดเพลงของผ่องศรีก็แอบคิดถึงสุรพล พอเปิดเพลงสุรพลก็คิดถึงผ่องศรีสมัยร้องด้วยกัน แม่เปิดเพลงพี่พลตลอด ยังฟังอยู่ บางทีเวลาเขาจัดงานรำลึกแม่ไม่ค่อยได้ไปเพราะแม่ติดงาน แต่แม่ไม่เคยลืมนะว่าพี่พลมีบุญคุณอย่างไร ทำบุญอุทิศส่วนบุญส่วนกุศลให้ตลอดเลย"

"แม่ว่าคนไทยก็ไม่มีใครลืมแกหรอกเพราะแกดังมากๆ สมัยนั้นแล้วเพลงแกก็ทันสมัยใช้ได้ตลอดเพราะฝีมือการแต่งเพลง ไม่มีใครเปรียบอยู่แล้ว ไม่มีคนเปรียบ ไม่มีเงาเสียง ไม่มีใครเหมือนพี่พล เพราะไม่มีใครทำได้อย่างเขา ใครก็แทนเขาไม่ได้ เพราะคนตั้งแต่สมัยรุ่นพ่อรุ่นแม่ฝังจิตฝังใจให้พี่พลหมดแล้ว ยังไงเขาก็เป็นที่ 1 ที่ไม่มีใครทัดเทียมได้สำหรับความคิดแม่นะ"

"พูดมาจากคนที่ในฐานะที่แม่เองก็เคยคลุกคลีมากับพี่พลแม้จะไม่ได้เป็นลูกศิษย์โดยตรง แต่เป็นเพื่อนร่วมงานที่ใกล้ชิด บอกเลยว่ายังไงพี่พลก็ไม่มีวันตายอยู่แล้ว แม่เชื่อว่าเป็นอย่างนั้นนะ"
(รูปภาพและข้อมูลบางส่วนจาก http://www.luktungfm.com)


กำลังโหลดความคิดเห็น