นักแสดงสาว "ต่าย ชัชฎาภรณ์ ธนันทา” ยอมรับรู้สึกดีขึ้นเมื่อรู้ว่าศาลได้รับฟ้องคดีที่เธอยื่นฟ้องนิตยสาร ”กอสซิป สตาร์” ฐานหมิ่นประมาท กล่าวหาว่าเธอร่วมก๊วนสวิงกิ้งโจอี้ บอย ยืนยันขอดำเนินคดีให้ถึงที่สุด เหตุเพียงเพราะต้องการให้คนทำผิดได้รับโทษ
จากการที่นิตยสารบันเทิง ”กอสซิป สตาร์” ได้ลงพาดหัวข่าวว่า“ช็อก! ต่าย-ชัชฎาภร ร่วมก๊วนสวิง โจอี้” พร้อมลงภาพงานปาร์ตี้ฉาวและมีการระบุว่าภาพหญิงที่อยู่ในหนังสือมีใบหน้าคล้ายดาราสาวคนดังซึ่งหมายถึงต่ายนั้น ข้อความและรูปภาพดังกล่าวได้สร้างความเสียหายต่อดาราสาวเป็นอย่างมาก เป็นเหตุให้เจ้าตัวยื่นฟ้องนายศิริ เหลืองสวัสดิ์ บรรณาธิการผู้พิมพ์ผู้โฆษณา กับพวกรวม 6 คนร่วมกันเป็นจำเลยในความผิดฐานร่วมกันหมิ่นประมาทไปตั้งแต่เดือน เม.ย. จนเมื่อวานนี้(6 มิ.ย.) ศาลได้รับฟ้องนายศิริ และ นายภูวพิตร แล้ว
ทั้งนี้นักแสดงสาวได้ระบายความรู้สึกที่มีต่อเรื่องที่เกิดขึ้นนี้ว่า...
“ณ เวลานี้สภาพจิตใจต่ายดีกว่าแรกๆ เยอะ เพราะว่าเริ่มมีคนรู้บ้างว่าคดีคืบหน้าไปแล้วนะ ไม่ได้จมอยู่กับที่แล้วเราก็ไม่ได้ยอมความกัน คือเรื่องที่คดีจะเงียบไปนั้นต่ายไม่กลัวเลยค่ะ เพราะก่อนที่ต่ายจะทำอะไรสักอย่างหนึ่งเนี่ย ต่ายต้องรู้ก่อนว่าถ้าต่ายทำมาแล้วต่ายเจ็บต่ายจะไม่ทำ ทุกอย่างที่ต่ายทำจะมีการไตร่ตรองมาอย่างดีแล้ว”
“ถ้าถามว่าต่ายคาดหวังแค่ไหนว่าเราจะชนะคดี ตรงนี้ต่ายก็ไม่รู้เหมือนกันนะว่าคดีจะออกมาเป็นยังไง แต่ว่าอันนี้มันขึ้นอยู่กับศาล ขึ้นอยู่กับความยุติธรรมมากกว่าว่ามันจะตัดสินออกมายังไง แต่ว่ามันเห็นๆ กันอยู่แล้วค่ะ ศาลเองเขาก็รู้เพราะเขารับฟ้องแล้วนี่คะ ทีนี้ก็มาไต่สวนมูลฟ้องกันว่าจะยังไง แต่ต่ายคุยกับทนาย เขาก็บอกว่ายังไงเราก็ชนะอยู่แล้วน่ะค่ะคือในรูปมันไม่ใช่เราจริงๆ น่ะ”
“ที่ต่ายฟ้องร้องขึ้นมาก็เพื่อต้องการความจริงค่ะ ต้องการให้คนผิดมารับโทษเท่านั้นเอง ส่วนเรื่องการเรียกร้องค่าเสียหายเราเรียกไปน้อยมาก น้อยสุดๆ แต่ต่ายก็ไม่ได้ซีเรียสตรงนี้อยู่แล้วน่ะค่ะ จริงๆ ต่ายไม่อยากพูดเยอะเพราะว่าตอนนี้เป็นเรื่องของศาลไปเพราะว่าถ้าพูดไปอาจจะมีผลต่อรูปคดีได้ เพราะฝั่งนั้นเขาเงียบมากไม่รู้ว่าเขาคิดอะไรอยู่เหมือนกัน”
ยืนยันคดีนี้ไม่มีการยอมความกันเกิดขึ้นแน่
“คือทนายของต่ายเนี่ยเขาบอกกับต่ายตั้งแต่แรกแล้วว่าคดีนี้มันจะนานนะเพราะว่ามันเป็นคดีอาญาแล้วก็เป็นคดีแพ่งด้วย เขาเตือนต่ายตั้งแรกแล้วต่ายก็บอกรู้ค่ะว่ามันจะนาน ทนายบอกว่าถ้าต่ายจะมายอมความหรือว่าจะมาไกล่เกลี่ยกันแล้วยอมกันไป แล้วเดี๋ยวคดีเงียบไปเขาจะไม่ทำให้นะ คือถ้าเกิดจะให้เขามาทำแค่แย็บๆ แล้วยอมความกันเขาจะไม่ทำให้เขาบอกว่าเขาเสียชื่อเขา เพราะฉะนั้นต่ายก็ต้องทำให้มันเป็นไปตามกฎหมายต่อไปค่ะ”
“อีกอย่างเพราะเราเกิดความเสียหายไงคะ เรื่องงานเราก็โดนยกเลิก แล้วก็มีการพูดกันปากต่อปากโดยที่ไม่ใช่เรื่องที่เราจะต้องไปเสียหาย แล้วโดยส่วนตัวเราเป็นผู้หญิงมีข่าวก็ไม่ดีอยู่แล้ว แล้วนี่มีข่าวในเรื่องของเรื่องเพศ เรื่องของยาเสพติดซึ่งมันไม่ดีอยู่แล้ว มันเสียหาย ฉะนั้นมันมีแต่เสียกับเสียต่อตัวต่ายน่ะค่ะ”
“กับครอบครัวเราก็กระทบมากคือพ่อเราเป็นอาจารย์แล้วก็ไม่ได้สอนเด็กอนุบาลไงคะ สอนเด็กโตแล้วเด็กเป็นปริญญาตรีปริญญาโท ชื่อนามสกุลใครๆ ก็รู้ว่านี่คือพ่อของต่าย แล้วใครๆ ก็รู้ว่านี่คือลูกของพ่อ มันเกิดการเสื่อมเสียอยู่แล้ว อย่างแม่ของต่ายทำงานเกี่ยวกับราชการเกี่ยวกับกฎหมายอยู่อัยการที่สนามหลวงด้วย ทุกคนก็มองว่าทำไมเพราะอะไรยังไงเหรอ เรื่องนี้มันเกิดขึ้นได้ยังไง”
“คือเราไม่ได้ทำอะไรผิดน่ะค่ะ เราก็ต้องการความยุติธรรม เพราะทุกวันนี้เราทำงานนะคะเรามั่นใจได้ว่าเราเป็นคนที่ประพฤติดีอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นต่ายมั่นใจทุกครั้งเวลาต่ายทำอะไร ถ้าต่ายไม่ผิดก็อย่ามาว่า”
ยังดีที่มีคนเข้าใจและป้อนงานมาให้
“ตอนนี้เริ่มมีงานส่งเข้ามาดีขึ้นค่ะ ที่ต่ายกำลังถ่ายทำอยู่คือเรื่องฟ้ากระจ่างดาวแล้วก็หนึ่งตะวันพันดาว แต่สำหรับบางงานเราก็ต้องเสียไป แต่ก็อย่างว่าแหละอะไรที่มันเกิดไปแล้วเราก็เห็นใจเขาน่ะค่ะ ที่เขายกเลิกงานเรา เราก็เข้าใจว่ามันมีความเสียหายจริงๆ จะเอาเราเป็นพิธีกร แต่ว่าพิธีกรก็ต้องมีภาพพจน์ที่ดีใช่มั้ยคะ เวลามีข่าวนิดๆ หน่อยๆ ที่ไม่ดีเนี่ยเขาก็จะถอนแล้วเพราะงานเขาก็เสื่อมเสีย”
“ที่เราต้องมาโดนแบบนี้ถามว่าท้อมั้ยก็มีบ้าง มันเป็นเรื่องของความรู้สึกซึ่งมันนอกเหนือกว่านั้น ก็ต้องปล่อยไปน่ะ เราก็ต้องยอมรับเพราะมันเกิดขึ้นมาแล้ว”