ว่าไปแล้วสถานภาพของเครื่องเล่น "วิดีโอ" (Video) ก็คงจะไม่ได้แตกต่างอะไรนักกับของเล่นชิ้นหนึ่ง...
แม้จะเคยอยู่ในฐานะของผู้ให้ที่บันดาลทั้งความบันเทิง เคยสร้างเสียงหัวเราะ เคยส่งหนุ่มวัยรุ่นวัยคะนองหลายต่อหลายคนไปสวรรค์มาแล้ว แต่ถึงวันนี้วันที่มีของเล่นชิ้นใหม่เข้ามาแทนที่ เจ้าเครื่องเล่นวิดีโอที่เคยเป็นของเล่นชิ้นโปรดก็ค่อยๆ ไร้คุณค่า หมดประโยชน์ และถูกลืมไปในที่สุด
หากคุณเป็นเจ้าของเครื่องเล่นวิดีโอ
ลองนึกดู ว่าคุณเคยเปิดเครื่อง หรือเคยเดินเข้าไปเช่าม้วนวิดีโอที่ร้านเช่าครั้งหลังสุดเมื่อใด?
*****
การตายที่น่าใจหาย
ย้อนไปเมื่อ 4 - 5 ปีที่ผ่านมา หากมีใครบอกว่าอีกไม่นานเครื่องใช้ไฟฟ้าเพื่อความบันเทิง "วิดีโอ" จะไม่มีอีกแล้วในบ้านเรา เชื่อว่าหลายคนคงส่ายหัวเพราะในช่วงระยะเวลาดังกล่าวเจ้าของเล่นชนิดนี้ยังคงเป็นนวัตกรรมที่ให้ความสุขความบันเทิงในบ้านได้เป็นอย่างดี
ทว่าเพียงช่วงระยะเวลาแค่ 2 ปีต่อมา จนถึงวันนี้ หลายคนคงจะไม่ปฏิเสธในคำพูดดังกล่าว ซึ่งแม้จะไม่ถึงขนาดที่ว่าจะไม่มีการทำธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับเจ้าเครื่องเล่นนี้อีกเลย แต่ก็ต้องบอกว่าอยู่ในระดับที่ใกล้เคียง อันเนื่องจากบรรดาบริษัทเครื่องใช้ไฟฟ้าทั้งหลายไม่ได้ผลิตเครื่องเล่นวิดีโอออกมาจำหน่ายในบ้านเรามานานกว่า 2 ปีแล้วนั่นเอง
ถ้านับตั้งแต่ช่วงเวลาประมาณปี พ.ศ. 2526 - 2527 ซึ่งเป็นยุคแรกๆ ที่เครื่องใช้ไฟฟ้าชิ้นนี้ได้เข้ามาสู่บ้านเรา ถึงวันนี้ พ.ศ.2548 เป็นระยะเวลานานกว่า 20 ปีก็ค่อนข้างจะเหมาะสมอยู่กับอายุการใช้งาน และเมื่อนึกถึงความบันเทิงที่ได้รับมาจากเครื่องเล่นชนิดนี้ ไม่ว่าจะเป็นเสียงหัวเราะเมื่อเช่าตลกมาดู ไม่ว่าจะเป็นอารมณ์ตื่นเต้นปนเสียวๆ ของการแอบดูหนังโป๊เป็นครั้งแรก (กว่าจะเช่ามาได้สักม้วนหนึ่งก็ต้องรอจังหวะแล้วรอจังหวะอีกให้คนในร้าน(เช่า)ลดน้อยไปก่อน) เหล่านี้ เชื่อว่าหลายๆ คนคงจะอดใจหายไม่ได้เหมือนกัน
"มันเริ่มลดลงอย่างมากเมื่อประมาณ 3 ปีที่แล้ว แล้วก็เลิกอย่างปริยายคือไม่มีการเอาเข้ามา ไม่มีการผลิตสักเครื่องเลยก็ประมาณ 2 ปีที่แล้ว ไม่มีเลยครับ..."
เป็นคำบอกเล่าของแหล่งข่าวจากบริษัทเครื่องใช้ไฟฟ้าต่างๆ ที่พูดออกมาในลักษณะเดียวกันไม่ว่าจะเป็น SONY, SUMSUNG, PANASONIC, HITASHI โดยแหล่งข่าวคนหนึ่งเล่าให้ฟังว่านอกจากกระแสของความนิยมในเครื่องเล่นวีซีดี ดีวีดี ที่เพิ่มมากยิ่งขึ้นแล้ว เรื่องของราคาก็คือสาเหตุสำคัญที่ทำให้วิดีโอตายไปจากตลาด นอนเป็นซากศพอยู่ในบ้าน รวมทั้งร้านรับซ่อมเครื่องใช้ไฟฟ้า ร้านรับจำนำ(ที่แทบจะไม่รับสินค้านี้แล้ว) รวมทั้งตลาดขายของเก่าทั้งหลาย
"เพราะด้วยระบบด้วยอุปกรณ์อะไรต่างๆ ของวิดีโอมันเป็นเรื่องยากมากที่จะทำให้มันออกมามีราคาถูกๆ ไม่เหมือนกับเครื่องเล่นอื่นๆ คือถ้าลองเทียบราคาของวิดีโอ ณ ก่อนที่จะเลิกผลิตที่อยู่ในราวๆ หกพันถึงเจ็ดพันบาทกับช่วงที่มีเข้ามาใหม่ๆ ซึ่งอยู่ในหลักหมื่นสองหมื่น เพราะฉะนั้นราคามันไม่ได้ลดลงมากมายอะไรเลยนะกับเวลา 20 ปีที่ผ่านไป"
"แล้วลองเปรียบเทียบกันดูกับเครื่องเล่นวีซีดีที่เข้ามาใหม่ๆ ซึ่งจะอยู่ในราวๆ ห้าหกเจ็ดพันขึ้นไปอันนี้แบบพอมียี่ห้อนะ แต่ปัจจุบันมีเงินพันมีเงินสองพันก็ซื้อได้แล้ว หรืออย่างเครื่องเล่นดีวีดีจากหลักหมื่นตอนนี้สามสี่พันก็ซื้อได้ แล้วลองคิดดูว่าทั้งวีซีดี ดีวีดี มันเพิ่งจะเข้ามาบ้านเรากี่ปี แค่ 2 - 3 ปีเท่านั้นเอง"
"แต่ที่ไม่มีการผลิตวิดีโอแล้วมีแต่พวกวีซีดีเต็มไปหมดเนี่ยมันจะเป็นเฉพาะเอเชียย่านประเทศที่ค่อนข้างจะมีการละเมิดลิขสิทธิ์ค่อนข้างจะเยอะนะ อย่างที่ประเทศเรา จีน หรือว่า ฮ่องกง ก็ด้วย คือพวกนี้ก็ค่อนข้างจะเลิกเล่นเครื่องเล่นวิดีโอกันแล้ว เกือบจะไม่มีเหมือนกัน เพราะว่าพวกตลาดวีซีดีมันบูมมาก โดยเฉพาะพวกของผีที่ราคามันถูก ในขณะที่ทางฝั่งพวกยุโรปหรือว่าอเมริกาเขายังมีอยู่ พวกร้านเช่าที่ยังเป็นม้วนวิดีโอก็ยังมีอยู่"
“จริงๆ ที่ผ่านมามันก็มีการพยายามจะให้เครื่องเล่นวิดีโอมันยังอยู่ได้นะ เช่นมีการออกแบบเป็นเครื่องที่เล่นได้ทั้งวิดีโอแล้วก็วีซีดี หรือว่าดีวีดีในเครื่องเดียวกัน แต่มันไม่เวิร์กเพราะว่ามันค่อนข้างจะมีราคาแพง คนซื้อก็ไม่รู้จะเอาไปทำไมเพราะม้วนวิดีโอก็หายาก แต่ถามว่าตอนนี้ยังพอหาเครื่องวิดีโอใหม่ๆ ได้มั้ย เท่าที่ผมทราบจะยังมีขายอยู่นะ แล้วก็ถูกด้วยประมาณสองพันกว่าบาท รู้สึกจะยี่ห้อโอเรียน (Orient) อะไรเนี่ยแหละ แต่ว่าก็จะไปขายแบบว่าชานเมืองเลยมั้ง ซึ่งตรงนี้ผมไม่แน่ใจ”
เช่นเดียวกันกับตลาดของเครื่องเล่นวิดีโอ ในส่วนของบริษัทผลิตซอฟท์แวร์ชนิดนี้หลายๆ บริษัทก็เลิกผลิตม้วนวิดีโอออกมานานกว่า 2 ปีแล้วเช่นกัน โดย "ธัญญ์ธวิชญ์ ธนาธรดุษฎี" ผอ.กลุ่มงานผลิตภัณฑ์จากบริษัท "แมงป่อง" บอกว่า ถ้าจะบอกว่าตลาดของคนเล่นวิดีโอนั้นตายไปแล้วก็คงจะไม่ผิดอะไรนัก
"เราคาดว่ามันจะต้องเสื่อมความนิยมอย่างแน่นอน สิ่งที่บอกได้ก็คือในเรื่องของเครื่องเล่นทั้งที่เป็นวีซีดี ดีวีดี ซึ่งแนวโน้มมันลดลงเรื่อยๆ อย่างรวดเร็ว แผ่นพวกนี้ก็ถูกลงอย่างรวดเร็ว ซึ่งมันเริ่มมาตั้งแต่เมื่อสักประมาณ 3 - 4 ปีที่แล้ว คือมันเห็นชัดเจน แล้วคนก็หันมาเล่นเครื่องพวกนี้มากยิ่งขึ้น"
"เราเริ่มทยอยลดการผลิตวิดีโอมานานแล้วครับ แล้วก็เลิกไปเลยตั้งแต่ประมาณ 2 ปี ส่วนที่เป็นวิดีโอเราก็ค่อยๆ โละทิ้งไป ก็เอาไปขายแบบลดราคาเหลือแค่ 29 - 39 บาท จากที่เป็นม้วนมาสเตอร์ 300 - 400 บาท ส่วนพวกม้วนวิดีโอมันจะกลายเป็นของสะสมหายากหรือเปล่า โอกาสมีมันมีแต่ผมว่าไม่สูงนะ อาจจะมีบางกลุ่มเล่นแต่ผมว่าไม่เยอะเพราะไม่ค่อยจะมีแนวร่วมเท่าไหร่"
ไม่ใช่แค่วิดีโอ ตลาดวีซีดีก็มีสิทธิ์ไปในอีกไม่ช้าเหมือนกัน
"เป็นไปได้ครับ เพราะตอนนี้ราคาของทั้งเครื่องเล่นดีวีดีแล้วก็วีซีดีนั้นใกล้เคียงกันมาก ส่วนแผ่น แม้จะยังห่างกันอยู่พอสมควรแต่ผมว่าไม่นานอย่างแน่นนอน..." (มีต่อ)
สมบัติที่ไร้ค่า
แม้จะยังพอมีภาพยนตร์ในรูปแบบของม้วนวิดีโอให้เช่าอยู่บ้างในขณะที่ร้านหรือศูนย์เช่าใหญ่ๆ อย่าง “Tsutaya”(ซึทาย่า), “แมงป่อง” และอีกมากมายต่างโละสินค้านี้ทิ้งไปหมดแล้ว ทว่าปริมาณของคนที่จะมาถามหาและเช่าวิดีโอที่ร้านเช่าชื่อดังรุ่นเก๋าอย่าง “เฟม” (ท่าพระจันทร์) ก็น้อยเต็มที
“ปีสองปีมาเนี่ยคิดเป็น 5 เปอร์เซ็นต์ของคนที่เช่าวีซีดีและดีวีดีเท่านั้นแหละ แต่ตอนนี้ก็เริ่มจะเป็นศูนย์แล้ว...” “ธานี จิริยะสิน” เจ้าของร้านบอกเล่าถึงความเปลี่ยนแปลง
“ก็เพราะมันไม่มีเครื่องเล่นแล้วไง แล้วใครเขาจะมาเช่าไปทำไม ส่วนพวกที่มีอยู่พอเครื่องเสียถ้าคิดจะไปซ่อมเนี่ยมันก็ไม่คุ้มแล้วเพราะมันค่อนข้างจะแพง ก็ซื้อเครื่องเล่นวีซีดี ดีวีดี ดีกว่า แล้วตั้งแต่ 3 ปีที่แล้วที่ทางเจ้าของลิขสิทธิ์หนังเขาไม่ทำเป็นวิดีโอแล้ว ทำเป็นดีวีดีเป็นแผ่นซีดีแทน ส่วนของเราที่ยังเก็บๆ ไว้ก็จะเป็นพวกหนังเก่าๆ แล้วก็หนังที่ค่อนข้างหายากซึ่งมันยังไม่มีการทำเป็นวีซีดีหรือว่าดีวีดีออกมา รวมๆ กับหนังอื่นๆ หนังออสการ์หรือว่าอะไรด้วยก็เหลือออยู่ในร้านประมาณหมื่นม้วนน่าจะได้นะ”
“ก็เอาออกมาขายบ้างครับ อย่างมาสเตอร์ 300 – 400 ก็ขาย 30 – 40 บาท แต่ที่มันเจ็บใจมากก็คือจะมีพวกที่เขามาขอซื้อแบบเหมาซื้อชั่งขายเป็นกิโลๆ ซึ่งเขาซื้อเอาไปเพราะว่าพลาสติกมันค่อนข้างจะแพง ซื้อแล้วก็ไปดึงเนื้อเทปออกเอาพลาสติกไปรีไซเคิล ฟังแล้วมันโกรธนะ คือคนทำร้านแบบพวกเรา นี่มันเหมือนกับเป็นสมบัติของเราอย่างหนึ่งเลยนะ”
เช่นเดียวกับ “เฟม” เพราะถึงแม้จะมีชื่อว่า "บอย วิดีโอ" ทว่าเมื่อมองเข้าไปในร้านก็จะพบว่าตามชั้นต่างๆ ล้วนเต็มไปด้วยแผ่นวีซีดีให้เช่าในขณะที่ม้วนหนังวิดีโอทั้งหมดที่ได้ชื่อว่าเป็นเจ้าถิ่นกลับถูกวางอยู่ในกระบะพร้อมด้วยป้ายราคาประกาศขายที่ถูกติดไว้อย่างสุดถูกเพียงม้วนละ 15 บาทเท่านั้น
"บุญชัย เลิศศิริวรกุล" หรือ "เฮียจุ้ย" ผู้เป็นเจ้าของที่ทำร้านซึ่งตั้งอยู่แถวๆ ซอยจรัญฯ 62 และทำธุรกิจให้เช่าวิดีโอมาตั้งแต่ปี 2537 บอกเล่าถึงบรรยากาศในการทำกิจการร้านเช่าในอดีตที่ผ่านมา ซึ่งปัจจุบันหาได้เป็นเช่นนั้นอีกต่อไปแล้วว่า...
"ร้านเช่าในยุคแรกเนี่ยที่ยังทำได้เพราะว่าลูกค้าหรือคนที่จะดูหนัง ถ้าอยากจะดูหนังก็มีแต่ร้านวิดีโอกับโรงหนังเท่านั้น ยังไม่มีตลาดนัดที่จะวางขายไอ้พวกแผ่นพวกนี้ อย่างปัจจุบันคุณอยากดูหนังคุณเดินตลาดนัดก็มีแล้ว"
"แล้วรายได้แต่ก่อนนะ ถ้าจะถัวเฉลี่ยออกมาใน 1 วันหนึ่งเนี่ยประมาณ 7,000 - 8,000 บาทนะ ในยุคนั้นนะ เดือนหนึ่งก็ประมาณ 200,000 กว่า แต่ค่าลิขสิทธิก็แพงนะครับ เพราะค่าลิขสิทธิ์ในยุคนั้นเนี่ยก็แสนกว่านะที่จะซื้อหนังให้มันครบๆ เนี่ย แสนปลายๆ หักค่าใช้จ่ายแล้วก็เดือนหนึ่งเหลือ 50,000 - 60,000 แต่ตอนนี้หาไม่ได้แล้ว"
ไม่มีการเช่าวิดีโอนานแล้วหรือยัง?
"น่าจะอยู่ในช่วง 2 -3 ปี พอลูกค้าเริ่มน้อยลงๆ ไปเรื่อยๆ ทางทุกร้านก็พลิกผันมาหาซีดี ในที่สุดก็คือปึ้งไม่มีคนดูวิดีโอเลย ก็คือเราค่อยๆ ทำใจมาตั้งแต่ที่วิดีโอค่อยๆ ถอยจนไม่มีคนดู แล้วเป็นวีซีดี ทุกวันนี้เนี่ยใน 2 เดือนนี้ขาดทุนแน่นอน เพราะติดฝนตกกับเปิดเทอม แล้วก็ปัจจุบันนี้สังเกตว่าแผ่นเถื่อนเนี่ยเยอะมากจนคล้ายๆ กับว่าคนที่ทำถูกต้องเนี่ยไม่สามารถที่จะอยู่ได้เลย"
"ผมบอกเลยว่า ตรงนี้ถ้าเกิดไม่ปราบกันจริงๆ พวกร้านเช่าก็อยู่ไม่ได้นะ อนคตเนี่ยมันจะค่อยๆ ล้มหายตายจากไป อย่างเราทำซีดีลิขสิทธิ์มันถูกจริงแต่รายได้ไม่ค่อยเหลือ สมัยเป็นม้วนใช่มั้ยครับคุณสามารถเอาม้วนอัดทับเรื่องอื่นได้ แต่ซีดีอัดทับไม่ได้ อย่างหลวงพี่เท่ง เอามา 20 - 30 แผ่น อาทิตย์เดียววายแล้ว เร็วมาก ไม่เหมือนตอนที่เป็นม้วนกว่าจะวายเนี่ย หนังเรื่องหนึ่งแรงๆ คุณสามารถทำได้ทั้งเดือน ให้เช่าได้ทั้งเดือนเลย มันแรงของมันอยู่ตลอด แต่ปัจจุบันนี้พออาทิตย์เดียวก็โดนแล้ว แป้กแล้ว เพราะของผีมันเยอะ"
"แล้วลองสังเกตดูนะ ตัวอย่างหนังเมืองนอกเนี่ยเราเปิดดูเขาจะเขียนว่ามีแต่วิดีโอกับดีวีดี ไม่มีวีซีดีนะ วีซีดีมีเฉพาะเมืองแถวๆ เมืองไทย เมืองที่ไม่ค่อยเจริญน่ะมั้ง แต่ถ้าอเมริกาจะไม่มีวีซีดีมีแค่วิดีโอกับดีวีดี ที่เราไปเล่นวีซีดีเพราะต้นทุนมันถูก ทำให้มันเกิดเร็วมากเลย ม้วนถึงถอยเร็วมาก ถอยกันแบบพวกที่เป็นร้านเช่าตั้งหลักไม่ทัน"
เป็นเรื่องที่สร้างความหนักใจอยู่ไม่น้อยกับการที่ต้องเห็นสมบัติที่เคยทำเงินให้กับตนเองอย่างเป็นกอบเป็นกำถูกทิ้งและถูกขายอย่างไร้ราคา
"เฉพาะม้วนนี่มีอยู่หลายหมื่นม้วนนะ ก็ไม่เคยนับเหมือนกันว่ากี่หมื่น ก็เนี่ยม้วนทั้งนั้นเลย ชั้น 2 ก็เก็บม้วนวิดีโออย่างเดียวเลย เราก็ทยอยขาย จาก 320 บาทต้นทุนปล่อยขายไปม้วนละ 15บาท ค่อยๆ โละไป ทยอยขายออกไป"
"มันไม่ใช่จำใจนะ มันเจ็บใจนะ บางคนบอกตรงๆ นะครับมาต่อกันตรงที่โละขายนั่นน่ะ ยังมาต่ออีกนะ ทั้งที่นั่นมันเลือดเนื้อผมเลยนะ ม้วนละ 320 มาขาย 15 บาทเนี่ย ยุคนั้นน่ะเฉพาะปก กล่อง มันยังซื้อไม่ได้เลย 15 บาทม้วนเปล่ายังม้วนละ 100 เลย อันนี้ทั้งหนังทั้งอะไรเหลือ15 - 20บาท มันช้ำใจน่ะนะ มันมีเลวร้ายกว่านั้นนะ มาขอซื้อกิโลละ 3 บาท 100 กิโลแค่ 300บาท 100 กิโลเท่ากับสมัยก่อนม้วนเดียวใช่มั้ย(หัวเราะ)”
“พูดได้เต็มปากเต็มคำเลยว่าวิดีโอมันตายแล้วครับ...โอ๊ย ไม่มีทางได้ฟื้นอีกแล้วครับ”