เงียบไปนานจนหลายคนเข้าใจว่าเคลียร์กันเรียบร้อย แต่จู่ๆ กรณีอุบัติเหตุที่นักร้องสาวชื่อดังจากค่ายแกรมมี่ “แอนนิต้า” (นิษิตา พงศ์ทรง) ขับรถพุ่งเข้าชนนางประทานพร บุญปิตานนท์ อายุ 27 ปี จนถึงแก่ความตายในขณะที่ลูกสาว ด.ญ.โรส วัยขวบเศษ และ น.ส.หทัยรัตน์ จันทร์ศิริ อายุ 27 ผู้เป็นเพื่อนได้รับบาดเจ็บสาหัสเหตุเกิดขึ้นเมื่อประมาต้นเดือนเมษาฯ ปี 47 ก็ทำท่าว่าจะยืดเยื้อเสียแล้ว
โดยผู้สื่อข่าวบันเทิงออนไลน์ได้รับการบอกเล่าจาก “ดนัย บุญปิตานนท์” ผู้เป็นสามีของนางประทานพรว่า ในตอนนี้ตนได้ทำเรื่องยื่นฟ้องต่อศาลแพ่งเรียกค่าเสียหายจาก “แอนนิต้า” เรียบร้อยแล้วเป็นจำนวนเงิน 7.45 ล้านบาท ก่อนจะเอ่ยปากตำหนิไปยังนักร้องสาวด้วยว่า...น่าจะทำอะไรได้มากกว่านี้ ไม่ใช่เป็นข่าวที ก็ร้องไห้ทีแต่ไม่เคยทำอะไรเลย...
เรื่องนี้ทำเอาหลายคนเกิดอาการสับสน เพราะถึงแม้ว่าเบื้องต้นฝ่ายนักร้องสาวจะเก็บตัวเงียบไม่ยอมแสดงความรับผิดชอบกระทั่งกลายเป็นที่ติฉินนินทาแต่ในภายหลังเจ้าตัวก็ได้ออกมาแสดงความเสียใจในสิ่งที่กระทำและพร้อมที่จะรับผิดชอบอย่างเต็มที่มีการมอบกระเช้าเป็นกำลังใจแถมเจ้าตัวยังเข้าพิธีบวชชีพราหมณ์เพื่ออุทิศส่วนกุศลให้กับผู้เสียชีวิตอีกต่างหาก
อย่างไรก็ตาม เมื่อสอบถามไปยังฝ่ายสามีของผู้เสียหายทั้งหมดกลับสวนทางกันอย่างสิ้นเชิง เมื่อนายดนัยยืนยันว่าที่ผ่านมานักร้องสาวไม่ได้กระทำในสิ่งที่บอกไว้เลย ไม่เคยมาเยี่ยม ไม่เคยพูดคุยแสดงน้ำใจกับตนเองแต่ไปให้ข่าวกับสื่อแทน ส่วนเรื่องเงินที่มีข่าวว่าทางแกรมมี่ช่วยเหลือไปกว่า 5 แสนบาทก็ไม่จริงเพราะได้รับเพียง 1 แสนบาทเท่านั้น ในขณะที่ความคืบหน้าทางด้านคดีเองก็ไม่มีเช่นกัน
เหตุผลที่เพิ่งออกมาฟ้องร้อง ทั้งที่ผ่านมาเนิ่นนาน?
“จริงๆ มีการตกลงกันที่โรงพัก แต่ตกลงกันไม่ได้ เขาบอกเดี๋ยวตำรวจเขาจะรวบรวมหลักฐานส่งห้อง แล้วจะแจ้งให้ผมทราบ ผมก็รออยู่จนกระทั่งเกือบจะครบปีก็ไม่คืบหน้า และจะหมดอายุความ กฎหมายกำหนดไว้ว่าคดีแพ่งอายุความแค่1 ปี แต่อาญามันยังไม่หมด แต่มันมีปัญหาในการไล่เบี้ยประกันภัย ซึ่งมันเสี่ยงที่อายุความจะขาด เราก็ต้องตัดปัญหาในการต่อสู้คดี”
แต่จะมีบางกระแสบอกว่าออกมาฟ้องเพราะต้องการเงิน?
“เรื่องอย่างนี้ไม่เกิดกับใครไม่รู้หรอกครับ …เอาเงินมากอง แล้วผมเห็นสภาพลูกผมเป็นยังนั้น มันไม่คุ้มหรอกครับ เงินเท่าไหร่มันก็ไม่คุ้ม ใจผม…ผมไม่อยากให้ภรรยาผมเสียชีวิต ผมอยากให้คนที่ถูกรถชนได้รับความถูกต้องยุติธรรม ไม่ใช่ผมมีตังค์ ไม่ใช่ผมมีเส้น”
“ความยุติธรรม ความถูกต้อง มันสมควรที่จะเกิดขึ้นได้แล้ว ไม่ใช่ว่าชน นาย ก นาย ข จ่าย 2 แสนจบเรื่อง มันไม่ใช่ ชีวิตทุกคนมีค่า ไม่มีใครอยากจะตาย คนที่ทุกข์ทรมานคือผมไม่มีใครมาเห็น แต่พอผมฟ้องทุกคน…(นิ่งไปครู่นึง) ผมจะได้เหรอเงินก้อนนั้น ผมยังไม่รู้ มันไม่คุ้มกับสิ่งที่ผมเรียกไป ไม่คุ้ม ไม่คุ้มเลย”
นับตั้งแต่วันเกิดเรื่องจนถึงวันนี้ คืบหน้ายังไงบ้างแล้ว?
“ยังไม่คืบหน้า ยังเงียบไม่มีใครติดต่อผม โรงพักก็ไม่เคยถามผมเป็นอะไรยังไง มีครั้งสุดท้ายหนังสือพิมพ์กระทู้ถามไปว่าคดี ไปถึงไหนแล้ว เขาบอกว่าจะแล้วเสร็จประมาณเดือนพฤศจิกายน 47 จนมาถึงวันนี้ก็ยังไม่มีอะไรคืบหน้า ผมก็ไปสอบถามดูกับพนักงานสอบสวน เขาก็บอกว่าทุกอย่างพร้อมแล้ว รอสอบปากคำพยานซึ่งเป็นเพื่อนภรรยาผม คือคนเจ็บ 1 คน”
“แต่มีอยู่วันนึง เขามารักษาตัวที่โรงบาลเพชรเวช ผมก็เรียนให้ทางพนักงานสอบสวนทราบว่า คุณช่วยมาสอบสวนเขาหน่อยได้ไหม เขาบอกเขามาไม่ได้ เขาเลยตัดโทรศัพท์มาให้คนเจ็บไปสอบปากคำที่โรงพัก ซึ่งคนเจ็บยังเดินไม่ได้ การที่คนเจ็บจะไปต้องมีรถพยาบาลไป ต้องมีหมอไป มีพยาบาลไป มีขวดน้ำเกลือไป จะไปได้ยังไง แล้วคนที่ยังไม่ได้จ่ายค่าโรงบาล หมอที่ไหนเขาจะให้ไป ไม่มีหรอกครับ คือไม่อำนวยความสะดวกพูดง่ายๆ จนครั้งสุดท้ายมาถึงวันนี้ก็ยังไม่มีอะไรเกิดขึ้น เหมือนเดิม คือถ้าทางเราไม่ฟ้องแพ่งไป วันนี้ก็คงเงียบอีกไปเรื่อยๆ”
มีการติดต่อเป็นการส่วนตัวกับแอนนิต้าบ้างหรือเปล่า?
“ไม่มีครับ คือทางเขาก็ไม่เคยโทรมา ไม่เคยเลย เราก็ไม่เคยโทรไป เพราะเขาก็บอกว่าไปสู้กันที่ศาล ผมก็รอทางตำรวจเขาสรุปสำนวนส่งศาล ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น อย่างนึงผมมองว่า ทางคุณแอนนิต้าน่าจะทำให้ได้ดีกว่านี้ คือกฎหมายนั่นอีกเรื่องนึง ด้านมนุษยธรรม น้ำใจ นั่นอีกเรื่องนึง แค่ยกหูโทรศัพท์ คุณดนัยคุณเดือนร้อนอะไรไหม”
“ที่ผ่านมาเขาให้ข่าวว่า เขาดูแลคนเจ็บอย่างดี แต่ทางคุณแอนนิต้าไม่ได้ชนคนเดียว ชน 3 คนนะ ลูกผม ภรรยาผมเสียชีวิต แล้วอีกคนก็เจ็บหนัก เขากล่าวว่าเขาไปดูแลอย่างดี ผมไม่เคยเห็นเลย ไม่เคยได้ยินเสียง ไม่เคยได้รับการดูแล อย่างนึงถ้าไม่มีสื่ออย่างพวกคุณ เสียงเล็กๆ ของผมก็คงไม่ออกไป ผมไม่สามารถสร้างสถานการณ์ได้ ไม่สร้างภาพได้ แต่เขาโอกาสดีกว่าผมเยอะ เขาสามารถทำได้”
“ตอนนั้นเขาบอกต่อหน้านักข่าวเป็นร้อยๆ ว่าเขาจะรับผิดชอบ วันที่มาเอากระเช้าให้ผม เขาพูดว่าไม่ต้องกังวล ไม่ต้องห่วง เขาสำนึกผิดแล้ว เขาจะรับผิดชอบทุกสิ่งทุกอย่างอย่างเต็มที่ ต่อหน้านักข่าวเป็นร้อยๆ มาถึงวันนี้ก็ยังไม่มีอะไรคืบหน้า คือเวลาผมมีข่าวทีนึง เขาก็มาร้องโอดครวญ แล้วมันเป็นอย่างนี้ตลอด”
“ตอนมีข่าวว่าให้มาแล้วห้าแสน ผมยังโทรไปต่อว่าแกรมมี่เลย ว่าคุณให้ข่าวอย่างนี้ได้ไง เขาบอก เขาไม่ได้ให้ข่าวไม่รู้ใครเขียน ผมบอกถ้าไม่มีใครให้ข่าวเขาจะเขียนได้ไง มันต้องมีมูล เขาก็บอกกับผมว่า ถ้าคุณไม่ได้รับคุณก็สบายใจได้ ถ้าใครมาถาม ก็บอกว่าเราไม่ได้ให้ก็แล้วกัน”
“แล้วจริงๆ ค่ารักษาพยาบาล ทางประกันภัยได้เป็นผู้ชำระให้ผม ทางแกรมมี่ร่วมทำบุญอีก1 แสนบาท แต่ผมไม่เคยได้จากคุณแอนนิต้าเลยสักบาท พอมีข่าวทีนึงเขาร้องไห้แค่ทีสองที แต่ 365 วัน ผมร้องตลอดเวลา มีใครมาเห็นผม ผมสร้างภาพไม่ได้เพราะผมเป็นคนธรรมดา”
ได้ไปขอความช่วยเหลือจากองค์กรไหนบ้างไหม?
“ไม่มี อย่างที่ผมบอก ผมเชื่อมั่นในกฎหมายมาตลอดเวลา แต่พอมันเริ่มนาน ผมก็เริ่มเสื่อมศรัทธาบ้าง คือมันสมควรที่จะส่งฟ้องไปนานแล้ว จบไม่จบอีกเรื่องนึง คือมันน่าจะฟ้องไปนานแล้ว ไม่ใช่อยู่ตรงนั้น พอมีเรื่องขึ้นมาที ทางนู้นก็ร้องไห้ที พอไม่มีเรื่องทำไมไม่ดำเนินการ ผมเป็นผู้เสียหาย ผมจะไปร้องกับใครได้ ผมเป็นประชาชนตัวเล็กๆ คนนึง จะให้ผมเสแสร้งร้องไห้แบบนั้น ผมทำไม่ได้หรอก ก็อาศัยกระบวนการยุติธรรมเป็นที่พึ่งครับ”
มีความหวังบางไหม?
“ผมก็ไม่ได้หวังอะไร เลย จริงๆ แล้ว อย่างที่ผมบอกคือ ผมไม่อยากให้ภรรยาผมเสียชีวิตโดยไร้ประโยชน์”
กับการที่แอนนิต้าบวชอุทิศส่วนกุศลให้ล่ะ รู้สึกยังไง?
“ผมเฉยๆ บวชเพื่ออะไร เพื่อล้างซวยตัวเองหรือเปล่า ในเน็ตก็คนเข้าไปถามเยอะแยะว่า บวชเพื่อล้างซวยตัวเองหรือเปล่า”
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น มีผลกระทบต่อครอบครัวอย่างไรบ้าง?
“ผมทำงานได้น้อยลง สภาพจิตใจผมแย่ลง ไหนสภาพลูกผม ภรรยาผมจากไป ทุกสิ่งทุกอย่างมันเปลี่ยนไปหมด มันไม่เหมือนเดิมเลย ลำบากมากขึ้นเยอะ เยอะมากๆ ลูกผมจะกลัวคน พอกลางคืนก็จะผวา แล้วตาซ้ายหลับก็จะลืมอยู่ตลอดเวลา คือหลับไม่ได้”
“แล้วถ้าเจอหมอหรือพยาบาล เหมือนกับพาไปเชือดเลย พาไปหาหมอยังไงก็ไม่ยอมผวาตลอด หมอบอกว่าอาการทางสมองจะช้ากว่าเด็กธรรมดา เสียงเขาจะเบามากๆ ผมก็ไม่เข้าใจว่าเกิดจากอะไร แล้วก็ไม่ค่อยพูด ซึม ไม่ยอมพูด บางทีก็นั่งเหม่อ ไม่ร่าเริง ตอนนี้อยู่กับคุณป้าเพราะผมต้องทำงาน บางทีผมก็เอามาเลี้ยงเอง บางทีก็เอาไปฝากญาติ ตอนนี้น้องโรสอายุ 2 ขวบกับ 2 เดือนพอดี”
สภาพจิตใจของคนในครอบครัว ณ วันนี้ดีขึ้นหรือยัง?
“ทางคุณแม่ภรรยาเขาก็ยังเหมือนเดิม ยังซึมเศร้าคือมันทำใจลำบาก ภรรยาผมอ่อนกว่าผมร่วม 20 ปี จริงๆ ตามหลักธรรมชาติ ผมต้องจากโลกนี้ไปก่อนใช่มั้ย แต่มันกลับกัน ทีนี้มันจะทำใจยังไง ใบหน้าผมอาจจะไม่มีน้ำตา แต่ใจผมร้องไห้ทุกวัน”
เพื่อนคุณประทานพร อาการเป็นอย่างไรบ้าง?
“ครั้งหลังสุดเท่าที่ผมทราบ ก็ยังเดินไม่ได้ แล้วอาการทางสมองก็ยังไม่ปกติ บางขณะก็รู้เรื่องจำได้ บางขณะก็หลุดไปเลย ถึงตอนนี้เขายังไม่ทราบว่าภรรยาผมเสียชีวิตเลย เพราะเกิดจากอาการทางสมอง อยู่ระหว่างรักษาตัว ทางประกันเป็นคนจ่ายค่ารักษาพยาบาลให้ แต่เท่าที่ผมคุยกับครอบครัวเขา ตั้งแต่รักษาตัว แอนนิต้ามาเยี่ยมแค่ครั้งเดียวเหมือนกัน”
ส่วนในแง่กฎหมาย เมื่อสอบถามความคืบหน้าไปยัง ทนายธีรพล กาญจนากาศ ก็ได้กล่าวว่า…
“ค่าเสียหายที่เรียกไป คือค่ารักษาพยาบาล ค่าอุปการะ ค่าสินไหมทดแทน การขาดอุปการะ กรณีนี้คุณดนัยแกไม่ติดใจเอาเรื่องเอาความ เนื่องจากเห็นทางฝ่ายแกรมมี่ช่วยทำบุญมา1 แสนบาท ทั้งที่ค่าใช้จ่ายมากกว่านั้น เอกสารที่ผมดูก็ฟ้องเพิ่มได้ แต่เขาไม่ติดใจเอาความ เพราะเห็นว่าแกรมมี่มีเจตนาดีกับ 1 แสนบาท ก็เป็นเงินทำบุญ ไม่ใช่ช่วยงานศพ ตัวนี้แก่ไม่ติดใจ”
“ส่วนที่ 2 คือค่ารักษาพยาบาลนั้น เท่าที่ตรวจสอบดูทางประกันภัยรถคันที่เกิดเหตุได้ชำระค่ารักษาพยาบาลให้แก่น้องโรสและทางภรรยาคือผู้เสียชีวิตไปแล้ว ทางคุณดนัยก็ไม่ติดใจแต่ติดใจที่ค่าอุปการะ เดิมที่ 2 แรง หาเลี้ยงชีวิตครอบครัว เรียกว่าคนที่มีครอบครัวถือว่าเพิ่งเริ่มมีบุตรคนแรก อายุน้อยๆ ขาดไปคนนึงก็คือขาดอุปการะ ตามกฎหมายบิดามารดามีหน้าที่อุปการะบุตร น้องโรสจึงสามารถฟ้องเรียกค่าเสียหายได้”
“สามี-ภรรยามีหน้าที่อุปการะซึ่งกันและกัน แล้วบุตรมีหน้าที่อุปการะเลี้ยงดูบิดามารดา คุณแม่ของคุณประทานพรผู้เสียชีวิต ก็สามารถเรียกร้องค่าอุปการะ ดังนั้นคดีนี้จึงมีการเรียกค่าอุปการะ รวมเป็นเงินประมาณ 7 ล้านกว่าดังที่เคยกล่าวไว้ ซึ่งศาลได้รับคำฟ้องและนัดไต่สวนคำร้องอีกครั้ง วันที่ 27 มิถุนายน 48 นี้”
คดีนี้มีโทษหนักแค่ไหน?
“ประมาททำให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย โทษจำคุกสูงสุดไม่เกืน 10 ปี ปรับไม่เกิน 2 หมื่นบาท”
กรณีที่ชนแล้วไม่ลงมาช่วย สามารถดึงมาช่วยในการสู้คดีได้หรือเปล่า?
“กรณีที่ไม่ลงมาช่วย มันมี พ.ร.บ จราจร ไม่ลงมาช่วยเหลือ ผู้บาดเจ็บ มีความผิดเพิ่มเติม นอกจากผู้บาดเจ็บตาย คือพนักงานสอบสวนมีหน้าที่แจ้งเรื่อง ในหลักกฎหมายแล้วไม่ว่าจะผิด หรือถูกห้ามหลบหนีต้องแสดงตัว เพราะฉะนั้นเมื่อไม่ลงมา ผมคิดว่าพนักงานสอบสวนน่าจะพิจารณาประเด็นนี้”
มีกังวลไหมที่ต้องสู้กับค่ายใหญ่?
“ผมมั่นใจในระบบยุติธรรมของประเทศไทย ว่าไม่มีอะไรที่จะมาสั่นคลอนศาลได้ ค่ายใหญ่อีกอย่างผมก็ไม่ได้ฟ้องแกรมมี่ ผมได้พิจารณาดูแล้ว ทางคุณแอนนิต้ากับทางแกรมมี่นี่ มีสัญญากันในลักษณะคู่สัญญา ไม่ใช่นายจ้าง-ลูกจ้าง เราจึงไม่ได้ฟ้องคดีลูกจ้าง ว่าเขาเป็นลูกจ้างแล้วนายจ้างต้องมารับผิดชอบด้วย เราไม่พาลขนาดนั้น”
“ปกติบางคนก็ดีจะฟ้องไปก่อน ฟ้องนายจ้างแล้วก็ฟ้องเจ้าของรถด้วย อันนี้ผมก็ไม่ดำเนินคดีเจ้าของรถ ซึ่งเจ้าของรถเป็นชื่ออีกคนนึง และคุณดนัยเองก็เห็นด้วยว่าไม่ควรไปฟ้อง ถ้าหากว่าเขาไม่เกี่ยวข้องกับตรงนั้นก็ไม่ควรไปฟ้องร้อง เอาที่ผิดจริงๆ แล้วก็ต้องรับผิดกับตรงนั้น คือประกันภัยกับตัวผู้ขับ”
“ผมขออนุญาตเพิ่มเติมอีกนิดนึง ขณะนี้ผมมีประจักพยานที่เห็นเหตุการณ์อยู่ จำนวนนึง ถ้าใครที่เห็นเหตุการณ์ ในวันเกิดเหตุ อยากจะให้ความเป็นธรรมเกิดขึ้นในสังคม ช่วยติดต่อมาทางผม คุณดนัย หรือทางสื่อก็ได้ ฝากด้วย สังคมทุกสังคมหากไม่ช่วยกันคนละไม้คนละมือ ความเป็นจริงความเป็นธรรมจะไม่เกิด หรือถ้าฝ่ายผู้ข้ามประมาทก็ปรากฏขึ้นมาเลย ว่าฝ่ายผู้ข้ามประมาทหรือฝ่ายผู้ขับขี่ถูก ให้ความจริงมันปรากฏชัดขึ้นมาเลย”
“ท้ายสุดแล้วผมเชื่อในแง่ความหวัง คนไทยทุกคนควรมีความหวังอยู่ 2 อย่าง หนึ่ง…หวังในแง่กฎหมายคุ้มครองสิทธิ์ ของตัวเอง สอง…หากว่าตัวองค์กร รัฐธรรมนูญ ไม่ได้คุ้มครองชีวิต ต้องยอมรับว่าหลายกรณีที่สื่อสามารถคุ้มครองประชาชนได้”