xs
xsm
sm
md
lg

City of God : เด็กเสเพล

เผยแพร่:   โดย: ธีปนันท์ เพ็ชร์ศรี


นอกจากทีมฟุตบอลแล้ว เราก็แทบจะไม่รู้จักประเทศบราซิลอีกเลย - ครั้งหนึ่ง เฟอร์นันโด มีเรลเลส ก็เป็นแบบนั้น ทั้งๆ ที่ตัวเขาเอง คือคนบราซิลโดยกำเนิด

มีเรลเลสเติบโตมาแบบชนชั้นกลาง คนรุ่นพ่อแม่ของเขา ตระเตรียมความพร้อมหลายอย่างจนเขาและพี่ๆ น้องๆ แทบไม่ต้องดิ้นรนขวนขวายอะไรมากนัก ตั้งแต่เรื่องการศึกษาไปจนถึงคุณภาพชีวิตด้านอื่นๆ เขาให้สัมภาษณ์ว่า ถ้าไม่ได้อ่านนิยายเรื่อง City of God (Cidede de Deus) ของเปาโล ลินส์ และตัดสินใจดัดแปลงงานเขียนชิ้นนั้นมาทำเป็นหนัง เขาก็จะยังคงมองบราซิลด้วยสายตาเดิมๆ อยู่

เปาโล ลินส์ แตกต่างจากมีเรลเลสตรงที่ เขาไม่ได้เป็นชนชั้นกลาง แต่บ้านเกิดอยู่ในชุมชนซิตี้ ออฟ กอด หมู่บ้านการเคหะที่รัฐจัดสร้างไว้ให้กับคนจน ที่นี่ไม่ได้มีอะไรเป็นอย่างที่ชื่อของมันบอกไว้ ดูเหมือนพระเจ้าจะหลงลืมไปแล้วว่า มันถูกตั้งขึ้นโดยอิงพระนามของพระองค์

ผู้คนส่วนใหญ่การศึกษาต่ำ เป็นแหล่งที่อาชญากรรมเกิดขึ้นชุกชุม ตำรวจแวะเวียนมาหา “ลำไพ่พิเศษ” กันที่นี่ ความรุนแรง ความป่าเถื่อนอัดแน่นรวมตัวกันอย่างไม่มีทีท่าว่าจะคลี่คลายไปในทางที่ดีขึ้น

ลินส์ถือเป็นคนส่วนน้อยที่หลุดพ้นมาจากนรกนั้นได้ เขาโชคดีเพราะรักการศึกษา เมื่อเรียนจบก็ทำงานวิจัยด้านมานุษยวิทยา เกี่ยวกับชุมชนแออัดในบราซิลต่อทันที ราวกับต้องการสะสางความผิดบาปในใจที่มีมาตั้งแต่เยาว์วัย

การเขียนนิยาย City of God กินเวลาทำงานของลินส์ไปถึง 8 ปีเต็ม ทุกเหตุการณ์ในทุกตัวอักษรตั้งอยู่บนพื้นฐานความเป็นจริง หรือจะพูดให้ง่ายและกระชับคือ มีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นจริงๆ แต่อยู่ในซอกหลืบที่คนส่วนใหญ่ไม่เคยรับรู้หรือไม่ยอมรับรู้

ว่ากันว่านับจากการหลุดพ้นการเป็นประเทศอาณานิคมของโปรตุเกสเมื่อร้อยกว่าปีก่อน บราซิลเป็นประเทศที่พัฒนาไปช้ามาก ส่วนหนึ่งเพราะอาณาเขตที่มีอยู่อย่างกว้างขวาง (ราว 8 ล้านตารางกิโลเมตร) กินพื้นที่กว่าครึ่งของทวีปอเมริกาใต้ มีทั้งส่วนที่ติดชายฝั่งทะเล และส่วนที่ลุ่มติดแม่น้ำอเมซอน ซึ่งยากต่อการเข้าถึง

ประชาชนเกินครึ่งเป็นพวกไม่ได้รับการศึกษา ดำรงชีวิตตามกฏที่ชาร์ลส์ ดาร์วินได้ว่าไว้คือ “ผู้ที่แข็งแกร่งเท่านั้นถึงจะมีชีวิตรอด” ไร้ความเป็นระเบียบ และเต็มไปด้วยความเลื่อมล้ำ กรณีของมีเรลเลสและลินส์ – ซึ่งโตมาในเวลาใกล้เคียงกัน แต่คนละสิ่งแวดล้อม – น่าจะเป็นตัวอย่างที่ชัดเจน

นิยายของลินส์ เล่าถึงเส้นทางนักเลงของเด็กวัยรุ่นกลุ่มหนึ่งจากย่านซิตี้ ออฟ กอด ที่บ่มเพาะความรุนแรงในช่วงทศวรรษที่ 60 ผงาดขึ้นเป็นพ่อค้ายาและเจ้าของพื้นที่ในช่วงยุค 70 จนกระทั่งจุดระเบิดสงครามระหว่างแก๊ง – จนเกือบจะกลายเป็นสงครามกลางเมืองย่อยๆ ขึ้น ในช่วงต้นของยุค 80

ตัวแทนของลินส์ ในที่นี้คือ ร็อกเกต เด็กหนุ่มซึ่งเป็นคนเล่าเหตุการณ์ทั้งหมดว่าเป็นมาอย่างไร พี่ชายของเขาเคยเป็นอันธพาลมาก่อน เหตุผลที่ทำไปเพราะอยากร่ำรวยและหาเงินได้เยอะ แต่เท่าที่สติปัญญาอันน้อยนิดพอจะคิดได้ เด็กๆ เหล่านี้เห็นว่า การปล้นจี้ เป็นทางลัดที่ง่ายและเร็วที่สุด ที่จะพาพวกเขาไปยังจุดหมาย

แต่ร็อกเกตก็เล่าว่า ก๊วนของพี่ชายก็มีอันต้องแตกสลายไปอย่างน่าอนาถ มีปัจจัยหลายอย่างที่ทำให้เป็นอย่างนั้น พวกเขาแกร่งไม่พอที่จะรับมือกับผู้ใหญ่เลวๆ โง่เกินไปและมีความลุ่มหลงกับอาชญากรรมน้อยเกินไปที่จะเอาชีวิตรอด

เพื่อจะพิสูจน์ให้เห็นว่า ข้อสันนิษฐานนี้ถูกต้อง ร็อกเกตเล่าถึง ซี เด็กตัวกระเปี๊ยกที่เคยร่วมแก๊งกับพี่ชายของเขา และโตขึ้นมาคุมเกมเองในอีกไม่กี่ปีต่อมา ซีไม่เหมือนพวกรุ่นพี่ที่คิดจะรวยทางลัดกันสั้นๆ ด้วยแผนตื้นๆ อย่างการปล้น วิสัยทัศน์เขากว้างไกลกว่า ด้วยการเข้าไปฮุบกิจการค้ายาเสพติดเจ้าใหญ่ๆ มาเป็นของตัว สถาปนาตนเองขึ้นเป็น “ผู้คุ้มครอง” ให้คนที่ด้อยกว่าอยู่ในอาณัติ

แต่สาเหตุที่ทำให้ซีประสบความสำเร็จจริงๆ ก็คือ เขาเป็นพวกลุ่มหลงความรุนแรงโดยกำเนิด หมอพิศวาสลูกปืนและการปลิดชีวิตคน ไร้มโนสำนึกอย่างสิ้นเชิง และก็เอาแต่ใจตัวเองอย่างร้ายกาจ

ร็อกเกตเล่าเปรียบเทียบตัวเขาเองกับซีด้วยอารมณ์ขันร้ายๆ โดยวัยแล้วทั้งคู่ก็อยู่รุ่นราวคราวเดียวกัน แต่ร็อกเกตแหยกับเรื่องปืนผาหน้าไม้ ตอนอับจนแล้วก็คิดว่าจะถืออาวุธออกไปปล้นอย่างคนอื่นเขาบ้าง แต่เอาเข้าจริงๆ แล้วก็ทำไม่ลง

ยิ่งไปกว่านั้น ร็อกเกตบอกว่า เขาไม่ได้มีความลุ่มหลงในเรื่องพรรค์นั้นแบบซี โชคดีที่ร็อกเกตเทใจในส่วนนี้ให้กับการถ่ายภาพไปจนหมด ความฝันอันสูงสุดของเขาไม่ใช่การเถลิงอำนาจขึ้นเป็นเจ้าถิ่น แต่คือการเป็นช่างภาพมืออาชีพ มีงานตีพิมพ์เพื่ออวดฝีมือแก่คนอื่น

มีเรลเลสทำ City of God ออกมาเป็นหนังอย่างหวือหวา โดดเด่นทั้งเรื่องการถ่ายภาพและการตัดต่อ ซีเควนซ์ยุค 60 ถูกย้อมเป็นซีเปียให้บรรยากาศเก่าๆ (เหมือนเป็นภาพความทรงจำอันเลือนรางที่ร็อกเกตไม่ได้เข้าไปมีส่วนร่วมอย่างจริงจัง) แต่ในขณะเดียวกันก็ดูร้อนระอุ

ตรงข้ามกับเหตุการณ์ในช่วง 70 มีเรลเลสและผู้กำกับภาพ เซซาร์ ชอร์ลอน ถ่ายภาพออกมาให้คล้ายกับหนังข่าว ปรุงแต่งน้อย จนทำให้คนดูรู้สึกมีส่วนร่วมกับภาพจริงๆ ที่เป็นอย่างนั้นเพราะมันเป็นช่วงที่ร็อกเกต (ในฐานะผู้เล่าเรื่อง) ได้สัมผัสมันโดยตรง

แน่นอนว่าถึงจะประกอบไปด้วยฉากอันรุนแรงประเดประดังเข้ามาติดๆ กัน แต่ตัวหนังก็ไม่ได้ดูยาก หรือเข้าใจยาก ความที่มีเรลเลสไม่เคยเข้าไปพบกับเรื่องแบบนี้ เขาจึงเล่ามันออกมาอย่างกับคนที่รู้สึกตื่นเต้นไปกับมัน คล้ายกับการผจญภัยในดินแดนที่เข้ากระตือรือร้นที่จะเข้าไปสำรวจ และหนังก็เผื่อแผ่ความรู้สึกทำนองนั้นออกมาสู่คนดูด้วย

ด้วยลักษณะการเล่าเรื่องแบบนี้ นักวิจารณ์หลายคนจึงอดเอาไปเปรียบเทียบกับงานของมาร์ติน สกอร์เซซีอย่าง Goodfellas และของเควนติน ตารันติโนอย่าง Pulp Fiction ไม่ได้ ซึ่งโดยเนื้อเรื่องแล้วอาจคล้ายคลึงในเรื่องแรก แต่โดยสไตล์นั้นไปพ้องกับเรื่องหลัง

มีเรลเลสให้สัมภาษณ์ครั้งหนึ่งว่า เขาไม่ได้ตั้งใจจะให้มันไปเหมือน Pulp Fiction เพราะจุดมุ่งหมายของเขากับตารันติโนนั้นต่างกันอยู่ เขาไม่ได้อยากให้ความรุนแรงใน City of God ดูเย้ายวน ดูเท่ หรือเต็มไปด้วยมนต์เสน่ห์อย่าง Pulp Fiction - ตรงข้าม เขาอยากให้มันดูน่าขยะแขยง และเรียกร้องให้คนมาใส่ใจกับปัญหาเหล่านี้อย่างจริงๆ จังๆ

อย่างไรก็ตาม City of God ก็เป็นหนังที่รุนแรง (เข้าขั้นมาก) พอๆ กับที่มันเป็นงานที่ดีมากด้วย งานเขียนของลินส์และงานหนังของมีเรลเลส ไม่ได้เสนอทางออกให้เพราะในความเป็นจริงมันยังไม่มีทางออก เส้นทางมาเฟียยังคงดำเนินต่อไปจากรุ่นสู่รุ่น ภาพสุดท้ายของหนังที่ร็อกเกตมองแก๊งเด็กข้างถนนวาดฝันถึงอนาคตของพวกเขา เป็นภาพซ้ำที่เคยเกิดขึ้นมาแล้วหลายครั้ง และอย่างที่คาดเดาได้ – จุดจบของมันก็คงไม่ต่างกันอีก

ซิตี้ ออฟ กอด ตั้งอยู่ในแถบชานเมืองของริโอ เดอ จาเนโร - เมืองที่ถ้าพูดชื่อขึ้นมา ใครๆ ก็จะนึกถึงรูปปั้นพระเยซูผู้ไถ่บาป ยืนอ้าแขนราวกับจะโอบรับทุกคนมาสู่ความสันติ

มันช่างเป็นอารมณ์ขันอันร้ายกาจและใหญ่โตพอๆ กับเทพีเสรีภาพตั้งอยู่ในประเทศอเมริกานั่นเลย




กำลังโหลดความคิดเห็น