ยังเรียกกระแสได้เรื่อยๆ สำหรับภาพยนตร์ “โหมโรง” พระเอกของเรื่อง “โอ อนุชิต” ก็เนื้อหอมใช่ย่อย โดนค่ายยักษ์ยักใหญ่แห่งแดนอาทิศอุทัย “โตโฮ พิคเจอร์ส” ทาบให้เล่นหนัง “SPRING SNOW” ในบทเจ้าชายหนุ่มขี้เล่น อารมณ์ดี ว่ากันว่าผู้กำกับทางฟากญี่ปุ่นนั้นถึงกับยอมลงทุนมาแคสติ้งด้วยตัวเองเลยทีเดียว
งานนี้หนุ่ม “โอ” เลยยิ้มกริ่มหัดกินปลาดิบแล้ว ไม่ใช่อะไรหรอกเผื่อเปรี้ยงขึ้นมาจะได้ไม่ต้องปรับตัวกันเยอะ
“ผู้กำกับเขาเห็นในโหมโรงที่ได้ไปฉายในเทศกาลหนังเมืองคานส์ที่นั่นเท่าที่ได้ยินมาเป็นแบบนี้ ในเรื่องสปริงสโนว์จะต้องมีบทเจ้าชายที่มาจากเมืองไทย 2 คน เขาก็เลยลองเรียกให้ไปแคสฯ ดูมั้ย ลองมาดูว่าสนใจหรือเปล่า เขาติดต่อมาทางบริษัทแคสติ้งเมืองไทยเป็นคนแคสฯ แต่ว่าตัวโปรดิวเซอร์ของหนังเขาก็บินมาแคสฯ เอง แกรมมี่จะเป็นคนคอยดูแลเรื่องสัญญา เรื่องค่าจ้างให้ เรื่องที่อยู่พวกนี้ผู้ใหญ่ก็คอยดูแลให้”
“น่าจะเป็นแค่รับเชิญมากกว่าเพราะเราออกแค่ 8 ฉาก ตอนแรกๆ ก็คิดเหมือนกันว่า 8 ฉากนี่มันเยอะมั้ย อย่างในเรื่องโหมโรงนางเอกออกประมาณ 4 ฉาก พี่อ๊อฟ ออกประมาณ 6 ฉากนี่แหละมันอยู่ที่บทด้วยหลายๆ อย่าง ก่อนไปก็ต้องเตรียมไว้ให้พร้อม”
ถือเป็นการโกอินเตอร์ครั้งแรก
“คำว่าโกอินเตอร์ในความรู้สึกผมว่าต้องทำงานเมืองนอกเป็นหลัก ซึ่งตอนนี้ยังไม่มีหนังมีแต่ถ่ายละคร เท่าที่รู้มาเป็นค่ายหนังที่ใหญ่ที่สุดของญี่ปุ่น และเป็นค่ายเดียวกับที่ซื้อโหมโรงไป ถือว่าเป็นประสบการณ์ที่ดีในการแสดง
หน้าตาอินเตอร์ใช้ได้ สาวญี่ปุ่นเห็นแล้วก็ต้องกรี๊ดสลบไปหลายยกได้เหมือนกัน
“เขาเห็นเราก็กรี๊ด ตอนนั้นไม่ใช่ดีใจแต่ตกใจมากกว่า นึกในใจว่าเราลืมรูดซิปหรือเปล่า เขาเข้ามาขอจับมือ ถ่ายรูปอะไรประมาณนั้น ก็ดีครับ หน้าผมคงเหมือนศิลปินที่บ้านเขามั้งก็ดีใจ ที่เขาให้การตอบรับดี นั่นแหละถึงบอกไงคงต้องหัดกินประหลาดิบเยอะๆ แล้วละ เผื่อจะได้ไปทำงานที่นั่น”
เห็นการทำงานของนักแสดงญี่ปุ่นแล้วต้องชื่นชม แถมยังแอบนำมาปรับใช้กับละครได้อีกด้วย
“ไม่ต่างจากเมืองไทยมากนะครับ อาจจะต่างกันตรงที่คงเป็นเรื่องสไตล์ของการทำงานมากกว่า กล้องเขาดูใหญ่มากและดูใหม่กว่าของเมืองไทย ส่วนใหญ่จะทำงานในสตูดิโอมากกว่าที่จะไปสถานที่จริง ดาราที่นั่นค่อนข้างสมาธิสูง”
“ก่อนที่จะถ่าย ยิ่งหนังนี่ต้องมีการศึกษาให้ดีก่อนที่จะมาฉากนี้ ฉากต่อไปเป็นยังไง เพราะต้องทำอารมณ์ให้ดีๆ จะเห็นว่าบางทีเขาจะพูดกันนอกบทก่อน พอกล้องเดินปุ๊บเขาจะเล่นกันแล้ว คือเล่นวนไปก่อนที่จะมาเล่นในฉากใหม่ อย่างจริงๆ ต้องเล่นฉากสาม เขาจะเล่นฉาก 2 ปลายๆ ไปก่อนอารมณ์มันจะได้มาผมก็เลยปรับมาใช้ตอนถ่ายละครเหมือนกัน”
ส่วนเรื่องภาษาก็ไม่มีปัญหาเพราะส่วนใหญ่จะพูดภาษาอังกฤษ กับภาษาไทยซะมากกว่า
“ใช้ภาษาญี่ปุ่นเป็นหลักแล้วก็มีล่ามให้ แต่ในเรื่องเราจะพูดอังกฤษ ไทย แล้วก็ญี่ปุ่น ในเรื่องจะมีเจ้าชายสองคน องค์พี่กับองค์น้อง ผมไปกับน้องหนุ่มเรื่องจันดารา องค์พี่นี่จะขรึมๆ ผมเป็นองค์น้องในเรื่องก็จะร่าเริงสุดขีด ผมจะเป็นเฟรนด์ลี่ ร่าเริงสุดขีด แค่ให้คนดูเชื่อว่าผมอายุ 18 ก็พอ เพราะปัจจุบันอายุ 26 แล้วในเรื่องเล่นให้ดูเด็ก”
แต่จะได้ฉายที่เมืองไทยหรือไม่นั้นอันนี้ต้องรอลุ้นกัน
“ผมไม่แน่ใจ เพราะมันเป็นหนังของเขาที่เขาทำขึ้นเพื่อฉายที่ญี่ปุ่น แต่ถ้ากะแสดีก็คงได้ไปในหลายๆประเทศ บ้านเรายังไม่รู้ ถ้าจะฉายก็จะฉายที่ลิโด้มั้งครับ”