ตู้ฉีฟงน่าจะเดินทางมาเกือบๆ ถึงจุดที่ประสบความสำเร็จสูงสุดในชีวิตการทำงานของเขาแล้ว ทันทีที่เทศกาลหนังเมืองคานส์ประกาศรายชื่อภาพยนตร์ที่เข้าชิงรางวัลปาล์มทองประจำปีนี้ และมี Election หนังเรื่องใหม่ของเขา รวมอยู่ในนั้นด้วย
ผลงานของตู้ฉีฟงไม่เคยถูกมองในฐานะงานศิลปะอย่างจริงจัง ดูเหมือนตัวเขาเองก็ไม่เคยอยากให้มันเป็นอย่างนั้น ตลอด 20 กว่าปีที่อยู่ในวงการ เขาทำแต่หนังที่เรียกได้ว่า “เงินหนาดาราแยะ” - เป็นฟันเฟืองตัวสำคัญในการก่อร่างให้กับวงการหนังฮ่องกงในยุค 80 – 90 มาจนถึงยุคที่ตกต่ำย่ำแย่ ในช่วงปี 1997
การเข้าไปถึงคานส์ จึงถือเป็นการลบคำปรามาสอยู่เล็กๆ ว่า เขาไม่ได้ทำแต่หนังดูดเงินคนดูได้อย่างเดียวเท่านั้น แต่กับงานในลักษณะอื่นที่คำนึงถึงเนื้อหาสาระและคุณค่าทางศิลปะ มันก็ไม่ได้เหลือบ่ากว่าแรงผู้กำกับฮ่องกงวัย 50 ปีคนนี้
นักดูหนังบ้านเราน่าจะได้ดูงานของตู้ฉีฟงกันเกือบทุกเรื่อง (ที่ดังมากก็เช่น The Heroic Trio – สวยประหาร, Running Out of Time – แหกกฎโหดมหาประลัย ฯลฯ) บางเรื่องถ้าไม่เข้าฉายบ้านเราแบบเอิกเกริกก็ออกมาเป็นแผ่นให้ซื้อหากันอย่างสะดวก ด้วยความที่เขาทำหนังออกมาเยอะมาก (เฉลี่ยปีละ 2-3 เรื่อง) จึงอาจมีบ้างที่หลงหูหลงตาพลาดชมกันไป
ผมเคยแบ่งหมวดหนังที่ตู้ฉีฟงทำไว้เล่นๆ (ทั้งที่ทำคนเดียวและกับเหว่ยกาเฟย) ออกเป็น 3 หมวดด้วยกัน หนึ่งคือหนังแอ็กชั่นฟอร์มยักษ์ ขนดารามาประชันกันจนหนวกหู (Running Out of Time), สองเป็นหนังในตอนที่เข้าใจว่าคงผีเข้าหรือองค์ลง มันคืองานที่แปลกออกจากสิ่งที่คนดูเคยรับรู้ และยังคาดไม่ถึง โดยมากแล้วหนังหมวดนี้จะเป็นหนังที่มีคุณภาพในระดับยอดเยี่ยมน่าสนใจ (PTU, Throwdown)
หมวดสุดท้ายที่ตู้ฉีฟงทำมาเป็นระยะและไม่มีทีท่าว่าจะเลิกทำเสียด้วย คือหนังเบาๆ ตลกเฮฮา (Wu Yen, Fat Choi Spirit) หลายครั้งเข้าขั้นบ้าบอปัญญาอ่อน ความหนักแน่นจริงจังถ้าเทียบกับ 2 หมวดข้างต้นแล้ว แทบไม่มีให้เห็น เช่นเดียวกับคุณภาพที่เอาแน่เอานอนอะไรไม่ได้ ใครบังเอิญได้ดูหนังประเภทหลังนี้ก่อนเพื่อน คงสงสัยว่า หลายคนมาชื่นชมยกย่องเขาได้อย่างไร
My Left Eye Sees Ghosts หรือในชื่อไทย ตาซ้ายเห็นผี คงจะถูกรวมอยู่ในกลุ่มหลังนี้ ผมเก้ๆ กังๆ ชั่งใจอยู่นานว่า เอามาดูแล้วจะเสียอารมณ์ไหม ปีที่แล้วผมชอบ Throwdown ของเขามาก เลยไม่อยากทำลายความชื่นชมนี้ไปด้วยหนังวีซีดีจากร้านเช่าราคา 20 บาทเพียงเรื่องเดียว
แล้วพอได้ดูจริงๆ กลับผิดคาด คือความบ้าบอเพ้อเจ้อนั้นมีในหนังเรื่องนี้อยู่แล้วแน่นอน แต่มันก็ไม่ใช่งานที่ทำออกมาอย่างไร้ความรับผิดชอบ หนังมีสาระที่จับต้องได้ ในขณะเดียวกันช่วงเวลาเฮฮาขบขันก็ทำออกมาไม่เสียราคา ตัวนางเอก เจิ้งซิ่วเหวิน ก็เล่นออกมาแบบไม่ห่วงสวย ให้สมกับที่หนังเรื่องนี้ชูเธอขึ้นมาเป็นจุดขายอย่างเต็มที่
หนังเริ่มต้นด้วยฉากงานศพของแดเนียล ดีไซเนอร์หนุ่มคนหนึ่ง บรรยากาศเป็นไปอย่างเศร้าโศก แม่ น้องสาว และแฟนเก่าของเขาร้องไห้คร่ำครวญอย่างเอาเป็นเอาตาย มีแค่คนเดียวเท่านั้นที่ยืนเฉยทำทองไม่รู้ร้อน และไม่แสดงอาการตีอกชกลมใดๆ เลย เธอคือ อาจู (เจิ้งซิ่วเหวิน) - ภรรยาม่ายของผู้ตาย
ข้อมูลที่คนดูได้รับเป็นประการต่อมาคือ เธอกับแดเนียลเพิ่งแต่งงานกันได้ไม่นาน หลังจากพบกันตอนไปพักผ่อนที่ทะเลคาริบเบียนชั่วระยะเวลาแค่ 7 วัน แล้วหลงรักกันโดยทันทีทันใด ถึงขั้นตัดสินใจใช้ชีวิตอยู่ร่วมกัน แต่ปัญหาที่ตามมาเมื่อแดเนียลเสียชีวิตลง คงจะเป็นเรื่องที่ตัวเธอและแฟนหนุ่ม - ฐานะทางสังคมห่างชั้นกันเหลือเกิน เขาเป็นลูกมหาเศรษฐีรวยล้นฟ้า แต่พ่อของเธอเหมือนจะเพิ่งโดนจับเข้าคุกข้อหาหลอกลวงต้มตุ๋น
แม่สามีไม่มีทางออกใดนอกจากจะปล่อยเลยตามเลย อาจูจึงกลายเป็นเศรษฐีใหม่เจ้าของคฤหาสน์ใหญ่โต นอนเล่นอยู่บนกองเงินกองทอง แต่ก็ไร้ความสุข เธอหาเรื่องใส่ตัวด้วยการทำตัวเลวทุกรูปแบบ ทั้งกินเหล้า สูบบุหรี่ แสดงกิริยาหยาบคายเพื่อกลบเกลื่อนความรู้สึกที่แท้จริงต่อคนรอบข้าง หนักข้อถึงขึ้นเข้าไปขโมยของในห้างสรรพสินค้าของตนเอง และซื้อกระเป๋าจากแบรนด์คู่แข่งมาเย้ยแม่ผัวที่บริษัท
ความพยายามครั้งหลังสุดคือการฆ่าตัวตาย เธอซดเหล้าเข้าไปเกือบหมดขวด และเหยียบคันเร่งจนมิด เป็นเหตุให้รถเสียหลัก ประสบอุบัติเหตุร้ายแรง จนเธอน่าจะตายไปแล้วด้วยซ้ำ ถ้าไม่มีผีแปลกหน้าตนหนึ่ง (หลิวชิงหวิน) มาช่วยไว้
ผลจากเหตุการณ์ในหนนั้น ทำให้มีเรื่องบ้าบอตามมาเกิดขึ้นกับอาจูอีก ตาซ้ายของเธอสามารถมองเห็นวิญญาณคนตายได้ แรกๆ เธอก็รำคาญ แต่หลังๆ ก็ทำใจให้ชิน ผีแปลกหน้าตนนั้นยังคงวนเวียนรอบๆ ตัวเธอไม่ไปไหน มันแนะนำตัวว่าชื่อ เคน และเป็นเพื่อนเก่าสมัยเรียนประถมของอาจู แถมยังแอบหลงรักเธอมาเนิ่นนานด้วย
ทีละน้อยที่หนังเผยให้คนดูเห็นว่า ความสัมพันธ์ของเคนและอาจู พัฒนาไปในทางที่ดีขึ้น ไม่ใช่เฉพาะเรื่องที่ทั้งคู่เลิกกัดกันแล้วหันหน้าเข้าหากันด้วยดีเท่านั้น แต่ยังหมายรวมไปถึง การยอมสารภาพความรู้สึกลึกๆ ของอาจู ว่าเธอไม่ใช่คนที่ร้ายกาจอะไรนักหนา แต่พฤติกรรมอันน่าเอือมระอา มันออกมาอย่างอัตโนมัติ เพื่อปกปิดจิตใจที่ร้าวรานจากการเสียคนรัก
อาจูเคยคิดว่า เธอคงอยู่ต่อไปไม่ได้อีกแล้ว ถ้าไม่มีแดเนียล แต่เคนก็มาเพื่อบอกกับเธอว่า นั่นไม่ใช่สิ่งที่คนตายหวังจะให้คนข้างหลังเป็น ตรงข้าม คนตายส่วนใหญ่ต้องการให้คนรักหรือญาติสนิทของตน ก้าวต่อไปข้างหน้า โดยเก็บอดีตให้เป็นแค่ความทรงจำอันงดงามเรื่องหนึ่ง
ตู้ฉีฟงและเหว่ยกาเฟย ยำองค์ประกอบที่ไม่น่าเข้ากันได้ ให้กลมกลืนเป็นเนื้อเดียวอย่างน่ายกย่อง กล่าวคือ หนังมีส่วนที่ไร้สาระและเบาสมองอยู่มากมาย ในขณะเดียวกับที่สาระสำคัญของตัวหนังก็ไม่ได้ถูกกลืนหายไป อย่างที่หนังหลายๆ เรื่องในแนวนี้มักจะเป็นกัน การดำเนินเรื่องกระชับตามสไตล์หนังฮ่องกง หนังเลยดูได้สนุกสนานจนจบ โดยไม่ได้มีตอนน่าเบื่อชวนหลับ
นางเอกเจิ้งซิ่วเหวิน คือสิ่งที่ดีที่สุดในหนังเรื่องนี้ หน้าตาเธอไม่ใช่คนสวยเนี้ยบ แต่ดูเท่และมีเสน่ห์ ยิ่งชวนมองไปกันใหญ่เมื่อเห็นเธอเล่นเป็น อาจู ออกมาได้ดี ทั้งในยามเพ้อเจ้อและจริงจัง ข้อครหาที่คนมองว่านี่เป็นหนังที่จงใจขายเธออย่างออกนอกหน้านั้น เป็นอันตกไปเพราะเธอพิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า แน่จริง
นอกจากนั้นเธอยังร้องเพลงในหนังอีก 3 เพลง ผมไม่แน่ใจว่าเป็นเพลงที่อยู่ในอัลบั้มของเธอเองหรือเป็นงานที่เธอร้องเพื่อหนังโดยเฉพาะ แต่ทำนองและการเรียบเรียงก็เข้ากับหนังได้อย่างวิเศษ
แน่นอนตัวหนังมันก็ไม่มีวิเศษวิโสอะไร (อย่างที่บอกในตอนต้นว่า ผมจัดให้มันอยู่ในหนังหมวด 3 ของตู้ฉีฟง) แต่ดูแล้วก็อดขำไม่ได้ ที่ตู้ฉีฟงทำหนังได้ทุกแนวจริงๆ เผลอๆ นี่อาจเป็นสิ่งที่ตัวเขาภาคภูมิใจมากกว่าการได้ไปคานส์หลายเท่าตัวนัก
**********
teepanun@hotmail.com