โดย นพวรรณ สิริเวชกุล
คุณผู้ฟังเคยอยู่ในสถานที่ ที่ข้อมูลข่าวสารเข้าไปไม่ถึงบ้างไหมคะ ที่ๆ ใช้น้ำจากแม่น้ำสาละวิน และมีไฟฟ้าด้วยระบบพลังงานโซลาเซลล์ หมู่บ้านที่ประจันหน้าอยู่กับค่ายทหารฝั่งตรงข้าม....ที่มองเผินๆ คล้ายสำนักสงฆ์...
พื้นที่ ที่ดิฉันพูดถึงนี้ก็คือหมู่บ้าน ท่าตาฝั่ง ริมแม่น้ำสาละวิน ที่ตั้งอยู่ในเขตอำเภอแม่สะเรียง จังหวัดแม่ฮ่องสอนของไทยเรานี่เองค่ะ
เมื่อสักประมาณปลายปี 2547 ที่นี่ มีกลุ่มศิลปินในโครงการศิลปะแลกเปลี่ยนไทย พม่า สาละวิน เข้ามาทำงานศิลปะชุมชนและแลกเปลี่ยนความคิดทางด้านศิลปะและวัฒนธรรมร่วมกันเป็นที่ติดอกติดใจของชาวบ้านที่นั่น จนกระทั่งหลังจากกลุ่มศิลปินกลุ่มนั้นกลับออกมาแล้ว ได้ข่าวแว่วตามหลังมาว่า ชาวบ้านเริ่มทำงานศิลปะด้วยตัวเอง เพราะเขาหวังว่า นี่คือ หนึ่งในหวังที่จะทำให้ใครต่อใคร หันมาฟังเสียงพวกเขากันบ้าง... เสียงที่ไม่ต้องการ เขื่อน ค่ะ...
แม่น้ำสาละวินที่ไหลผ่านหมู่บ้านท่าตาฝั่งนี้ ถูกเรียกกันมาหลากหลาย คนต้นน้ำอย่างชาวจีน ก็จะเรียกว่า นู่เจียง ส่วนคนฝั่งพม่าก็จะเรียกน้ำสายนี้ว่า ตาลวิน ส่วนคนท้องถิ่นแถบบ้านเรา ก็เรียก แม่น้ำคง ค่ะ
แม้จะเป็นหน้าร้อนที่อุณหภูมิของอากาศร้อนแบบแผดเผา..แต่น้ำในแม่น้ำสาละวิน กลับเย็นราวน้ำแข็ง ที่เป็นเช่นนี้ ก็เพราะ เมื่อหิมะละลายจากเทือกเขาหิมาลัย ที่ซึ่งเป็นต้นกำเนิดแม่น้ำสายนี้ น้ำธารเดียวกันนี่เอง ที่จะค่อยๆ ไหลผ่านมณฑลยูนนานในประเทศจีน เลาะเข้าสู่ที่ราบสูงในรัฐฉานและรัฐคะยาห์ ก่อนจะไหลเข้าสู่ชายแดนไทยที่ตำบลกองก๋อย อำเภอแม่สะเรียง จังหวัดแม่ฮ่องสอน
ตลอดทั้งสายน้ำสาละวินจากต้นสู่ปลาย มีความยาวถึง 2,820 กิโลเมตร และกลายเป็นเส้นกั้นเขตแดนไทย พม่าด้วยระยะทางถึง 127 กิโลเมตร ก่อนจะวกกลับเข้าสู่เขตแดนพม่าอีกครั้งหนึ่ง ที่สบเมย และไหลออกสู่อันดามันที่เมืองเมาะลำเลิง สาละวินได้ชื่อว่าเป็นแม่น้ำสายเดียวที่ไม่มีแม่น้ำสาขาถึง 480 กิโลเมตร ถือเป็นแม่น้ำสายที่ยาวเป็นอันดับที่ 26 ของโลกทีเดียว
ด้วยความยาวขนาดนี้เอง ที่ทำให้สภาพภูมิอากาศจากต้นน้ำถึงปลายน้ำมีความแตกต่างกันมาก ตรงช่วงที่ไหลผ่านเมืองไทยเรานั้น จะเป็นบริเวณที่ปกคลุมไปด้วยป่าสักผืนใหญ่ และเป็นที่ตั้งของเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าสาละวินและอุทยานแห่งชาติสาละวินด้วย
สาละวิน ถือเป็นแม่น้ำที่ยังคงไหลได้อย่างอิสระโดยไม่มีเขื่อนใดกั้นสายน้ำ เหลืออยู่เพียงสายเดียวในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และถือได้ว่ายังเป็นสายน้ำที่คงความบริสุทธิ์มากที่สุดสายหนึ่งของโลกทีเดียว... อาจเป็นเพราะว่าสาละวินไม่ได้ไหลผ่านเมืองใหญ่และไม่ได้ไหลผ่านแหล่งอุตสาหกรรมใดๆ จะไหลผ่านก็เพียงแต่ ภูมิประเทศที่ล้วนแล้วแต่เป็นป่าดงและเทือกเขาแถบทั้งสิ้น
หมู่บ้านท่าตาฝั่ง เป็นหมู่บ้านเก่าแก่ที่ตั้งอยู่ริมแม่น้ำสาละวินมาเนิ่นนานแล้วค่ะ ตั้งแต่ที่ยังมีการติดต่อการค้าไม้กันอยู่ระหว่างพม่าและไทย เคยมีสถานีตำรวจที่บัดนี้ กลายเป็นสถาปัตยกรรมเก่าแก่ที่ได้รับการอนุรักษ์จากกรมศิลปากรเรียบร้อยแล้ว สถานีนี้ตั้งขึ้นมาประจำการอยู่ตั้งแต่ปีพ.ศ. 2465 เพิ่งมาย้ายสถานีไปอยู่บนฝั่งเอาเมื่อประมาณปี 2520 นี่เอง
ชาวท่าตาฝั่งเป็นกะเหรี่ยงสะกอร์ หรือปากะญอ ที่ได้หันมานับถือศาสนาคริสต์ตามความเชื่อของผู้นำชุมชน ซึ่งน่าจะเป็นช่วงการเผยแพร่ศาสนาของหมอสอนศาสนาชาวตะวันตกเมื่อช่วงต้นศตวรรษที่ 19 ที่กะเหรี่ยงจำนวนไม่น้อยที่หันมานับถือศาสนาคริสต์และเป็นปฏิปักษ์ต่อพม่า
ช่วงนี้เองที่ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในชุมชนชาวกะเหรี่ยง ในประเทศพม่า และอาจมีผลกระทบประปรายมายังกะเหรี่ยงที่อาศัยอยู่ทางฝั่งแผ่นดินไทย รวมทั้งเกิดสงครามระหว่างรัฐกะเหรี่ยงและชนกลุ่มน้อยกลุ่มอืนๆ กับรัฐบาลทหารพม่า
อันเป็นที่มาของชื่อ แม่น้ำสีเลือด แห่งสาละวิน...
ที่ท่าตาฝั่ง แต่เดิมอาจเรียกได้ว่า เป็นเมืองท่าที่สำคัญระหว่างคนสองฟากฝั่งน้ำเลยทีเดียว เพราะเป็นจุดที่จะนำสินค้าทั้งสองฟากฝั่งมาผ่องถ่าย เพื่อส่งต่อไปจำหน่ายต่อไป แต่เดิมสินค้าที่ชาวพม่าจะนำมาขายยังฝั่งไทย คือ หมาก น้ำอ้อย ฝ้ายเข็นและเกลือ อีกทั้งที่นี่ยังเคยเป็นแหล่งแร่วูลแฟรม แร่ดีบุก อีกด้วย
ส่วนทางฝั่งไทยเราเองสินค้าที่ขึ้นชื่อและเป็นที่ต้องการของคนอีกฟากฝั่งในทุกวันนี้คือ น้ำมันพืช เสื่อ ผงชูรส และรองเท้าแตะที่เน้นว่าต้องตราช้างเหยียบดาวเท่านั้น
และมีเหตุการณ์หนึ่งที่ทำให้ชาวท่าตาฝั่งเป็นที่รู้จักแก่คนทั่วไป คือกรณีไม้สาละวิน ที่ใครหลายคนพากันเหมารวมว่า คนที่นี่เป็นผู้ตัดไม้ทำลายป่า...
ด้วยความที่ต้องการลบภาพของผู้ทำลายป่าออกจากชุมชน พวกเขาจึงหารือร่วมกัน ในที่สุดตกลงกันว่า จะเปิดหมู่บ้านให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ เพื่อให้ผู้คนทั่วไปที่สนใจ ได้เข้ามาศึกษาชีวิตและเรียนรู้วัฒนธรรมความเป็นอยู่ของพวกเขา ที่แสนเรียบง่าย และต้องการจะบอกแก่ผู้มาเยือนว่า พวกเขานั้นไม่ใช่ผู้ทำลายป่า โดยโครงการการท่องเที่ยวนี้เริ่มเปิดดำเนินการมาตั้งแต่ปี 2542
รูปแบบของการท่องเที่ยวก็จะคล้ายกับที่อื่นๆ เข้ามาสัมผัสเรียนรู้วิถีชีวิตคนชนเผ่า เดินรอบหมู่บ้าน ไปชมโรงพักเก่าที่ถูกสร้างขึ้นมาตั้งแต่ปี 2465 ตรงจุดนั้นเองจะมองเห็นบริเวณที่นกยูงบินข้ามไปมาระหว่างฝั่งพม่ากับไทยด้วย
ทุกวันนี้แม้สงครามจะสงบ.... แม่น้ำสาละวินไม่เป็นสีเลือดเช่นแต่ก่อน....เหตุการณ์สองฟากฝั่งดูสงบนิ่งชาวท่าตาฝั่งต้อนรับนักท่องเที่ยว ที่สนใจจะไปพักผ่อนและเรียนรู้วัฒนธรรมของพวกเขา ยังมีอีกสิ่งหนึ่งที่พวกเขาพยายามจะบอกแก่คนทั่วไปในตอนนี้ด้วยว่า พวกเขา....ไม่อยากได้เขื่อน...ที่กำลังจะถูกสร้างกั้นแม่น้ำสาละวิน....
พบกับรายการวิทยุ ต่างสมัย รอยไทย โดย นพวรรณ สิริเวชกุล
ได้ทุกวัน เสาร์ - อาทิตย์ เวลา 20.00 - 21.00 น. ทางคลื่นสามัญประจำบ้าน FM 97.75 MHz