ผู้บริหารค่ายเพลงอาร์สยาม "เณร ศุภชัย" ปฏิเสธไม่ได้ให้ข่าวเล่นงานครูเพลงชื่อดัง "มนต์ เมืองเหนือ" กรณีก่อเรื่องฉาวพยายามปล้ำนักร้องสาวในสังกัด ชี้แจงครูเพลงอาวุโสไม่ได้เป็นพนักงานของบริษัทมานานแล้ว ด้านแหล่งข่าวในแวดวงลูกทุ่งเผย ความสัมพันธ์เชิงชู้สาวระหว่างครูเพลง+เจ้าของค่ายกับนักร้องหญิงในสังกัดมีเยอะ
ฉาวโฉ่ทีเดียวกรณีของครูเพลงชื่อดัง "มนต์ เมืองเหนือ" (เฉลียว ฉิมมา) หนึ่งในผู้บริหารอาวุโสของอาร์สยาม ค่ายเพลงลูกทุ่งในสังกัดของ บริษัท อาร์.เอส.โปรโมชั่น จำกัด (มหาชน) ก่อเรื่องไม่ดีไม่งามด้วยการพยายามขืนใจนักร้องสาวในสังกัด ทว่าเหยื่อสาวได้ร้องขอกระทั่งครูเพลงเกิดอาการใจอ่อน และหลังที่เกิดเหตุฝ่ายหญิงได้ไปแจ้งความเอาไว้ เหตุเกิดเมื่อวันที่ 11 กรกฎาคม 2548
ภายหลังจากหนังสือพิมพ์มายาแชนแนลได้นำเรื่องดังกล่าวไปตีพิมพ์เป็นข่าวฉบับวันที่ 9-15 สิงหาคม ในช่วงประมาณ 16.00 น.ของวันนี้ (10 สิงหาคม) ทางผู้บริหารของค่ายเพลงอาร์สยามโดย "เณร ศุภชัย นิลวรรณ" กรรมการผู้จัดการฯ จึงได้จัดการแถลงข่าวขึ้นที่ บ.อาร์เอสฯ ทันที
โดยผู้บริหารของค่ายอาร์สยามเปิดเผยว่า ครูเพลงชื่อดังได้พ้นสภาพของการเป็นพนักงานอาวุโสของค่ายเพลงอาร์สยามไปตั้งแต่กลางเดือนที่แล้ว เพราะฉะนั้นเรื่องที่เกิดขึ้นจึงถือว่าเป็นเรื่องส่วนตัวของครูเพลงที่แอบอ้างเอาชื่อค่ายเพื่อเป็นข้อต่อรองรับนักร้องสาวเข้าสังกัด และนักร้องคนดังกล่าวก็ไม่ได้เป็นนักร้องในสังกัดของอาร์สยามแต่อย่างไร
“พอทางเราทราบข่าวก็เช็กเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เพราะทางเราไม่ได้ติดต่อกับ อ.มนต์มานานพอสมควรแล้ว อ.มนต์พ้นสภาพการเป็นพนักงานอาวุโสมาตั้งแต่กลางเดือนที่แล้ว กรณีที่เกิดขึ้นเป็นกรณีส่วนบุคคล ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับทางอาร์สยามแต่อย่างใด"
"นอกจากนี้ทางเราได้ตรวจสอบไปยังผู้เสียหาย เพราะทางข่าวอ้างว่าเป็นศิลปินในสังกัด แต่พอตรวจสอบแล้วไม่มีรายชื่อ เพราะทุกสัญญาจะสมบูรณ์ได้นั้นต้องมีลายเซ็นผม กับคุณสุรชัย เชษฐโชติศักดิ์เท่านั้น”
ในส่วนของคดีที่เกิดขึ้น ทางผู้บริหารของค่ายอาร์สยามบอกว่าคงจะปล่อยให้เป็นไปตามกฏหมาย ส่วนครูเพลงอาวุโสนั้นขณะนี้กำลังนอนรักษาโรคหัวใจอยู่ที่โรงพยาบาล
"เรื่องของคดีทางอาร์สยามก็รับทราบผ่านทางสื่อ อาร์สยามไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้อง ส่วนคดีต่างๆ คงต้องปล่อยให้เป็นไปตามกระบวนการ เพราะทาง อ.มนต์ไม่ได้ติดต่อมาหลายเดือนแล้ว และตอนนี้แกก็อยู่โรงพยาบาล เป็นโรคหัวใจ รักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลปิยะเวท และสาเหตุที่แกลาออกก็เพราะเป็นโรคหัวใจต้องเข้าโรงพยาบาลบ่อย"
ยืนยันไม่ได้จัดฉากกลั่นแกล้ง
ทั้งนี้กับเรื่องราวที่เกิดขึ้นนั้น บันเทิงออนไลน์ได้รับทราบข้อมูลจากแหล่งข่าวที่เกี่ยวข้องกับวงการเพลงลูกทุ่งว่า น่าจะเป็นเรื่องการเมืองภายในของค่ายเพลงค่ายนี้ เนื่องจากที่ บ.อาร์สยามนั้นมีการแบ่งพรรคแบ่งพวกอย่างชัดเจน ฝ่ายหนึ่งเป็นของครูเพลงอาวุโส "มนต์ เมืองเหนือ" ซึ่งเป็นผู้ที่บุกเบิกและทำให้งานเพลงลูกทุ่งของอาร์เอสฯ มีชื่อขึ้นมา โดยเจ้าตัวมีแบ็กอัพเป็นผู้บริหารของอาร์เอสอย่าง "เฮียจั๊ว-สุรเชษ เชษฐโชติศักดิ์" อยู่
ในขณะที่อีกฝั่งเป็นคลื่นลูกใหม่ซึ่งต้องการจะมาแทนคลื่นลูกเก่า นำโดย "เณร ศุภชัย นิลวรรณ" ซึ่งมีแบ็กอัพที่ใหญ่ไม่แพ้กันคือ "เฮียฮ้อ สุรชัย เชษฐโชติศักดิ์" ซึ่งทั้งสองไม่ค่อยจะชอบวิธีการทำงานของครูเพลงชื่อดังสักเท่าไหร่ และพยายามที่จะขับให้พ้นทางมาโดยตลอด ติดอยู่ที่ทางครูเพลงมีลิขสิทธิ์เพลงลูกทุ่งดังๆ อยู่ในมือมากมาย ซึ่งกับข่าวฉาวที่ออกมานั้นแหล่งข่าวสันนิษฐานว่าน่าจะมาจากคนภายในของ บ.อาร์ยามที่สนิทสนมกับทางนักข่าวเป็นผู้ให้ข่าวนั่นเอง
อย่างไรก็ตาม เมื่อสอบถามเรื่องดังกล่าวไปยังผู้บริหารของค่ายอาร์สยาม เจ้าตัวบอกว่าเป็นเรื่องส่วนตัวไม่เกี่ยวกันกับบริษัท พร้อมกับยืนยันว่าไม่ใช่เรื่องของปัญหาภายในอย่างแน่นอน
"เรื่องที่เกิดขึ้นทางบริษัทไม่ทราบมาก่อน ทราบก็ต่อเมื่อสื่อมวลชนรายงาน"
“วิธีการทำงานของแก ผลงานแกเป็นที่ยอมรับนับถือ แต่โดยส่วนตัวก็ไม่ได้สนิทกัน ขอยืนยันว่าไม่ได้เป็นปัญหาภายในแน่นอน ไม่ทราบว่าจะทำอย่างนั้นไปทำไม เพื่ออะไร อ.มนต์ทำผลงานให้กับบริษัทเยอะในเรื่องผลงาน ก็ยังนับถือแก คงไม่มีใครในบริษัทที่จะปล่อยข่าวออกมา เรื่องผลงานต่อจากนี้ก็คงไม่ปิดกั้นหรอก อันไหนดีเราก็เอามาทำ รับผลงานแกมาทำได้”
“ส่วนเรื่องการคัดสรรศิลปินเป็นเรื่องปกติอยู่แล้วที่ใครจะพาเข้ามา แต่ขอทำความเข้าใจว่าทางอาร์สยามจะรับใครเข้ามาเป็นศิลปินนั้นต้องได้รับความยินยอมจากผมและคุณสุรชัย เชษฐโชติศักดิ์เท่านั้น อ.มนต์ฝากมาบอกว่าถ้าหายดีจะออกมาชี้แจงความเป็นจริงอีกครั้งหนึ่ง ตรงนี้เราคงต้องให้ความเป็นธรรมกับทั้งสองฝ่าย”
“ปกติเวลานักร้องที่จะเข้ามาเซ็นสัญญากับสังกัดอาร์สยามไม่ว่าจะเข้ามาแคส จะเป็นนักร้องหรือยังไม่ได้เป็น จะต้องมีหลักฐานที่ชัดเจน ยืนยันว่านักร้องที่มีเรื่องไม่ได้อยู่ในสังกัด เหตุการณ์ต่างๆ คงต้องคุยกับ อ.มนต์ ผมไม่ทราบจริงๆ”
ครูเพลง + เจ้าของค่าย + นักร้องสาว เรื่องธรรมดา
แหล่งข่าวคนเดิมยังเปิดเผยถึงเรื่องที่เกิดขึ้นต่อไปด้วยว่า กรณีของครูเพลงรวมทั้งบรรดาคนที่เป็นเจ้าของค่ายเพลงลูกทุ่งแล้วไปมีความสัมพันธ์กับนักร้องสาวในสังกัดนั้น ในอดีตค่อนข้างจะเป็นเรื่องธรรมดา รู้กันดีในแวดวงภายใน และไม่ค่อยจะเป็นข่าวขึ้นมาเนื่องจากเป็นการสมยอมกัน
"มันเหมือนกับเป็นการเซ็นสัญญากันทางอ้อมนะ เพราะบางทีพวกเจ้าของค่ายหรือว่าพวกที่เป็นครูเพลงก็ไม่อยากให้เด็กในสังกัดที่อาจจะดังแล้วจะแยกไปอยู่ที่อื่น ก็จะใช้วิธีนี้ ฝ่ายหนึ่งอยากจะดัง พอฝ่ายที่จะทำให้ดังได้เสนอมา ก็ยอม ซึ่งในอดีตค่อนข้างจะมีเยอะและเป็นเรื่องที่รู้ๆ กัน"
"แล้วพวกนักร้องพวกนี้ก็จะเป็นพวกที่มาจากตามชนบทซึ่งไม่ค่อยจะรู้อะไร แค่อยากจะเป็นนักร้องน่ะ พอเจอคนที่เขาบอกว่าจะช่วยได้ก็ยอม ก็มักจะตกเป็นเหยื่อได้ง่าย แล้วค่ายเพลงลูกทุ่งมันเยอะมาก ค่ายเล็กค่ายน้อยเยอะแยะไปหมด แต่ปัจจุบันก็เริ่มลดๆ ไปบ้างแล้ว" แหล่งข่าวเผย
นักร้องสาวเผยนาทีถูกปล้ำ
สำหรับนักร้องสาวเหยื่อของครูเพลงอาวุโสตามข่าวที่ออกมานั้นมีชื่อว่า "จันธร" โดยเรื่องราวต่างๆ เจ้าตัวเล่าว่า...
นักร้องสาวเผยนาทีถูกปล้ำ
(เรียบเรียงจากหนังสือพิมพ์มายาแชนแนล)
สำหรับนักร้องสาวเหยื่อของครูเพลงอาวุโสตามข่าวที่ออกมานั้นมีชื่อว่า "จันธร" โดยเรื่องราวต่างๆ เจ้าตัวเล่าว่า...
เมื่อหลายเดือนก่อนตนได้พบกับนายวันชนะ เกิดดี ซึ่งเป็นพี่ที่เธอนับถือ ต่อมา นายวันชนะได้แนะนำให้รู้จักกับอาจารย์ “มนต์ เมืองเหนือ” ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้บริหารค่ายอาร์สยาม ที่อยู่ในเครืออาร์.เอส. โปรโมชั่น หลังจากนั้นอาจารย์มนต์ก็ได้จับเธอเซ็นสัญญาเข้าสังกัด ซึ่งตอนนั้นอาจารย์มนต์บอกว่าเซ็นกับบริษัทอาร์สยาม ตัวเธอเองก็ดีใจที่ความฝันอยากจะอยู่ค่ายเพลงใหญ่ๆ เป็นความจริงขึ้นมา
ในกรณีที่ทำให้เธอสงสัยว่าทำไมอาจารย์มนต์ไม่ให้เธออ่านสัญญา หรือมอบสำเนาสัญญาให้เธอ อาจารย์มนต์ยังบอกว่า “ไม่ต้องอ่านหรอกเอาไว้วันหลังค่อยมาอ่านก็ได้ กูจะรีบไป” แล้วยังย้ำต่ออีกว่า “มันเป็นสัญญากันเองแบบพี่ๆ น้องๆ มึงไปคิดอะไรมากมาย ทำกับกูมึงไม่ต้องกลัวหรอก กูไม่ให้มึงมาเป็นทาสกูหรอก” จึงทำให้เธอสบายใจ
“พอถึงวันที่ 9 กรกฎาคม ในวันนั้นหนูทนไม่ไหวก็เลยโทรหาอาจารย์มนต์ ว่าอยากได้สำเนาสัญญาที่เซ็นไว้ อาจารย์มนต์ก็ตอบว่า “มึงมาเลย มึงอยากจะได้ก็มาเจอกันที่ร้านส้มตำ หน้าบ้านพี่หมาน” หนูก็ไม่ได้คิดอะไร ก็แต่งตัวสบายๆ นุ่งกางเกงยีนส์ขาสั้น ใส่เสื้อกล้ามและใส่เสื้อคลุมทับอีกตัว แล้วก็นั่งรถแท็กซี่ มีตังค์ติดตัวมาร้อยเดียว
แต่พอมาถึงแกก็ยังไม่ยอมให้อ่านสัญญาเหมือนเดิม แถมยังด่าหนูหยาบๆ คายๆ โวยวายลั่น หนูไม่รู้ว่าแกจะมามุกนี้ แจกของลับเต็มร้าน หนูก็อายแขกในนั้นจึงขอตัวกลับบ้าน แกบอกว่าไม่เป็นไรเดี๋ยวกูไปส่ง แต่พอหนูเปิดประตูด้านหลังก็มีของอยู่เต็มไปหมด เลยจำเป็นต้องนั่งข้างหน้าเบียดไปกับอาจารย์มนต์ เพราะแกมีคนขับรถให้ พอถึงหน้าบ้าน หนูก็ขอลง แกบอกว่ากูไม่ลงและมึงก็ไม่ต้องลง มึงไปกับกูเลย
หนูก็บอกว่าหนูไม่ไป นี่หนูใส่กางเกงขาสั้นตัวเดียวหนูไปไหนไม่ได้หรอก หนูไม่พร้อมจะไปที่ไหน แต่แกบอกว่ามึงไปชุดนี้แหละ มึงเก่งนักมึงต้องไปชุดนี้แล้วก็บอกคนขับรถให้ออกรถไปเลย พอขับถึงทางด่วนหนูก็ถามว่าแกจะพาหนูไปไหน แกตอบว่า “มึงไม่ต้องมาถามกู ทำบ้าอะไรไม่ใช่หน้าที่ของมึง” แต่แกบอกว่า “กูจะไปหาพระ”
หลังจากนั้นแกบอกคนขับรถว่ากูจะไปบ้านเมียเก่ากูหน่อย แกก็นั่งบอกทางไปตามถนนตามท้องนาที่เธอก็ไม่เคยไป ไม่รู้ว่ามันเป็นที่ไหน แต่คิดว่าเป็นเขตพระนครศรีอยุธยา เพราะว่าเธอก็เป็นคนอยุธยา
ระหว่างทางเธอก็พูดขอร้องตลอดว่า อยากกลับบ้าน แต่แกกลับบอกว่า “มึงอยากกลับบ้าน มึงก็เดินกลับไปซิ” ซึ่งในตอนนั้นเธอไม่ได้คิดอะไรว่าจะมีเรื่องอย่างนี้เกิดขึ้น
แกขับรถแวะไปหลายที่จนมาถึงจังหวัดลพบุรี เธอก็เลยขอลงเพราะว่ามันก็ใกล้กับบ้านที่อยุธยา พอประมาณตี 1 ก็แวะกินข้าว พอมาถึงที่บ้านแห่งหนึ่ง แกก็ขนของลง เสร็จแล้ว เธอก็เข้าไป แกก็โยนชุดนอนของผู้หญิงมาให้ แล้วบอกว่าให้ไปอาบน้ำ
"แต่หนูก็บอกว่าหนูไม่อาบ หนูจะนอนชุดนี้ล่ะค่ะ และแกก็ออกไปสักพักตอนตี 2 กว่าๆ แกก็เดินออกมาบอกว่า แอร์ห้องแกเสีย พอเดินมาถึงตัวหนูก็ตรงเข้ามากอดหนูเลย ล้วงเข้าไปจับหน้าอก จับอะไรและพยายามจะปลดเสื้อใน และจับหนูปลดกระดุมถอดเสื้อ เพราะหนูนุ่งกางเกงขาสั้นแกเลยล้วงของลับหนู"
"ระหว่างนั้นหนูก็ยัน และหนูก็ลุกขึ้นนั่งกราบขอร้องแก ขออย่าทำอย่างนี้กับหนูเลย ถ้าอาจารย์ไม่ทำเทปให้หนูไม่เป็นไร แต่อย่าทำอย่างนี้หนูเลย หนูก็นั่งร้องไห้ แกก็ด่าหนู มึงนี่ท่ามาก แล้วแกก็บอกว่า เอ้ากูไม่ทำมึง มึงไปนอนได้ พอตอนเช้าหนูก็เลยไปแจ้งความไว้"