xs
xsm
sm
md
lg

Spanglish : เมื่อแม่กับลูกพูดกันคนละภาษา

เผยแพร่:   โดย: ธีปนันท์ เพ็ชร์ศรี


ผู้กำกับ เจมส์ แอล.บรูกส์ เคยทำหนังเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของแม่และลูกอยู่เรื่องหนึ่งซึ่งโด่งดังมาก นั่นก็คือ Terms of Endearment (1983) ส่งให้นักแสดงสาวใหญ่ เชอร์ลีย์ แม็กเลน – ได้ออสการ์ไปจากหนังเรื่องที่ว่านั้น

ตัวหนังมีฉากดีๆ น่าประทับใจมากมาย ฉากที่ผมชอบที่สุดอยู่ในตอนเปิดเรื่อง ออโรรา (แม็กเลน) ได้ยินเสียงลูกน้อยร้องไห้งอแงอยู่ในเตียงเด็กอ่อน เธอพยายามกล่อมอยู่นาน แต่ลูกก็ไม่เงียบ ออโรราจึงแก้ปัญหาด้วยการกระโจนลงไปนอนในเตียงเล็กๆ นั่นเสียด้วยเลย

ผมชอบเพราะฉากนี้มันดูตลก ในขณะเดียวกันมันก็เป็นฉากที่บ่งบอกถึงบุคลิกของออโรราได้ชัดเจนเห็นภาพที่สุด เธอเป็นแม่ประเภทถึงไหนถึงกัน แกร่งเกินหญิงทั่วไป ด้วยลักษณะนิสัยแบบนี้เธออาจไม่มีปัญหาเรื่องการประคับประคองสถานการณ์การเป็น Single mom (แม่ที่ต้องเลี้ยงลูกตามลำพัง) เลย แต่มีได้ก็ต้องมีเสีย สันดานยอมหักไม่ยอมงอของออโรรา ก็ทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับลูกสาว ดำเนินไปอย่างไม่ราบรื่นนัก

ตัวละคร Single mom ปรากฏขึ้นอีกครั้งในงานของบรูกส์ เรื่อง As Good as It Gets แครอล (เฮเลน ฮันต์ – ได้ออสการ์ไปเช่นเดียวกัน) เป็นสาวเสิร์ฟใจเด็ดที่ทำงานงกๆ เพื่อหาเงินมาเลี้ยงลูกซึ่งป่วยออดๆ แอดๆ ฉากที่แสดงความเป็นแม่ของเธอที่หนังเล่าแล้วเอาอยู่มากๆ คือตอนที่แครอลพยายามมีเดตกับชายหนุ่มคนหนึ่ง (ตามคำขอของแม่และลูกชายของเธอเอง) หลังจากปล่อยตัวเองแห้งเหี่ยวมานานพักใหญ่แล้ว

ทุกอย่างดำเนินไปได้ด้วยดี จนกระทั่งเธอได้ยินเสียงลูกไอแคกๆ จากห้องข้างๆ แครอลล้มเลิกที่จะมีเซ็กซ์กับคู่เดตของเธอทันที แล้วปรี่ไปดูลูกแทน

Spanglish งานชิ้นล่าสุดของเจมส์ แอล.บรูกส์ ก็ยังไม่วายวนเวียนอยู่กับเรื่องแม่ๆ ลูกๆ เหมือนเดิม บุคลิกคนเป็นแม่ในหนังเรื่องนี้ก็ไม่ต่างจาก ออโรราและแครอล กล่าวคือ เป็นนักสู้ เจ้ากี้เจ้าการ ทิฐิแรงและมักคิดแทนลูก โดยทึกทักเอาว่ามันเป็นสิ่งที่ดีที่สุดที่ลูกของพวกเธอควรได้รับ

คู่แรกเป็นแม่ลูกชาวเม็กซิกันที่หนีข้ามพรมแดนมาหาชีวิตที่ดีกว่าในลอสแองเจลิส คริสตินาเล่าเรื่องแม่ของเธอให้คนดูฟังว่า แม่เป็นคนเข้มแข็ง เมื่อต้องเลี้ยงดูลูกตามลำพังเพราะพ่อทิ้งพวกเธอไป แม่ก็ไม่ยอมเสียน้ำตาให้เธอเห็น แม้จะเสียใจอย่างหนักขนาดไหนก็ตาม

คริสตินาบอกกับคนดูเพิ่มเติมว่า แม่เลี้ยงเธอในเม็กซิโกก่อน แล้วก็อพยพมาสหรัฐฯ หลังจากให้เธอซึมซับความเป็นคนละตินเพียงพอแล้ว แต่พอมาถึงบ้านใหม่ แม่ก็ยังไม่วายอาศัยอยู่ในละแวกคนต่างด้าวที่พูดภาษาเดียวกัน ความทิฐิแบบพื้นๆ ของแม่ ที่สังเกตได้ไม่ยากเลย คือเธอไม่ยอมแม้แต่จะหัดพูดภาษาอังกฤษ ทั้งๆ ที่มันเป็นเรื่องจำเป็นมากในการดำรงชีวิตอยู่ที่นี่

ฟลอร์ (ปาซ เวกา) ก็เป็นอย่างที่คริสตินาลูกของเธอเล่า เธอทำงานหามรุ่งหามค่ำเพื่อให้ลูกได้รับการศึกษาที่ดีกว่าเธอ แต่กระทั่งวันหนึ่งฟลอร์ก็รู้สึกว่า การหาเงินแย่งเวลาของเธอจากการดูแลลูกมากเกินไปสักหน่อยแล้ว เธอควรหางานทำที่ใช้เวลาน้อยกว่านี้ และได้ค่าตอบแทนที่คุ้มค่ากว่านี้ด้วย

งานใหม่ของเธอฟลอร์นำคนดูไปรู้จักกับครอบครัวคลาสกี้ ที่มีเดบราห์ (เทีย เลโอนี) ครองความเป็นใหญ่ในบ้าน บังคับบัญชาตั้งแต่สามี ลูกสาวและลูกชาย รวมไปถึงแม่แก่ๆ ขี้เมาของตัวเอง

มุกตลกที่เกิดส่วนใหญ่ในหนังก็เริ่มขึ้นจากจุดตรงนี้ ฟลอร์ไม่กระดิกเรื่องภาษาอังกฤษเลย ในขณะที่เดบราห์นั้นเป็นเจ้านายที่พ่นประโยคคำสั่งออกมาเป็นชุดๆ ภายในเวลาเพียง 10 วินาที หลายฉากเป็นการนำเอาปัญหา “ด้านการสื่อสาร” มาเรียกเสียงหัวเราะแบบเอาเถิดเจ้าล่อ ซึ่งเป็นทางถนัดของเจมส์ แอล.บรูกส์อยู่แล้ว เขาเป็นคนที่เขียนบทสนทนาได้ดีจนน่ายกย่อง รวมไปถึงการควบคุมจังหวะของนักแสดง ที่ถ้าหากทำไม่เป็นหรือไม่แม่น มันก็จะล้มเหลวไปในทันที

ในไม่ช้าหนังก็เผยให้เห็นว่า ไม่ใช่เฉพาะฟลอร์เท่านั้นที่ปวดหัวกับเรื่องลูกของเธอ แต่เดบราห์เองก็เช่นกัน การวางอำนาจทำให้ช่องว่างระหว่างเธอกับลูกขยายพื้นที่เพิ่มมากขึ้น เธอคิดเอาเองเสร็จสรรพว่า ทุกสิ่งที่เธอทำหรือสั่ง - เป็นผลดีต่อลูกทั้งนั้น ซึ่งในความเป็นจริง เธอทำเพื่อสนองความต้องการของเธอเอง

ฉากซ้ำซากมากๆ ฉากหนึ่งเป็นตอนที่เดบราห์พูดกับแม่ของเธอว่า ที่เธอโตมาเป็นอย่างนี้ เพราะตอนเด็กๆ แม่ไม่เคยสนใจอะไรเลย นอกจากการดื่มเหล้าและมั่วผู้ชายไปทั่ว ตอนนี้เดบราห์จึงทำแบบนั้นกับลูกสาวของตัวเองโดยเธอไม่รู้ตัว มันเป็นฉากสารภาพบาปที่ค่อนข้างเชย แต่บรูกส์กลับทำออกมาในทำนองเรียกเสียงหัวเราะ แก้เลี่ยนได้ชะงัด

Spanglish พูดถึงปัญหาการสื่อสารของคนในหลายๆ ระดับ ตั้งแต่ คนต่างด้าว-คนในท้องถิ่น, คนชั้นบน-คนชั้นล่าง ไปจนถึงคนระหว่างรุ่น อย่างแม่และลูก

อย่างหลังนี่เรามักไม่ค่อยสนใจกัน เพราะมันใกล้ตัวจนมองแทบไม่เห็น หนังยังต่อยอดคำถามไปถึง ความแปลกแยกอีกด้วยว่า อย่างไหนถึงจะเป็นการแปลกแยกแบบที่ยังคง “ความเป็นตัวของตัวเอง” ไว้ และจะดีกว่าจริงๆ หรือเปล่าถ้าเราจะเข้ากับคนอื่นได้ โดยการกลืนไปกับคนเหล่านั้น

ฟลอร์เคยบอกว่า การที่เธอไม่อยากให้ลูกไปเรียนโรงเรียนประจำของคนรวยตามความประสงค์ของเดบราห์ ไม่ใช่เพราะกลัวลูกเข้ากับเพื่อนไม่ได้ สิ่งที่เธอตระหนกมากยิ่งกว่า คือการที่สักวันหนึ่ง คริสตินาจะเป็นอย่างคนอื่นๆ กลายเป็นเด็กสาวแปลกหน้าที่ไม่ใช่ลูกของเธออีกต่อไปแล้ว

ไม่รู้ผมเขียนแล้วฟังดูเครียดไปหรือเปล่า ทั้งๆ ที่ความจริงแล้ว นี่เป็นหนังที่ตลกมากๆ เผลอๆ อาจเป็นหนังที่ตลกที่สุดเท่าที่เจมส์ แอล.บรูกส์เคยทำมา (ยกเว้นซีรีส์ The Simpsons นะครับ) นักแสดงทุกคนเล่นกันอย่างเอาเป็นเอาตาย อดัม แซนด์เลอร์ซึ่งขึ้นชื่อเป็นดารานำก็ทำหน้าที่ของตัวเองได้ดี

อย่างไรก็ตาม ด้วยความที่มันเป็นหนังซึ่งพูดเรื่องความรู้สึกนึกคิดของผู้หญิง นักแสดงหญิงในเรื่องจึงฉายความสามารถออกมาแข่งกัน และเด่นกว่าแซนด์เลอร์กันทุกคน ตั้งแต่ ปาซ เวกา (เวลาเธอไม่แก้ผ้าก็ดูน่ารักดี), เทีย เลโอนี และ คลอริส ลีคแมน - ขอเตือนว่าคนหลังนี่เธอเป็นตัวขโมยซีนระดับ Most Wanted

บทของผู้หญิงใน Spanglish มีทั้งวุ่นวายและโวยวาย แบบที่ผู้ชายส่วนใหญ่เจอเข้ากับชีวิตจริงแล้วอาจจะปวดหัวจี๊ดๆ แต่เจมส์ แอล.บรูกส์ก็นำเสนอด้วยน้ำเสียงน่ารักๆ ผู้หญิงของเขาไม่ว่าจะแกร่งสักแค่ไหน สุดท้ายแล้วพวกเธอคือ เพศที่น่ารัก อ่อนโยน และน่าทะนุถนอม





กำลังโหลดความคิดเห็น