พ.ศ. 2492 โชคชะตาของเด็กหนุ่มคนหนึ่งได้นำพาให้เขาต้องเดินทางข้ามฟากจากโลกศิวิไลซ์ในเมืองหลวง ไปสู่อีกโลกหนึ่งอันไกลแสนไกล
ไกลทั้งในเรื่องของระยะทางและความรู้สึก
"อาจินต์ ปัญจพรรค์" ในวัย 22 ปี คือเด็กหนุ่มคนนั้น
อาจินต์ถูกรีไทร์จากคณะวิศวะฯ ปี 2 ชีวิตของการเป็นนิสิตของมหาวิทยาลัยสิ้นสุดลงตรงนั้น ทว่ามันกลับเป็นการเริ่มต้นของการเรียนเพื่อที่จะรู้วิถีแห่งการใช้ชีวิตจริงที่ไม่มีตำราเล่มไหนจะสอนเขาได้ โดยมีเหมืองแร่ ที่ ต.กระโสม อ.ตะกั่วทุ่ง จ.พังงา ที่ๆ โชคชะตาให้เขาเดินทางมาถึงที่นี่ โดยไม่มีภาพจินตนาการอยู่ในหัวของเขาแม้แต่น้อยนิดว่าจะต้องเจอะเจอกับเรื่องราวอะไรบ้าง เป็นโรงเรียนที่เขาจะต้องอยู่เพื่อเรียนรู้
ที่เหมืองแร่ อาจินต์พบว่าสิ่งที่เขาร่ำเรียนมาจากในมหาวิทยาลัยมันใช้ไม่ได้กับการทำงานในที่นี้ เขาจำต้องปิดตำราเรียนและทิ้งความภาคภูมิใจในการเป็นนิสิตของมหาวิทยาลัยชื่อดังไป แล้วเปิดใจเพื่อบันทึกการเรียนในรูปแบบใหม่ที่ไม่ได้เกิดจากการพร่ำสอนหรือตัวหนังสือบนกระดานชีท หากแต่มันเกิดขึ้นมาจากคนที่มีเลือดเนื้อและการทำงานจริงๆ
ที่นี่ไม่มีอาจารย์ที่มีวุฒิการศึกษาสูงๆ หากมีครูที่เป็นตั้งแต่กรรมการแบกน้ำ เรื่อยไปจนถึงเจ้าของเหมืองฯ ผู้มีตำราเป็นประสบการณ์และวิชาจากการทำงานคอยเสี้ยมสอน ไม่ว่าจะเป็นนายฝรั่งผู้ใจดีที่สอนให้เด็กหนุ่มได้เรียนรู้วิธีการถนอมน้ำใจคน พี่เหว็งสอนวิชาการเป็นลูกผู้ชาย พี่จอนที่แสดงให้เห็นความทุ่มเทในการทำงานและการใช้ชีวิตอันโลดโผน ตาหมาสอนวิชาศิลปะและวาทศิลป์ พี่ก้องที่สอนวิชาจริยธรรม และอีกหลายต่อหลายคนที่กลายเป็นเบ้าหลอมให้เด็กหนุ่มคนหนึ่งมีความเข้มแข็งในการใช้ชีวิตมากยิ่งขึ้นอย่างที่เจ้าตัวเองไม่รู้ตัว
(เรื่องจริง) หลังเหมืองแร่ปิดเด็กหนุ่มคนเดิมใช้เวลากว่า 30 ปีในการร้อยเรียงเรื่องราวต่างๆ ระหว่างการใช้ชีวิตในเหมืองแร่ของตนเองกับผู้คนที่พบเจอเขียนออกมาเป็นหนังสือชุด "เหมืองแร่" (กองทุนสนับสนุนการวิจัยคัดให้เป็นหนึ่งในหนังสือร้อยเล่มที่คนไทยควรอ่าน) ที่มีความยาวกว่า 142 ตอน ก่อนที่เรื่องราวและตัวละครที่เขาสร้างสรรค์ขึ้นเหล่านี้จะกลับมาโลดแล่นมีชีวิตอีกครั้งด้วยฝีมือของผู้กำกับ "เก้ง จิระ มะลิกุล"...
กว่าชั่วโมงครึ่งของหนังเรื่องนี้คงจะไม่มีใครปฏิเสธถึงความสนุก ความสบายใจ ความอิ่มเอม ความสุขเพลิดเพลินไปกับบรรยากาศของความเป็นธรรมชาติ เสียงเพลงจากวงออเคสตร้า ความใสซื่อและรอยยิ้มที่บริสุทธิ์ของ "คน" ในฐานะต่างๆ ที่รวมตัวกันอยู่ในเหมืองแห่งนี้ ซึ่งก่อให้เกิดแนวความคิดของการใช้ชีวิต และบางทีมันก็กลายเป็นมุกตลกที่ชวนเรียกเสียงหัวเราะมากมายหลายต่อหลายเรื่องราวและเหตุการณ์
แต่ถ้าถามถึงอารมณ์ของความประทับใจหรือแรงบันดาลใจที่จะให้ลุกขึ้นมาทำอะไรสักอย่าง เชื่อว่าหลายคนคงจะต้องคิดหนักว่า "มหา' ลัย เหมืองแร่" ได้ให้อารมณ์หรือพยายามจะสร้างสิ่งดังกล่าวขึ้นมาด้วยหรือเปล่า?
บางคนอาจจะพาลให้คิดไปถึงคำโปรยของหนังเรื่องนี้ที่ว่า...จากหนึ่งหนังสือร้อยเล่มที่คนไทยควรอ่าน สู่หนึ่งหนังที่ควรไทยคนดู..นั้น ออกจะเป็นการโฆษณาที่เกินจริงไปสักหน่อย
เหตุที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะผลอันเนื่องมาจากเรื่องราวที่เกิดขึ้นในหนังนั้นเป็นราวกับภาพสไลด์ที่มีเครื่องฉายคือหนังสือชุดเหมืองแร่ การดำเนินเรื่องเป็นไปแบบจบเป็นตอนๆ ไม่มีไคลแม็กซ์ ตัวละครยังไม่มี "เรื่อง" และ "พลังด้านลึก" เพียงพอที่จะสร้างความรู้สึกกับคนดูให้มีอารมณ์ร่วมไปกับหนังในเชิงของความรู้สึกนึกคิด
โดยเฉพาะตัวเอกของเรื่องอย่างอาจินต์ที่สมควรจะมีภาพของการเป็น "คาวบอย" ในเหมืองนั้น แทบจะไม่เห็นเลยว่าเจ้าตัวจะมีพัฒนาการทั้งในแง่ความคิด รวมทั้งความเข้มแข็งของการใช้ชีวิต ไม่ว่าจะเป็นปีหนึ่ง ปีสอง ปีสาม แม้กระทั่งจบปีสี่แล้วก็ตาม
มีเพียงคำบรรยายที่พยายามจะสื่อให้เห็นว่าเป็นเช่นนั้น ในขณะที่ภาพจริงที่เห็นก็คือหนุ่มน้อยมาดนิ่ม ที่ไม่ได้ทำให้คนดูรู้สึกเชื่อเลยว่าเท้าที่เขาก้าวออกมาจากเหมืองแร่นั้นมันแข็งแกร่งและมั่นคงกว่าเท้าแรกที่เขาก้าวเข้าไปสู่เหมืองแร่แห่งนี้
ความรู้สึกที่ว่านี้เกิดจากการที่ผู้กำกับไม่สามารถถ่ายทอดอารมณ์และสาระของหนังสือออกมาได้จนหมดใช่หรือไม่?
คำตอบคือเปล่าเลย...ตรงกันข้ามทุกอย่างที่ออกมาปรากฏอยู่ในจอนั้นต้องบอกว่าดีจนเกินดีเสียด้วยซ้ำ แต่ก็เพราะด้วยความที่มันดีและเหมือนสุดๆ ชนิดบทต่อบทออกมาเป็นฉากต่อฉากนี้เองที่ทำให้เรื่องราวของหนังเป็นไปอย่างขาดๆ หายๆ ไม่ปะติดปะต่อ
ความสุขของคนอ่านหนังสือกับคนดูหนังนั้นค่อนข้างจะแตกต่างกันพอสมควร เพราะในขณะที่ฝ่ายหนึ่งมีความสุขจากการได้จินตนาการโดยมีตัวอักษรเป็นแรงผลัก แต่ความสุขของอีกฝ่ายก็คืออารมณ์ความรู้สึกในรูปแบบต่างๆ โดยมีภาพที่มองเห็นและเสียงที่ได้ยินเป็นตัวควบคุม ฉะนั้นต่อให้มีเรื่องที่สนุกๆ หรือมีคำพูด (ในหนังสือ) ที่กินใจขนาดไหน แต่ถ้าโดยรวมไม่สามารถสื่อออกมาให้คนดูรู้สึกมีอารมณ์ร่วมได้ ก็คงจะเป็นเรื่องยากที่อีกฝ่ายจะรู้สึกประทับใจหรือเข้าถึงในสารที่อีกฝ่ายรู้สึกหรือต้องการให้เป็น
สำหรับของคนที่เคยอ่านหนังสือชุดเหมืองแร่มาแล้ว "มหา'ลัย เหมืองแร่" คงจะเป็น "ภาพ" ที่เติมเต็มจินตนการให้มีความสมบูรณ์มากยิ่งขึ้น ในขณะเดียวกันสำหรับคนที่ยังไม่ได้อ่านหนังสือ ภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นเสมือนกับ "ไกด์" ที่มีชีวิตซึ่งเต็มไปด้วยสาระและเรื่องราวที่ชวนให้ไปหาหนังสือมาอ่านได้เป็นอย่างดีทีเดียว