อาจจะฟังแล้วรู้สึกเจี๊ยวจ๊าวไปบ้างในบางครั้ง ทว่าเสียงใสๆ ของ 3 ดีเจสาวจากคลื่น 104.5 fat radio ในช่วง "Fat Angels" (แปดโมงครึ่งถึงเที่ยงครึ่งทุกๆ วันเสาร์ - อาทิตย์) ทั้ง "เปิ้ลหน่อย วรัษฐา พงษ์ธนานิกร", "คริส หอวัง" และ "ก้อย รัชวิน วงศ์วิริยะ" ก็สร้างความสนุกสนานได้อย่างครื้นเครงรวมทั้งแก้อาการเลี่ยนจากเสียงของดีเจชายที่ได้ยินได้ฟังกันตลอดทั้งสัปดาห์ได้ดีทีเดียว
ไม่ใช่ความมั่นใจในการพูดการจาอย่างฉะฉานเท่านั้น ทว่ารูปร่างหน้าตาของแต่ละคนนั้นเข้าข่ายที่ว่าน่ารักทีเดียว
สิบปากว่าไม่เท่าตาเห็น "นัดคุย" เลยต้องรีบจัดแจงพาพวกเธอมาให้เห็นกันพร้อมนั่งพูดคุยถึงบรรยากาศการทำงานรวมทั้งเรื่องราวอื่นๆ กันเสียหน่อย (เป็นเรื่องที่น่าเสียดายที่พี่สาวคนโตอย่าง "เปิ้ลหน่อย" นั้น ไม่ได้มาร่วมสทนาด้วย)
"ทีมงานเขาอยากจะให้มีผู้หญิงมาจัดบ้างมั้งคะ เพราะว่าของแฟตนั้นจะเป็นผู้ชายหมดเลย..." "ก้อย" ที่ได้ชื่อว่าเป็นน้องคนเล็กบอกเล่า
"ซึ่งมันก็ดีนะเพราะว่าทั้งอาทิตย์ฟังแต่เสียงผู้ชายหนักๆ ห้าวๆ มาตลอด พอวันเสาร์ อาทิตย์ก็เปลี่ยนมาฟังพวกเราทั้งสามเป็นเรื่องอะไรที่สบายๆ เปิดเพลงบ้างพูดเรื่องนั้นเรื่องนี้ไปด้วย..."
คริส : "ส่วนมากเรื่องที่คุยก็จะเป็นพวกกิจกรรมต่างๆ ค่ะ คุยเรื่องหนังบ้าง ใครไปดูหนังเรื่องนั้นมาแล้วหรือยัง ดูแล้วก็จะมานั่งคุยกันว่ามันดีหรือไม่ดียังไง สนุกหรือเปล่า หรือไม่ก็เป็นเรื่องของเพลงอันนี้เพราะมั้ย มันเพราะเพราะอะไร แล้วก็เรื่องของนิทรรศการ เรื่องคอนเสิร์ตมีอะไรที่ไหนน่าดูน่าสนใจเราก็จะเอามาบอกมาเล่าให้แฟนรายการได้ฟังกันค่ะ"
ก้อย : "เรื่องแฟชั่นก็ด้วย เรื่องการแต่งตัวก็มี จะออกแนวแบบสบายๆ ผ่อนคลาย..."
เน้นพูดหรือเปิดเพลง?
คริส : "ทั้งสองอย่างพอๆ กันนะ คือถ้าจากรายการอื่นๆ ปกติเขาจะเปิดเพลงกัน 12 เพลง ของพวกเราก็อาจจะเปิดได้สัก 10 เพลงประมาณนี้"
แต่ละคนมีสไตล์หรือแบ่งเรื่องกันพูดชัดเจนมั้ย?
ก้อย : "อาจจะไม่ถึงขนาดที่ออกมาแบบสไตล์ใครสไตล์มันชนิดคนนั้นเปรี้ยวคนนั้นหวาน แต่ว่าด้วยน้ำเสียงที่ออกมามันก็จะค่อนข้างต่างกันและไม่เหมือนกันอยู่แล้ว ต่างคนก็ต่างน้ำเสียง อย่างถ้าเป็นพี่เปิ้ลหน่อยเสียงก็จะหวาน แล้วก็ดูจะเป็นพี่ใหญ่ คริสก็จะเป็นพี่สาวคนกลาง อย่างก้อยก็อาจจะเป็นแบบน้องคนเล็ก ประมาณนี้"
คริส : "ส่วนเรื่องที่พูดก็ไม่ถึงขนาดที่ว่าจะมาแบ่งกันชัดเจนว่าใครพูดเรื่องนั้น ใครพูดเรื่องนี้ เพราะเราไม่ต้องการจะให้มันมีสคริปต์ เราอยากจะให้มันออกมาฟังแล้วเป็นธรรมชาติมากที่สุด เป็นเหมือนกับการพูดคุยกับคนฟัง พูดคุยกันเองมากกว่า อาจจะมีบ้างเช่นเวลาคุยกันหมดเบรกแล้วเราก็มาคุยกันว่า เออ เดี๋ยวช่วงต่อไปเรามาคุยกันเรื่องนี้ดีมั้ย คุยเรื่องนี้ดีกว่า ก็คืออย่างที่บอกว่าเหมือนการนั่งคุยกันมากกว่าค่ะ"
เป็นนกกระจอกเลยมั้ย?
ก้อย : ไม่นะ จะออกมาในเชิงของการเม้าท์ เป็นอารมณ์ของการคุยกันแบบสนุกมากกว่า จะไม่แย่งกันพูดสักเท่าไหร่"
คริส : แต่ว่ามันก็ยากเหมือนกันนะในการเรียนรู้ว่าแต่ละคนเป็นอย่างไร แรกๆ ตอนที่จัดนอกจากในเรื่องของงานหรือว่าการพูดแล้ว ที่เราต้องเรียนรู้กันไปด้วยก็คือนิสัยหรือว่าคาแรกเตอร์ของแต่ละคนเป็นอย่างไร ซึ่งยากพอสมควรที่จะหาจุดร่วมให้มันลงตัว แต่พออยู่ไปนานๆ เราจะมีเวลาอยู่กันเยอะมาก เวลาไปกินข้าวเราก็ไปด้วยกัน ซึ่งในที่สุดมันก็ได้ แล้วก็หวังว่ามันจะดีขึ้นไปเรื่อยๆ"
ก้อย : "ตอนนี้ก็เริ่มสนิทกันมากขึ้น จริงๆ แล้วถ้ามาลองคิดดูในแต่ละสัปดาห์เราจะอยู่ด้วยกันเยอะมากนะ ประมาณ 8 ชั่วโมงได้"
คิดอย่างไรกับรายการวิทยุในปัจจุบันที่ไม่ค่อยจะให้ดีเจพูดสักเท่าไหร่ แต่จะเน้นเปิดเพลงมากกว่า?
คริส : "คริสว่ามันก็เป็นทางออกเป็นทางเลือกทางหนึ่งนะ แล้วแต่รูปแบบของคลื่นของรายการ อย่างบางทีคริสเองก็มีอารมณ์อยากที่จะฟังเพลงรวดเดียวโดยที่ไม่ต้องมีดีเจพูดเหมือนกัน แต่ถ้าเป็นอารมณ์อย่างนี้ส่วนมากก็จะหยิบเอาซีดีมาเปิดซะมากกว่าค่ะ (หัวเราะ)"
ก้อย : "ส่วนตัวของก้อย ก้อยว่าก้อยอยากจะให้ดีเจได้พูดมากกว่าที่จะไม่พูดเลย จัดรายการวิทยุไม่มีเสียงคนพูดเลย มีแต่เสียงเพลงมันก็จะฟังยังไงอยู่ มันไม่ไม่ใช่น่ะ เพราะการเปิดฟังวิทยุบางทีมันเหมือนกับเรากำลังหาเพื่อนอยู่ใช่มั้ยคะ ดีเจเองถ้าได้พูดออกมามันก็เหมือนว่าเขาเป็นเพื่อนกับเรา ทำหน้าที่เพื่อนให้เราได้เป็นอย่างดี เช่นตอนขับรถ มันก็เหมือนกับมีคนนั่งไปเป็นเพื่อนกับเราด้วย พูดกับเราไปด้วย คือก้อยยังอยากให้มีดีเจมานั่งพูดคุยกันมากกว่า"
คริส : "แล้วการมีดีเจนอกจากว่าเป็นเพื่อนแล้ว การมีดีเจนั้นมันก็เป็นเหมือนกับการมีดิกชันนารีของเพลงเหมือนกันนะ เพราะเขาจะบอกให้เรารู้ว่าเพลงนี้มันเป็นอย่างไร เพลงไหนที่เราฟังแล้วติดหูเราอยากจะซื้อเราก็จะได้ข้อมูลส่วนหนึ่งมาจากดีเจ ตรงนี้เป็นส่วนที่กรองให้เราแล้วชั้นหนึ่ง แต่ถ้ารายการไหนไมีมีดีเจเลย บางทีเพลงที่เปิดนั้นเพราะมากนะ คนฟังเองก็อยากจะรู้ว่าของใครเพราะอยากจะไปซื้อบ้าง แต่ไม่มีใครมาบอกเลยมันก็เลยไม่รู้กัน ตรงกันข้ามถ้ามีคนมาบอกเราก็จะได้รู้แล้วก็ไปตามหาซื้อได้ง่ายขึ้นค่ะ"
ก้อย : "ที่สำคัญอีกอย่างก็คือนอกจากจะคุยเรื่องอื่นๆ แล้ว อย่างพวกเราก่อนจะเปิดเพลงเราก็ต้องมีความรู้ในเรื่องของเพลงที่เปิดด้วย เพราะไม่เช่นนั้นเวลาที่คนโทรมาถามเราจะตอบไม่ได้แล้วมันจะดูไม่ดี อย่างน้อยๆ เราก็ต้องบอกได้ว่ามันเป็นเพลงของใคร ศิลปินกลุ่มนี้เป็นอย่างไร จุดเด่นของมันเป็นยังไง เพลงมันเพราะยังไง..."
มีแต่สาวๆ จัดกันแบบนี้ มีหนุ่มๆ โทรเข้ามาจีบเยอะมั้ย?
ก้อย : "อาจจะมีบ้างแต่เป็นการแซวซะมากกว่า ไม่ถึงขนาดตั้งหน้าตั้าจีบ แล้วก็จะเป็นทางเอสเอ็มเอสมากกว่าค่ะ"
คริส : "คริสว่ามันก็เป็นอยางนี้ทุกคลื่นนะ แต่แฟนรายการของเราน่ารัก ไม่หยาบคาย เช่น อาจจะมีบ้างว่า รักน้องก้อยจังเลย หรือว่าแฟนรายการไปเจอน้องก้อยข้างนอกเขาก็จะส่งข้อความเข้ามาว่าวันนั้นเห็นน้องก้อยด้วย สวยจังเลย ประมาณนี้ ทางเราก็จะตอบว่าขอบคุณค่ะ แค่นั้นก็จบ"
มองวงการเพลงไทยในปัจจุบันเป็นอยางไรบ้าง?
คริส : "คริสว่าดีขึ้นนะ ดีขึ้นในเชิงที่ว่ามันมีเพลงออกมาหลากหลายมากยิ่งขึ้น แนวทางและรูปแบบของดนตรีเริ่มเยอะขึ้นไม่จำกัดเหมือนกับแต่ก่อน ซึ่งเป็นเเรื่องที่ดี เพราะแสดงให้เห็นว่าคนฟังเพลงในบ้านเราเริ่มเปิดรับดนตรีที่มันไม่ได้จำกัดรูปแบบอีกต่อไป แล้วก็ทำให้ศิลปินเองมีโอกาสที่จะสร้างงานในรูปแบบที่ตนเองชอบออกมาแล้วหวังได้ว่าจะมีคนชอบในงานของตนเองด้วย ก็ถือว่าเป็นบรรยากาศที่ดีค่ะ"
ก้อย : "ก้อยว่ามันมีแนวโน้มที่จะพัฒนาไปเรื่อยๆ อย่างที่พี่คริสบอกว่ามันเริ่มมีการเปิดรับแนวเพลงที่หลากหลายมากขึ้น ไม่ได้เป็นแพทเทิร์นเดียวเหมือนกับแต่ก่อน พอคนทำเพลงเยอะคนฟังเพลงก็มีโอกาสได้เสพเพลงที่แปลกและไม่จำเจมากยิ่งขึ้น อีกอย่างก็คือสื่อเองก็เริ่มที่จะเปิดกว้างมากขึ้น มีช่องทางที่เข้าถึงคนฟังมากขึ้น ทั้งวิทยุ ทีวี อินเตอร์เน็ต ทำให้มันมีอะไรที่แปลกใหม่เกิดขึ้นตลอดเวลาไม่ได้หยุดอยู่กับที่"
เพลงแปลก เพลงอินดี้ คือจุดเด่นของแฟตเลยมั้ย?
ก้อย : "ไม่เสมอไปค่ะ เพราะที่เราเปิดมันหลากหลายแนวมาก"
คริส : "ไม่จำกัดแนวค่ะ แต่ที่สำคัญคือต้องเพราะแล้วก็เป็นเพลงที่ดี..."
ก้อย : "คือตรงนี้ที่บอกว่าเพลงเพราะนั้นเพราะเราจะมีการทำประชาพิจารณ์หรือว่าการโหวตกันตลอดค่ะว่าเพลงนั้นเป็นอยางไร เพลงนี้เป็นอยางไร"
คริส : "อย่าง ง่ายๆ ก็คืออย่างในหนึ่งเพลงเราอาจจะแบ่งเป็น 5 หัวข้อด้วยกัน เช่น ความครีเอทีฟ การโปรดิวซ์ เนื้อร้องและทำนองเป็นอย่างไร แล้วก็จะมีการให้ลงคะแนนกันในแต่ละส่วน เพราะฉะนั้นเพลงๆ นึงบางทีเนื้อหาดีสร้างสรรค์ทว่าทำนองไม่ค่อยจะดีเลย ก็คือเราจะมีการสกรีนกันในระดับนี้กันก่อนค่ะ"
ก้อย : "เพลงใหม่ๆ เป็นเรื่องที่ธรรมดาที่จะต้องเปิด ส่วนเรื่องที่ที่นี่เปิดเพลงแปลกๆ ที่คนอื่นเขาไม่ค่อยจะเปิดกันนั้นมันดูเหมือนจะเป็นนโยบายของที่นี่เลยนะ เพราะเรามองกันว่าตรงนี้มันคือการสร้างแล้วก็เปิดโอกาสให้กับศิลปินที่เขาไม่ได้มีสังกัด หรือว่ามีสังกัดแต่เล็กๆ ศิลปินอิสระที่อยากจะให้เพลงของตนเองเป็นที่รู้จัก ซึ่งเราก็ยินดีรับเพราะว่าโอกาสที่นักร้องหรือว่าศิลปินเหล่านี้จะไปหาเวทีเล่นโชว์ผลงานของตนนั้นมันเป็นเรื่องที่ยากมาก มันก็เลยทำให้ดูเหมือนว่าที่นี่มีเพลงแปลกๆ ก็เพราะว่าที่อื่นเขาไม่ค่อยจะมีกัน คนฟังเองก็เหมือนกับว่าได้ลองได้ฟังเพลงที่มันแปลกใหม่ไปด้วย"
เขาว่าเด็กที่ฟังแฟตฯ ส่วนใหญ่ชอบทำตามแฟชั่น ไม่มีความคิดเป็นของตนเอง กระแสอะไรมาก็เฮไปทางนั้น สองสามปีที่แล้วยังเรียกตัวเองว่าอินดี้ พอมาปีที่แล้วถึงปีนี้กลายเป็นเด็กแนวไปซะแล้ว
คริส : "อันนี้ไม่น่าจะจริงนะ คริสว่าตรงกันข้ามเสียด้วยซ้ำว่าเด็กส่วนใหญ่เหล่านี้มีความมั่นใจสูง แล้วก็เป็นตัวของตัวเองมากๆ เขาถึงได้กล้าที่จะเป็นผู้นำแฟชั่นขึ้นมา กล้าที่จะแสดงออก กล้าที่จะแต่งตัว"
ก้อย : "ก้อยว่าความเป็นอินดี้อะไรของพวกเขามันก็ไม่ได้ลดลงนะ เพียงแต่ว่าคนฟังของเรามันเพิ่มมากขึ้น มันขยายกลุ่มไปเยอะขึ้น เพราะฉะนั้นมันก็แล้วแต่คำจำกัดความนั่นแหละค่ะว่าจะเรียกพวกเราเป็นแบบไหน เพราะจริงๆ คนที่จะฟังคลื่นแฟตนั้นจะเป็นใครก็ได้ เราไม่ได้บังคับว่าถ้าไม่ใช่เด็กแนวก็ไม่ต้องฟังนะ ไม่ใช่เด็กอินดี้ห้ามฟัง หรือว่าคลื่นนี้เฉพาะของเด็กอินดี้เท่านั้น ไม่ใช่ แล้วใครที่ฟังคลื่นเราก็ไม่จำเป็นจะต้องเป็นเด็กแนวหรือว่าเด็กอินดี้ด้วยเช่นกัน"
คริส : "ใช่ อย่างคริสเคยไปหาหมอเขาเห็นนามสกุล ก็ยังถามว่าเลยว่านี่เป็นดีเจหรือเปล่าเนี่ย เราก็ใช่ค่ะ เขาก็บอกหมอเป็นแฟนคลื่นนี้เลยนะ ฟังประจำ ก็คืออาจจะเด็กฟังเยอะแต่ว่าโดยรวมแล้วแฟนเพลงของคลื่นเราค่อนข้างจะเยอะแล้วก็กว้างค่ะ มันไม่กี่ยวหรอกค่ะว่าเด็กแนวจะต้องฟังเฉพาะคลื่นเรา ไม่เกี่ยวกับคลื่น แต่ว่าน่าจะเป็นเพราะมันถูกรรสนิยมเขาเท่านั้นเอง แล้วแต่ใครจะชอบ ไม่มีข้อจำกัดในตรงนี้"
เวลาไปเดินถนนมีคนจำเราได้มั้ย
ก้อย : "ถ้าไม่ใช่คนที่ฟังแฟตก็อาจจะไม่รู้จักค่ะ แต่ถ้าเป็นแฟนๆ ก็ค่อนข้างจะจำได้ บางทีเราไปออกงานเขาก็เข้ามาถามๆ ใช่หรือเปล่า แล้วเราก็ไม่ค่อยจะได้ออกงานมากมายอะไร ส่วนใหญ่จะเป็นคอนเสิร์ตหรือว่ากิจกรรมของแฟตมากกว่า..."
ต้องมานั่งอยู่ข้างหลังแบบนี้ รู้สึกเสียดายหน้าตาตัวเองมั้ย?
คริส : "(หัวเราะ)ไม่เท่าไหร่ค่ะ อยากจะเป็นดีเจมากกว่า"
ก้อย : "อยู่หลังไมค์ดีกว่า เพราะว่าตรงนี้เราได้ทำในสิ่งที่ชอบ แล้วที่สำคัญคือได้เป็นตัวของตัวเองค่ะ.."
*****
ไหนๆ ก็แวะเวียนมาเป็นแขกของ "นัดคุย" แล้ว ทั้งก้อย และคริสเลยถือโอกาสชวนเพื่อนๆ ทั้งหลายไปร่วมงาน "T-Shirt Festival" มหกรรมรวมพลคนรักเสื้อยืด ที่จะมีขึ้นในวันที่ 2 กรกฎาคม ตั้งแต่บ่ายโมงถึงห้าทุ่มที่ ทศภาค อารีน่า ท่าเรือกรุงเทพไปพร้อมๆ กันซะเลย
ก้อย : "งานนี้ที่มันเกิดขึ้นเพราะว่าจริงๆ เนี่ย ก้อยว่าเสื้อยืดมันเป็นเสื้อที่ทุกคนต้องใส่กันนะ ที่สำคัญมันเป็นการบ่งบอกได้ด้วยว่านิสัยคุณเป็นอย่างไร คุณมีบุคลิกแบบไหน มันสะท้อนให้เห็นได้ ทางทีมงานของแฟตก็เลยจัดงานนี้ขึ้นมา ก็จะเอาเสื้อยืดของคนดังอย่างของพี่เบิร์ด ของพี่ตูนบอดี้สแลมซึ่งเป็นตัวที่รักมากเพราะใส่ขึ้นเล่นคอนเสิร์ตครั้งแรกมาโชว์ มีร้านค้าที่ขายเสื้อยืดแบบเก๋ๆ มีการมาออกแบบเสื้อยืด เรียกว่าถ้ามาที่นี่ละก็ได้เสื้อยืดที่ถูกใจกลับไปอย่างแน่นอน"
คริส : "นอกจากนั้นก็จะมีดนตรี มีการเดินแบบเสื้อยืด แฟชั่นโชว์ แล้วมีแบบบุฟเฟ่ต์ คือบางคนอาจจะหาซื้อเสื้อแบบที่ต้องการไม่ได้เลย เราก็จะมีขนาดเสื้อให้เลือกแล้วก็ให้ออกแบบตามที่ต้องการเลย อยากได้ลายไหน แบบไหน ก็อยากจะให้เที่ยวมาดูกันเยอะๆ ค่ะ..."