แม้ว่าสาววัย 18 อย่าง "ฟาง พิชญา ศรีเทพย์" จะมีตำแหน่งมิสทีนไทยแลนด์ปี 2003 มาการันตีความสวย อีกทั้งเธอยังมีโอกาสได้เล่นละครมาบ้างแล้วก็ตาม แต่ชื่อของฟางก็ยังไม่เป็นที่คุ้นหูของคนส่วนใหญ่มากนัก
อย่างไรก็ตามเชื่อได้ว่าอีกไม่นานหลายคนจะต้องเริ่มจดจำสาวคนนี้กันได้บ้างจากบทบาทการเป็นนางเอกครั้งแรกในชีวิตของเธอกับเรื่อง "บ่วงรัก" ของค่ายเอ็กแซ็กท์ ซึ่งฟางได้เล่นประกบคู่กับ "เปปเปอร์ รัฐศาสตร์ กรสูต" ผู้ที่ใครหลายคนต่างจับจ้องกันว่าจะมาเป็น "ป๋าดัน" ให้กับสาวฟางได้แจ้งเกิดอย่างสวยงาม(สักที)
แต่ก่อนที่จะไปร่วมลุ้นพิสูจน์ถึงความสามารถทางการแสดงของฟางในละครเรื่องล่าสุดของเธอว่าสมควรจะได้รับการยอมรับจากผู้ชมกันหรือไม่ เราลองมาทำความรู้จักกับตัวตนในหลายๆมุมของสาวฟางกันก่อนดีกว่า...
ทำไมถึงชื่อฟาง?
“จริงๆ ตอนเด็กๆคุณพ่อคุณแม่ก็ไม่รู้จะให้ชื่ออะไรเหมือนกัน ตอนแรกชื่อส้มเสร็จแล้วแม่หนูกลัวว่าจะเปรี้ยว เพราะส้มมันจะเปรี้ยวๆ ใช่มั้ย เขาก็เลยตั้งไปเรื่อยๆ ก็จะเปลี่ยนชื่อหนูไปทุกวัน วันนี้หนูอาจจะชื่อฟาง พรุ่งนี้ชื่อแจน วันมะรืนชื่อเฟิร์นชื่อแอนเปลี่ยนไปทุกวัน จนแบบมามีชื่อฟางเนี่ย ซึ่งเป็นชื่อนางเอกของหนังจีนฟางอี้อะไรอย่างนี้ ทีนี้แม่บอกว่า เอ๊ย...ชื่อนี้เพราะดีก็เลยเอาชื่อนี้มาเป็นฟางข้าวค่ะ”
คิดว่าอะไรเป็นจุดเด่นของเรา?
“หนูว่าหน้าตามั้ง เพราะหน้าตาเราไม่เหมือนคนอื่น(หัวเราะ)ไม่ใช่ว่ามันจะสวยหรือขี้เหร่อะไรยังไง คือคนเรามันไม่ใช่ฝาแฝดก็ต้องหน้าไม่เหมือนกันอยู่แล้วน่ะ พอเพื่อนพูดถึงฟางปั๊บเขาจะรู้เลยว่าฟางหน้าแบบหนูนะ คือหนูเป็นคนที่พอยิ้มแล้วดูสดใสพอหน้าเฉยๆ ปั๊บเหมือนหน้าบึ้งน่ะค่ะ แต่จริงๆ หนูไม่ได้โกรธหรืออะไรนะแต่หน้ามันหงิกเอง ก็เลยต้องพยายามยิ้มๆ หน่อย”
เคยให้สัมภาษณ์ว่าฝันอยากเป็นผู้พิพากษาตอนนี้เป็นนางเอกแล้วความฝันนี้หายไปมั้ย?
“ก็ยังมีอยู่ เพราะว่าจริงๆ แล้วผู้พิพากษากว่าจะได้เป็นก็ตอน 40 ปลายๆ อยู่แล้วน่ะค่ะ ที่อยากเป็นเพราะรู้สึกว่ามันเป็นอาชีพมีเกียรติ แต่ตอนนี้หนูชักไม่แน่ใจแล้วว่าเราจะเป็นได้รึเปล่าเพราะจากการที่เราศึกษามากๆ เนี่ย ถามคนนั้นคนนี้เยอะๆ ขึ้นเขาจะบอกว่ามันยากมาก คือเหมือนเรียนอาจจะเรียนได้แต่จบรึเปล่าไม่แน่ใจ หรือว่าจบมาแล้วสอบเนฯ ได้รึเปล่าก็ไม่รู้”
“ตอนนี้หนูก็เลยเริ่มมองคณะอื่นไว้บ้าง เช่น รัฐศาสตร์ที่ยังเป็นเครือเดียวกันแต่ที่แยกออกมาก็คือเป็นศิลปกรรม สาขานฤมิตรศิลป์เป็นแนวกราฟฟิกดีไซน์ เป็นการออกแบบไม่ได้ใช้มือวาดแต่ใช้คอมพิวเตอร์ช่วย ก็คือมีคนแนะนำว่าดูหนูเป็นคนสมัยใหม่ น่าจะเหมาะกับอะไรที่ปราดเปรียวคล่องตัว หนูก็เอ้อสนใจเพราะหนูเป็นคนที่ชอบเล่นคอมพิวเตอร์ด้วย”
“อีกอย่างเวลาเราน้อยลงด้วยที่จะไปเรียนหนักๆ เพราะหลายคนบอกว่าเรียนยากเรียนหนักแล้วทีนี้คือพอมันเรียนหนักปึ๊บหนูกลัวว่าจะไม่ไหว คือหนูกลัวเรียนได้ 2 ปีแล้วต้องออกมาเอนท์ฯ ใหม่ หนูไม่อยากเสียเวลาตรงนั้น กำลังคิดอยู่ว่าแน่ๆ จะเลือกอะไรดี อย่างนฤมิตรศิลป์เรียนได้อยู่แล้วเพราะเขาบอกว่าเรียนง่าย แต่ถ้าเอนท์ฯ ติดนิติฯ ก็คือต้องมุ่งน่ะค่ะ แต่ต้องดูที่วงการด้วยหลายคนบอกว่าถ้าเราถ่ายละครอยู่ในวงการ เวลาเรียนก็จะต้องน้อยลง นิติศาสตร์ถ้าอ่านเองก็คงจะไม่เข้าใจ ต้องอาศัยฟังเลคเชอร์จากอาจารย์ เราก็อ๋อ...ลองเก็บเอามาคิดมาตัดสินใจอีกทีค่ะ”
แล้วตอนนี้เตรียมตัวเรื่องเรียนยังไงบ้าง?
“ก็เตรียมตัวนิดหนึ่งก็คือเริ่มเรียนพิเศษบ้าง เริ่มจ้างติวเตอร์มาสอนเพราะว่าเวลาเรียนจะน้อยลง แล้วก็ตามสถานกวดวิชาจะมีคอร์สการติวอยู่แล้วตรงนั้นหนูจะเรียนไม่ได้เพราะเวลาว่างหนูจะไม่แน่นอนอาจจะว่างเสาร์นี้ เสาร์หน้าอาจจะถ่ายละคร เวลาไม่แน่นอนถ้าหนูไปลงเรียนอย่างนั้นก็จะได้ความรู้ไม่เต็มที่ ก็เลยจ้างครูมาสอนดีกว่าแต่หนังสือก็ยังไม่เริ่มอ่านเริ่มจะเรียนมากกว่า”
ฟังดูเหมือนตอนนี้อะไรๆ ก็ต้องมีเรื่องของละครเข้ามาเกี่ยวข้องกับชีวิตเรา งั้นตอนนี้ความคิดที่ฟางเคยบอกว่าไม่ยึดอาชีพนักแสดงเป็นอาชีพหลักมันก็เปลี่ยนไปแล้ว?
“ใช่ๆ ก็เริ่มเปลี่ยนนิดหนึ่งน่ะค่ะ ก็ยอมรับคือตอนที่ให้สัมภาษณ์หนูยังยึดนักเรียนเป็นหลักอยู่เพราะว่าตอนนั้นการแสดงหนูก็เพิ่งเข้าวงการ รู้สึกว่ามันเป็นอะไรที่เหมือนงานอดิเรกอย่างหนึ่ง แต่พอหนูมาลองตรงนี้ปุ๊บ หนูเริ่มจะจริงจังต้องซีเรียสมากขึ้นทุ่มเทแล้วเหนื่อย คือเหมือนกับหนูทำงานเลยน่ะเหมือนกับหนูอยู่วัยทำงานเลย หนูก็เลยรู้สึกว่า เอ๊ย...มันเป็นอีกอาชีพหนึ่ง มันไม่ใช่งานอดิเรกแล้วนะ มันเป็นก้าวใหญ่ เป็นสิ่งที่ต้องรับผิดชอบที่เราต้องทำอะไรอย่างนี้น่ะค่ะ”
ฟางผ่านงานละครมากี่เรื่องแล้ว
“ 5 เรื่องค่ะ มี "รักได้ไหมถ้าหัวใจไม่เพี้ยน”, “หลงทางรัก”, “สิงห์มอเตอร์ไซค์กับยัยตัวแสบ”, “บันทึกรักของบุญลือ” ทาง ช่อง 7 เพิ่งมาเป็นนางเอกเรื่องบ่วงรักของช่อง 5 เรื่องแรกค่ะ”
ตรงนี้รู้สึกน้อยใจมั้ยที่เรายังไม่ดังเท่ากับเพื่อนอย่างเชียร์(ฑิฆัมพร)ที่มาจากเวทีเดียวกัน?
“ไม่นะคะ เพราะหนูรู้สึกว่ามันจะเป็นความสามารถเฉพาะตัวในเรื่องการแสดงของแต่ละบุคคล มันเป็นเรื่องของพรสวรรค์ แล้วอีกอย่างโอกาสมันไม่เหมือนกันด้วย มันอยู่ที่ดวงหลายๆ อย่าง คือบางคนมีโอกาสด้วยบวกด้วยความสามารถที่ทำให้เขากระเถิบไปได้เร็ว อย่างหนูรู้สึกว่าพรสวรรค์เรื่องการแสดงหนูอาจจะยังน้อย แล้วก็ผู้ใหญ่อาจจะมองเห็นว่าเอ๊ยเราอาจจะเริ่มได้แค่เบื้องต้นอยู่ ก็เลยให้เราเริ่มจากอะไรที่เป็นเริ่มต้นก่อนเพื่อที่เราจะได้พัฒนาไปเรื่อยๆ ซึ่งหนูรู้สึกว่าก็พัฒนามาเรื่อยๆ นะคะ”
บทบาทที่ชอบมากที่สุด?
“หนูชอบแนวดราม่า แนวอย่างในเรื่องบ่วงรักน่ะค่ะเพราะหนูเดิมเป็นคนติดละคร ดูทุกวันจนแบบพ่อบอกว่าเธอจะไม่อ่านหนังสือเหรอ ดูเสร็จก็นอนเพราะก็ 4 ทุ่มแล้วใช่มั้ย แล้วหนูชอบดูละครแนวที่พระเอกนางเอกจะไม่หวานแหวว หนูรู้สึกว่าแนวนี้ดูแล้วได้อารมณ์ อย่างแม่อายสะอื้นหนูติดมากเลยนะ พี่นุ่นเล่นดีมาก แล้วคือใฝ่ฝันเหมือนกันนะตั้งแต่เริ่มเข้าวงการอยากลองสักครั้งได้เล่นละครแนวนี้ดู แล้วปรากฏว่าได้เล่นจริงๆ ก็ตื่นเต้นดีค่ะ”
คิดว่าตัวเองเล่นบทไหนได้ดีที่สุด?
“หนูไม่รู้น่ะไม่แน่ใจ หนูเพิ่งเคยเล่นได้แค่ 2 แบบคือคอมเมดี้กับดราม่า แต่หนูชอบดราม่ามากกว่าเพราะรู้สึกว่าเล่นแล้วมันเหนื่อยน่ะค่ะ ใช้พลังแล้วมันมีซีนอารมณ์เยอะ รู้สึกว่ามันตื่นเต้นมีอะไรให้ทำ ต้องทำอารมณ์ต้องใช้สมาธิสูงค่ะ เป็นอะไรที่ท้าทายความสามารถ ทำให้เราไม่จำเจเพราะแต่ละซีนนี่จะมีทั้งโกรธ เศร้า เสียใจ แต่ก็ไม่รู้ว่าเล่นออกมาแล้วดีรึเปล่านะ(หัวเราะ)”
การเราถูกติดต่อให้เล่นละครสักรื่องคิดว่าเป็นเพราะอะไรหน้าตาที่น่าจะขายได้หรือเขามองตรงที่เป็นดารามีตำแหน่งมิสทีน?
“หนูว่าเขาน่าจะมองเราจากคาแร็กเตอร์มากกว่าเพราะว่าเหมือนตัวฟางเองหรืออาจจะเป็ดาราท่านอื่นก็จะมีเสน่ห์ของตัวเองไม่เหมือนกัน มีบุคลิกไม่เหมือนกันคืออยู่ที่ผู้กำกับที่เขาจะมองตัวละครตัวนี้เป็นยังไง เหมือนอย่างที่เล่นป็นพิณทอง(ในบ่วงรัก) ผู้กำกับเป็นพี่ป้อนแล้วพี่ป้อนอาจจะมองตัวพิณทองว่าแบบนี้แล้วปรากฏว่าคาแร็กเตอร์เนี่ยกับตัวหนูมันคล้ายคลึงกัน มันเล่นกันได้ ถ้าพิณทองเอาดาราคนอื่นมาแสดงอย่างเอาพี่นุ่นมาแสดงก็อาจจะเป็นอีกคนหนึ่งไป หรือจะเอาพี่อ้อม พี่แป้งหรือว่าพี่จั๊กจั่นมาเล่นก็เป็นอีกสไตล์หนึ่ง หนูว่าอันนี้ต้องอยู่ที่ผู้กำกับมองมากกว่าว่าตัวละครตัวนี้น่าจะออกมาเป็นแบบไหน แล้วก็เลือกนักแสดงให้ตรงกับบุคลิกมากกว่าค่ะ”
คิดว่าละครเมืองไทยมีการพัฒนามั้ย
“พัฒนานะหนูว่าเหมือนเห็นว่าละครดีขึ้น มีความสมจริงสมจัง ฉากสวยขึ้น แล้วก็หนูถามพี่ป้อนเขาก็อธิบายแนะเหมือนกันว่าด้วยเฟรมด้วยมุมกล้องมันมีการเปลี่ยนไป หนูดูจากละครที่เอามาฉายใหม่กับละครตอนนี้น่ะค่ะมีการพัฒนาสวยขึ้น เอ็ฟเฟ็กต์มากขึ้นเสียงภาพมีเทคนิคซ้อนภาพ เยอะน่ะค่ะ แล้วก็รู้สึกว่านักแสดงก็มีพัฒนาเหมือนกันอาจะมีวิธีการเล่นสมัยใหม่เพิ่มขึ้น มีแนวละครใหม่ๆ เพิ่มขึ้น”
คุณค่านักแสดงไทยในความคิดฟางอยู่ที่ตรงไหน
“คุณค่าเหรอคะ หนูว่านักแสดงเป็นอาชีพที่เหนื่อยเยอะแล้วก็สนุกไปในเวลาเดียวกัน อย่างตัวหนูเองเวลาเล่นหนูเหนื่อยก็จริง แบบโหตื่นตั้งแต่ตี 5 เลยน่ะเสร็จเที่ยงคืนกว่าจะถึงบ้านตี 1 อาบน้ำเสร็จก็ตี 2 เราก็มีท้อบ้างแต่ว่าพอผลงานเราออกแล้ว เวลาที่มีผู้ชมได้ดูหนูเล่นเป็นตัวละครนั้นๆ แล้วเขารู้สึกสนุกไปกับมัน เหมือนทำให้คนดูประทับใจ เราจะรู้สึกหายเหนื่อยไปเลยจริงๆ คุณค่ามันน่าจะอยู่ตรงนี้น่ะค่ะที่สามารถทำให้ผู้ชมที่เขาเหนื่อยจากงานเหมือนกันได้มาดูละครของเราแล้วเขาบันเทิงใจ มีความสุขซึ่งเราก็มีความสุขด้วย”
รู้สึกว่าดาราไทยขายอะไรมากกว่ากันระหว่างชื่อเสียงกับความสามารถ
“หนูว่าน่าจะขายฝีมือมากกว่า อาจจะมีส่วนของกระแสที่ตอนนี้คนนี้อาจจะมีชื่อเสียงกำลังโด่งดังก็เอามาเล่น แต่หนูว่าด้วยความที่เป็นนักแสดงเนี่ยเขาอาจจะสามารถสวมบทบาททุกอย่างได้อยู่แล้วน่ะค่ะ การเป็นนักแสดงมันต้องเล่นได้หมด หนูคิดว่าเขาน่าจะขายฝีมือมากกว่า แต่อาจจะนิดหนึ่งชื่อเสียงอาจจะทำให้เรียกผู้ชมน่าดูได้มากขึ้น”
พอดาราเริ่มดังก็ต้องมีข่าวแล้วข่าวแบบไหนที่กลัวมากที่สุด?
“หนูก็ยังไม่ค่อยโดนข่าวอะไรนะ จริงๆ ก็กลัวหมดแหละกลัวเป็นข่าว แต่ว่ายังไม่ได้กลัวเรื่องไหนเป็นพิเศษ ก็กลัวเป็นข่าวที่ไม่ดีน่ะค่ะ แต่จริงๆ แล้วข่าวกับดาราเป็นของคู่กันอยู่แล้วคือถ้าเราไม่มีข่าวเลยเราอาจจะหายเงียบไปเลย แต่เราก็ไม่ได้จะต้องมาสร้างข่าวเพื่อให้ตัวเราดัง มันก็ไม่ใช่”
เปลี่ยนอารมณ์มาคุยเรื่องหัวใจบ้าง ตอนนี้ฟางมีแฟนรึยัง?
“ไม่มีค่ะ เพราะว่าหนูอาจจะยังอายุน้อยๆ อยู่มั้งคะ แล้วอีกอย่างสังคมที่หนูได้เจอก็มีแต่โรงเรียนแล้วก็สถานที่ที่ทำงาน คือกองถ่ายหรือวงการบันเทิงใช่มั้ย แล้วอย่างโรงเรียนมันเป็นอะไรที่แคบเหมือนกัน ส่วนใหญ่คนในชั้นที่รู้จักก็เป็นเพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆ ที่รู้จักกันมากกว่า ส่วนในวงการหนูยังเป็นน้องใหม่แล้วเขามองว่าหนูเป็นน้องมากกว่า ก็เลยยังไม่มีใครเข้ามาอะไรยังไง (ไม่มีใครเข้ามาจีบเลย?)ไม่มีแต่ถ้าอย่างในโรงเรียนก็มีเข้ามาคุยแต่มาในลักษณะที่อยากรู้จักมากกว่า”
แล้วแบบไหนที่จะเรียกคนๆ นี้ว่าคือแฟนเราได้
“แฟนมันเหมือนกับว่าคนที่เราไว้ใจ เป็นห่วงเป็นใยกันช่วยเหลือกัน มีน้ำใจเอื้อเฟื้อกันอย่างนี้ อ้อ !ต้องรักกันด้วย จริงๆ สำคัญเลยที่เราจะต้องรักกัน”
แฟนต่างจากคำว่าเพื่อนชายที่สนิทยังไง
“มันแตกต่างกันนิดเดียวเองนะคะ หนูว่ามันเป็นตรงที่ความรักมากกว่า ถ้าแฟนเราอาจจะมีความรู้สึกที่ว่าเอ๊ยเรารักเขาน้า แต่กับเพื่อนเราอาจจะมีความรักแบบเพื่อนแบบเฮฮาปาร์ตี้ แล้วถ้าเป็นแฟนเราอาจจะมีความรู้สึกที่พิเศษขึ้นมาอีก อาจจะเป็นห่วงเขาเลยไปอีก เช่นอาจจะเป็นห่วงเรื่องนิสัยการแต่งตัวอาจจะเป็นเรื่องชีวิตประจำวันเขา เป็นเรื่องครอบครัวพ่อแม่ของเขา เราจะเป็นห่วงเขามากไปกว่าเพื่อน ถ้าเพื่อนอาจจะเป็นแค่กรอบๆ หนึ่งยังเล็กอยู่ ถ้าแฟนจะห่วงคลุมไปหมดเลย”
ฟางมองความรักเอาไว้ยังไง
“หนูว่าความรักแบบแฟนเนี่ยก็เป็นส่วนหนึ่งในชีวิต เหมือนกับว่าเป็นส่วนเติมเต็มหนึ่งของชีวิตแต่ว่ามันแล้วแต่วัยน่ะค่ะ อย่างของหนูอาจจะเป็นเด็กๆ ป๊อปปี้เลิฟ แต่ถ้าหนูคิดว่าอย่างเป็นวัยที่เรียนมหา’ลัยหรือว่าจบแล้วเป็นแฟนเหมือนกับว่าที่เขาจะใช้ชีวิตคู่ด้วยกันอย่างนั้นน่ะค่ะ”
“การมีแฟนก็มีทั้งส่วนดีและส่วนเสียนะคะ ถ้ามีแฟนแล้วเราหลงแฟนมากเกินป เราเกินขอบเขตเรามองความรักยิ่งใหญ่เกินไปจนเราลืมเรื่องอื่นที่ต้องรับผิดชอบเช่นเราลืมเรื่องเรียนไปหรือว่าลืมเรื่องภาระหน้าที่ที่ต้องทำการบ้านอ่านหนังสือ มันอาจทำให้เราไม่ประสบความสำเร็จในการเรียนนี่ก็เป็นข้อเสีย แต่ถ้าจะมองถึงข้อดีก็คือมีแฟนถ้าจะช่วยกันเรียนช่วยกันทำงานก็ดีน่ะค่ะ”
“คือก็มองความรักไว้ 2 แบบเลยคือสิ่งที่ดีสวยงามกับสิ่งที่ไม่ถึงกับไม่ดีแต่หนูว่ามันก็น่ากลัวเพราะถ้าบางทีเราได้เจอคนที่ดีก็ดีไป ถ้าเราเจอคนไม่ดีถ้าเขาชักชวนเราไปในทางที่ไม่ดี บางทีเราเป็นแฟนกันเราอาจจะไว้ใจกันมากเกินไปจนเราลืมตัวอย่างนี้มันก็แย่เหมือนกัน”
คิดยังไงกับคำกล่าวที่ว่าความรักทำให้คนตาบอด
“มันก็จริงนะ (ตอบทันควัน) บางทีการที่เรารักใครคนหนึ่งมากๆ กลายเป็นมองว่าเขาอะไรก็ดีไปหมดเลยในตัวเขาซึ่งพอเลิกกันไปแล้วเราถึงรู้ทีหลังว่า อึ๊ย! ดูมันทำสิ แต่ว่าจริงๆแล้วเราควรจะมอง 2 มุมมากกว่า สมมติเรารักเขาแล้วเราเชื่อเขาทุกอย่างเนี่ยเราควรจะมีมุมหนึ่งส่วนตัวของเราเอง ก็มองเขาว่าเอ๊ยสิ่งนี้ที่เขาพูดมันถูกรึเปล่า"
เพลงรักที่ชอบมากที่สุด
“ชอบหมดเลยน่ะ เนื้อหาเพลงที่มันสมหวังผิดหวังก็ฟังหมด แต่ถ้าให้ระบุชื่อก็เพลงนี้ดีกว่าของพี่เป๊ก “ไม่มีใครรู้” หนูว่าความหมายดีนะ ชอบด้วยทำนองเสียงร้องและเนื้อหา คือเหมือนกับว่าเราเป็นแฟนเรารักกันอย่างนี้ เราไม่รู้หรอกว่เราจะคบกันได้นานเท่าไหร่แต่ว่าเหมือนกับว่าเอาปัจจุบันให้มันดีที่สุด หนูว่าเอ้อน่ารักดีเพราะว่าบางทีถ้าเรามัวแต่คิดว่าเอ๊ยฉันจะคบเธอแค่ปีเดียว คบแค่5เดือน3 เดือนมันก็เหมือนกับว่าไม่มีความหมาย”
คิดว่าโลกใบนี้จะมีคนที่รักเรามากที่สุดสักกี่คน
“หนูว่าน้อยน่ะไม่เยอะ คือรักเรามากน่ะอาจจะมีเยอะแต่ถ้ารักเรามากที่สุดน้อยน่ะ อย่างน้อยพ่อแม่2คนนี่แน่นอน อาจจะเป็นน้องสาวหนูอีกคนที่รักกันมากอยู่แล้ว นี่หมายถึงคนในครอบครัว ถ้าเป็นคนอื่นที่รักเราเป็นแฟนก็คงจะน้อยน่ะ ไม่รู้นะ”
อยากให้คนรักสารภาพรักกับเราแบบไหน?
“แบบไหนยังไงดี... แบบไม่ได้บอกว่าเฮ้ยเรารักเธอนะ อยากให้เป็นการกระทำมากกว่าแล้วมันเป็นอะไรที่เซอร์ไพรส์ๆ ดูน่ารักน่ะ อยากได้ที่โรแมนติก อาจจะมีดอกไม้หรืออะไรเช่นอาจจะแบบว่าหนูเปิดห้องเรียนหรือห้องนอนมาอาจจะมีของตั้งอยู่เป็นดอกไม้แล้วเขียนคำที่แสดงถึงความรักเราอะไรแบบนี้ ไม่ต้องบอกว่ารักก็ได้ค่ะ หรืออาจจะกินข้าวด้วยกันแล้วหนูลุกไปเข้าห้องน้ำกลับมาก็อะไรอะแชะๆ อยู่มีกระดาษน่ารักๆ มีข้อความที่อ่านแล้วยิ้มได้แบบนี้”
คติชีวิตที่ยึดถือมาตลอด
“หนูว่าทำวันนี้ให้ดีที่สุดน่ะค่ะ เพราะว่าพรุ่งนี้อะไรจะเปลี่ยนก็ไม่รู้ใช่มั้ยคะ เหมือนบางทีเราอยากจะทำอันนี้แหละแต่เดี๋ยวทำพรุ่งนี้ดีกว่า หนูรุ้สึกว่าถ้าเกิดพรุ่งนี้เราเกิดอุบัติเหตุอะไรยังไงขึ้นมาล่ะจะทำยังไง (ทำท่าเคาะโต๊ะ 3 ที) เราน่าจะทำทุกอย่างที่เราอยากทำวันนี้ให้ดีที่สุดดีกว่าค่ะ”