หนังประเภทหนึ่งที่ผมมักหลีกเลี่ยงและเบือนหน้าหนีอยู่เสมอๆ คือหนังจำพวกบีบเค้นน้ำตา (Tear jerker) ซึ่งตั้งหน้าตั้งตาประเคนความเศร้าและความซาบซึ้งแก่คนดู แบบไม่เปิดโอกาสให้หยุดพักหายใจ
ความจริงที่ตั้งแง่นั้นไม่ได้เกี่ยวกับคุณภาพของหนังเลย แต่มันเป็นรสนิยมส่วนตัวล้วนๆ ซึ่งพูดอย่างนี้ก็ไม่ได้หมายความว่ารังเกียจนะครับ แต่ผมส่ายหน้าให้กับหนังแบบนี้เพราะดูแล้วเหนื่อยมากกว่า เหนื่อยที่จะต้องน้ำตารื้นและทำหน้าเคร่งเครียด เบื่อที่จะต้องถูกหนังโบยตีจนเดินสะบักสะบอมออกมาจากโรง
หนสุดท้ายที่เป็นนั้นคือตอนที่ผมเดินเข้าไปดู Taegukgi เพราะคาดไม่ถึงว่าจะเจอกับของแสลง มองผ่านๆ ตัวงานเป็นหนังสงคราม แต่สัดส่วนที่มีบทบาทมากกว่า (และโดดเด่นกว่า) ในหนัง คือการต้อนคนดูเข้าสู้มุมอับทางอารมณ์ ผมมีทางเลือกไม่มากนักในช่วง 30 นาทีสุดท้ายของหนัง นอกจากการนั่งร้องไห้โฮให้กับชะตากรรมของสองพี่น้องที่พลัดพรากจากกันในช่วงสงครามเกาหลี
นักวิจารณ์ส่วนใหญ่คงไม่ชอบหนังบีบน้ำตากันเท่าไหร่นัก เพราะว่ากันตามตรง มันเป็นงานที่ใช้เทคนิคอย่างฟุ่มเฟือยเพื่อผลทางอารมณ์มากกว่าผลทางความคิด อีกทั้งโดยมากแล้ว หนังประเภทนี้ไม่ได้หาวิธีการใหม่ๆ (หรือสร้างสรรค์) มากไปกว่าเดินตามเส้นทางเดิมๆ ที่หลายคนเคยย่ำผ่านมาแล้ว
กล่าวอย่างสรุปคือหนังเรียกน้ำตานั้น มันเชย ซ้ำซาก และไม่สร้างสรรค์
Be with You ที่จะเขียนแนะนำกันในสัปดาห์นี้ก็เป็นแบบที่ว่านั้นทุกประการ แต่ความน่าสนใจของหนังอยู่ตรง มันก็ยังคงมีความงดงามในความเชยที่ว่า มีความแปลกใหม่ในความซ้ำซาก และในความไม่สร้างสรรค์นั้น - คนทำก็ดูเหมือนจะพยายามละเอียดอ่อนกับรายละเอียดเพื่อชดเชยข้อด้อยในส่วนที่ตนเองบกพร่องไป สรุปแล้วมันก็เลยเป็นงานแบบเดิมๆ ที่ดูสนุกมาก เหมาะกับคนที่ชอบถูกหนังทำร้าย และทั้งคนที่คอยเลี่ยง (เช่นผมเป็นต้น) ในระดับเท่าๆ กัน
ตัวละครหลักในหนังเรื่องนี้ คือ ทาคึมิ พ่อม่ายลูกติดที่เสีย มิโอะ ภรรยาอันเป็นที่รักไปเพราะโรคร้ายคุกคามจนเธอไม่สามารถรั้งชีวิตตนเองไว้ได้อีก ชายหนุ่มจึงต้องดูแล ยูจิ ลูกชายวัย 6 ขวบเพียงลำพังด้วยความทุลักทุเล หนังบอกให้คนดูทราบพอทำเนาว่า ทาคึมิ เองก็ไม่ใช่คนสุขภาพดีนัก เขามีโรคประจำตัวที่เป็นเหตุให้ออกแรงหนักๆ มากไม่ได้ เพราะร่างกายจะวูบไปราวกับปิดสวิตช์เครื่องยนต์ในทันที
ทั้งนี้ทั้งนั้น ปัญหาหลักของทาคึมิ ไม่ได้อยู่ที่สุขภาพของเขาเองเพียงประการเดียว จิตใจที่ยังคงคิดถึงแต่คนรักที่ได้จากไปแล้ว เป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้เขาไม่สามารถดูแลยูจิอย่างพ่อที่ดีสักคนจะดูแลได้
พ่อลูกทั้งสองคนจึงดูแลกันและกันไปตามอัตภาพ หวังว่าสักวันหนึ่งอะไรๆ น่าจะดีขึ้น เด็กน้อยอย่างยูจิเองก็เฝ้ารอว่าเมื่อไหร่จะถึงฤดูฝน เพราะก่อนจะตาย แม่เคยให้สัญญากับเขาว่าจะกลับมาในวันที่เมฆครึ้มและฝนเริ่มลงเม็ด เด็กน้อยเปิดอ่านหนังสือนิทานที่แม่วาดไว้ให้ต่างหน้าแทบทุกวัน ปักใจเชื่ออย่างจริงจังว่า แม่เดินทางไปดาวอาร์ไคฟ์กันไกลโพ้นเพื่อภารกิจบางอย่าง และจะมาอยู่พร้อมหน้ากับครอบครัวอีกครั้งเมื่อเวลาอันเหมาะสมมาถึง
จนกระทั่งวันหนึ่งที่ว่านั้นได้มาถึงจริงๆ วันนั้นฝนตกพรำๆ ทาคึมิพายูจิไปเดินเล่นในป่า และได้พบกับหญิงสาวคนหนึ่งนั่งอยู่ เธอหน้าตาละม้ายคล้ายคลึงกับมิโอะผู้จากไปแทบทุกประการ เว้นเสียแต่ว่า เธอจำอะไรไม่ได้เลย แต่นั่นไม่ใช่เรื่องที่สองพ่อลูกหนักใจ พวกเขาทึกทักไปเสียแล้วว่า คนรักและแม่ของตนได้กลับมาแล้ว
หนังไม่ทำให้คนดูเกิดความสงสัยเช่นกันว่า หญิงสาวนิรนามคนที่ว่าเป็น มิโอะจริงๆ หรือไม่ เพราะเรื่องราวอันมีค่ามากกว่าต่อจากนี้ คือการรื้อฟื้นอดีตอันงดงามระหว่างตัวทาคึมิและมิโอะ และการวางแผนอนาคตให้กับตัวยูจิ
ผู้กำกับ โนบุฮิโระ โดอิ เคยทำละครโทรทัศน์มาแล้วหลายเรื่องก่อนจะมาทำ Be with You ผลงานที่น่าจะได้ผ่านสายตากันไปบ้างคือ Strawberry on the Shortcake และ Good Luck!! ข้อได้เปรียบของคนที่ทำโทรทัศน์มาก่อน อยู่ตรงการมีเวลาเหลือเฟือ (มากกว่าหนัง) ในการหล่อเลี้ยงอารมณ์คนดู คนทำหนังสายนี้จึงละเอียดอ่อน และเก่งกาจเรื่องการปูพื้นอารมณ์มาก; โดอิกับ Be with You เป็นตัวอย่างที่ดี
ข้อเสียนิดๆ หน่อยๆ ที่พอจะมองเห็นบ้าง คงจะเป็นการที่หนังออกมาแข็งทื่อในบางส่วน ชั้นเชิงการบีบน้ำตายังอยู่ในจังหวะที่จำเจ รวมทั้งการพลิกความคาดหมายบางอย่างก็ยังเห็นร่องรอยตะเข็บแห่งความพยายามอยู่บ้าง อันมาจากการยังไม่ชินไม้ชินมือเท่าไหร่ของผู้กำกับ ซึ่งงานต่อๆ ไปก็มีแนวโน้มว่าน่าจะดีขึ้น
ด้วยพล็อตและอะไรหลายๆ อย่างในหนัง ทำให้ผมคิดไปว่า ถ้าหนังเรื่องนี้กำกับโดย โนบุฮิโกะ โอบายาชิ (ผู้กำกับรุ่นเก๋าเจ้าของผลงาน Exchange Students, Miss Lonely และ Good Bye for Tomorrow) มันคงจะเป็นงานที่ดีกว่านี้มาก กลิ่นของหนังเรื่องนี้เข้าทางโอบายาชิเหลือเกิน มันมีทั้งเรื่องความรัก เรื่องของปาฏิหาริย์ และโดยเฉพาะอาการตีอกชกลมบีบน้ำตา โอบายาชิก็คงทำได้ “เนียน” กว่านี้
อย่างไรก็ดี เท่าที่เห็นอยู่นี้ก็นับว่าน่าพอใจแล้ว ผมดู Be with You แล้วก็ไม่ได้เหนื่อยมาก หลายฉากทำให้น้ำตาซึมๆ เท่านั้นเอง (แค่นี้พอแล้ว) แต่ดูจบแล้วก็ประทับใจและชอบในแบบที่ผมเองก็แปลกใจตัวเอง
ผมชอบที่หนังบอกให้คนเราหันไปมองอดีตในด้านอันงดงามของมัน และเตรียมรับมือกับอนาคตที่ยังมาไม่ถึงด้วยความหวัง ที่ว่ามา - มันเป็นความคิดในเชิงอุดมคติมาก แต่ในยามที่โลกโหดร้ายอย่างเอาแน่เอานอนอะไรไม่ได้แบบทุกวันนี้ การมองโลกในแง่ดีก็ช่วยให้อะไรง่ายขึ้นไม่น้อยเลย