xs
xsm
sm
md
lg

DEAD MAN’S SHOES : น้องชายข้า ใครอย่าแตะ

เผยแพร่:   โดย: ธีปนันท์ เพ็ชร์ศรี


ก่อนจะมาทำ Dead Man’s Shoes เชน เมโดวส์ ทำหนังมาแล้วประมาณ 2-3 เรื่อง ซึ่งสื่อหลายสำนักพากันยกย่องชื่นชมเขาว่าเป็นคนทำหนังรุ่นใหม่ที่มีทั้งมันสมองและฝีมือจากฝั่งอังกฤษ

จากการอ่านดูข้อมูลเก่าๆ ในอินเตอร์เนต ผมพบว่างานของเมโดวส์ไม่ใช่หนังที่ดูยาก แต่ก็น่าแปลกใจที่มันไม่เคยประสบความสำเร็จทางด้านรายได้เลย เพราะเหตุนี้ชื่อของเขาเลยโด่งดังน้อยกว่า คนทำหนังชาติเดียวกันอย่าง กาย ริชชี หรือกลุ่มเวิร์กกิง ไตเติล สตูดิโออยู่เยอะพอสมควร

นักวิจารณ์บางคนตั้งข้อสังเกตไว้อย่างน่าสนใจว่า ที่เป็นเช่นนั้นเกิดจากงานของเมโดวส์ขาดลูกเล่นที่หวือหวา หน้าหนังปราศจากแรงดึงดูดอย่างสิ้นเชิง พิจารณาจากตัวหนังก็พบว่า ส่วนใหญ่แล้วมักพูดถึงชนชั้นกลาง (ค่อนไปทางชั้นล่าง) ไม่ค่อยมีอะไรจรรโลงใจเท่าไหร่นัก ปรุงแต่งก็น้อย หรือถ้าจะมีอยู่บ้าง ก็มักเป็นไปเพื่อเสริมความดิบเถื่อน มากกว่าจะให้เห็นอะไรสวยงามน่าประทับใจ

มองจาก Dead Man’s Shoes ซึ่งเป็นเรื่องเดียวที่ผมได้ดู ก็ต้องยอมรับว่าจริง บางช่วงบางตอนเผลอนึกไปว่า กำลังดูหนังเพื่อสังคมของเคน โลช (นักทำหนังรุ่นใหญ่ชาวอังกฤษที่มักจับชีวิตชนชั้นแรงงานมาเล่า) อยู่

ฉากหลังของหนังเป็นเมืองชนบทเล็กๆ ชื่อ แมตลอก ในเดอร์บี้ไชร์ของอังกฤษ สภาพอากาศดูมืดมัวและแฉะชื้น ประชากรดูบางตาโหวงเหวง บ่อยครั้งที่หนังจับภาพแลนสเคปแล้วก็มองไม่เห็นผู้คนเอาเสียเลย ให้ความรู้สึกเวิ้งว้างว่างเปล่าระคนหดหู่

หนังเปิดตัว ริชาร์ด (แพดดี คอนสิไดน์) ชายหนุ่มในชุดทหารเก่าๆ เดินเท้ามาพร้อมกับ แอนโธนี (โทบี เคบเบล) น้องชายสติไม่สมประกอบของเขา ขณะเดียวกันปากก็พร่ำสอนน้องไปด้วยว่า การจะอยู่บนโลกใบนี้ให้ได้นั้น ต้องอดทนและเข้มแข็ง ที่สำคัญ จะไปยอมอ่อนข้อต่อพวกอันธพาลไม่ได้เด็ดขาด

แล้วคนดูก็ได้ทราบแรงจูงใจของริชาร์ดในการเดินทางมายังแมตลอกในเวลาต่อมา ว่าเขาต้องการสะสางบัญชีแค้นกับ ซอนนี (แกรี สเตรช) นักเลงขาใหญ่ของเมือง ที่ครั้งหนึ่งเคยร่วมมือกับพรรคพวกอีก 6-7 คน รุมกลั่นแกล้งและทรมานน้องชายของเขา ริชาร์ดคิดว่า ถ้าพวกมันเล่นกับแอนโธนีเหมือนกับหยอกลูกหมาตัวหนึ่ง เขาก็จะเอาคืนกับคู่อริในแบบเดียวกัน

แรกๆ คนดูคงคาดหวังไปว่า การแก้แค้นของริชาร์ดจะเริ่มต้นด้วยความตื่นเต้นหฤหรรษ์ แต่เชน เมโดวส์กลับนำเสนอด้วยลีลาที่แตกต่างออกไปมาก ทุกอย่างที่ริชาร์ดทำตั้งอยู่บนพื้นฐานของความเป็นไปได้ การหยอกเอิน (ที่รุนแรง) ไม่มีอะไรเหลือเชื่อเกินจริง หรือจะทำให้คนดูเกิดความรู้สึกค้านอยู่ในใจ

ที่น่าสนใจก็คือ บรรดาก๊วนของซอนนี (ซึ่งเป็นตัวละครผู้ร้าย) ก็ไม่ได้มีบุคลิกที่โหดเหี้ยมอำมหิต กลับดูโง่ๆ ชวนหัวเสียด้วยซ้ำ ความตื่นตระหนกเกินเหตุ ยังผลให้เหตุการณ์มันเลวร้ายกว่าที่ควรจะเป็น โดยเฉพาะซอนนี ที่มองภายนอกเขาเปรียบเสมือนหัวหน้าใหญ่ แต่กลับทำอะไรผิดพลาดเพราะขาดสติยั้งคิดซ้ำแล้วซ้ำเล่า

ด้วยนิสัยที่ว่า สามารถนำไปอธิบายในข้อที่ว่า เพราะอะไรเขาและพรรคพวกถึงได้กลั่นแกล้งแอนโธนี อย่างไม่มีเหตุผลเช่นนั้น มันก็คงเป็นเพราะซอนนีรักสนุกและไม่เคยคิดหน้าคิดหลัง ไม่มีความปรานีหรือกระทั่งคิดจะเอาใจคนอื่นมาใส่ไว้ในใจของตนเอง

กลั่นแกล้งคนปกติก็นับว่าเลวทรามพออยู่แล้ว นี่คนพิการ ซอนนีก็คงไม่ต่างอะไรกับการไปวิ่งไล่เตะหมาขาด้วนที่ไม่มีทางสู้ ถึงที่สุดแล้วเขาก็คือคนอ่อนแอมากๆ คนหนึ่ง ที่พยายามสร้างความเชื่อมั่นถึงพลังอำนาจของตนเอง ด้วยการไปข่มคนที่ด้อยกว่าแบบโง่ๆ

แต่ที่น่าเจ็บปวดไปกว่านั้น หนังก็เผยให้เห็นว่า ริชาร์ดเองก็ไม่ได้เป็นคนที่เข้มแข็งหรือดีพร้อม ระหว่างที่กำลังนั่งคุยเรื่องสามัญธรรมดากับน้องชาย ครั้งหนึ่งแอนโธนีถึงกับตัดพ้อว่า เวลาที่เขาเดือดร้อนและต้องการความช่วยเหลือ พี่ชายไปอยู่เสียที่ไหน แล้วสิ่งที่พี่พอจะทำให้เขาได้ในตอนนี้ คือการไปแก้แค้นแค่นั้นนะหรือ

จำเลยคนสุดท้ายของริชาร์ด ซึ่งเป็นคนที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์นี้น้อยที่สุด มาตอกย้ำประเด็นของหนังให้ชัดเจนขึ้นในตอนท้าย เขาเป็นคนที่ไม่เต็มใจกับการกระทำของซอนนีเลย แต่ก็ไม่คิดจะขึ้นเสียงคัดค้าน ก่อนชำระโทษ ริชาร์ดถามเขาว่า ในวันนั้นเขาทำอะไรกับแอนโธนีบ้าง และคำตอบที่น่าสลดใจคือ “ผมรู้สึกผิด ที่ผมไม่ได้ทำอะไรเลย ทั้งๆ ที่ควรจะทำอะไรบ้าง ผมควรจะห้ามพวกเขา”

สุดท้ายแล้วตัวละครทุกตัวผิดที่ไม่คิดจะทำอะไรเลยในเวลาที่ยังพอมีโอกาส ริชาร์ดก็ตกอยู่ในที่นั่งเดียวกันนี้ มันคือคำตอบของข้อสงสัยที่แอนโธนีถามเขาว่า ก่อนหน้านี้พี่หายไปไหน ทั้งๆ ที่ควรจะเป็นคนที่อยู่ดูแลเขามากที่สุด

เชน เมโดวส์ ทำให้ Dead Man’s Shoes อยู่เหนือหนังระทึกขวัญธรรมดาๆ ขึ้นมาอีกชั้นหนึ่งด้วยการเพิ่มความลึกให้กับตัวละคร ไคลแม็กซ์ของหนังจึงไม่ได้มีเรื่องน่าตื่นเต้น แต่เป็นการระบายความคับข้องในใจอันเจ็บปวด เป็นความรุนแรงที่อยู่ในระดับสูงสุด

สิ่งที่จะต้องชื่นชมกันอีกอย่างหนึ่ง คงเป็นการล้อเล่นกับคนดูในช่วงครึ่งแรกของเรื่อง เมโดวส์แสดงศักยภาพในการเล่าเรื่องให้ออกมาในลักษณะเรื่องตลกที่ขำกันไม่ออก ฉากการตายเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วฉับไว โดยที่คนดูเองก็ตั้งตัวแทบไม่ทัน การหยอกเอินของริชาร์ดนั้นเข้าข่าย “ตลกร้าย” ที่ร้ายกาจเอามากๆ

คนที่จะลืมกล่าวถึงไม่ได้เลย นอกเหนือจากผู้กำกับ คงเป็น แพดดี คอนสิไดน์ ผู้รับบทริชาร์ด และเป็นคนเขียนบทร่วมกับเมโดวส์ด้วย คอนสิไดน์เคยเล่นเป็นตัวพ่อ ในหนัง In America ของผู้กำกับจิม เชอริแดนเมื่อ 2 ปีก่อน งานนั้นเขาแสดงฝีมือไว้น่าประทับใจมาก

กับ Dead Man’s Shoes ก็ไม่ต่างกัน คอนสิไดน์ดุดันอยู่ภายในโดยไม่ได้แสดงออกมาอย่างโจ่งแจ้งในช่วงแรก จนมาถึงในช่วงท้ายที่แสดงแววตาของคนที่แพ้อย่างหมดรูป เพราะตระหนักได้ว่า สิ่งที่ตนเองพยายามทำ มันไม่สามารถแก้ไขอะไรได้

มันเป็นการแสดงขั้นสุดยอดที่ผมรู้สึกว่าหาดูได้ไม่บ่อยนัก



กำลังโหลดความคิดเห็น