ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ อีกต่อไปกับการจะทำ "หนังผี" ให้ออกมาแล้วเป็นที่นิยมสักเรื่องหนึ่งในช่วงนี้
เพราะไม่ว่าจะเป็นผีรูปแบบไหน หักมุม โหด บ้า เถื่อน น่ากลัว สยอง โรมานซ์ ตลก ฯลฯ ก็ดูเหมือนว่าจะมีออกมาให้เห็นกันแล้วทั้งนั้นจนแทบจะคิดไม่ออกอีกแล้วว่าจะมี "ผี" รูปแบบไหนที่จะออกมาสร้างความตื่นเต้นได้อีก
เฉพาะอย่างยิ่งเป็นหนัง(ผี)ภาคต่อ (ที่ภาคแรกๆ ทำไว้ประสบความสำเร็จอย่างมากๆ ด้วยแล้ว) ต้องบอกว่ายากเป็นสองเท่าทวีคูณ
เหมือนกับที่ "The Eye 10" (คนเห็นผี 10) ของแฝดตระกูล "แปง" "แดนนี่ - อ็อกไซด์" เป็นอยู่ในตอนนี้
เดือนสิงหาคมเมื่อ พ.ศ. 2545 ทั้งคู่ทำให้คนดูหนังบ้านเราต่างพากันพูดคุยถึงความน่ากลัวและความสยองมาแล้วใน "คนเห็นผี" ที่หยิบเอาเรื่องราวของ "มาน" หญิงสาวที่ตาบอดมาตั้งแต่เด็ก...18 ปีต่อมาความฝันที่อยากจะมองเห็นของเธอเป็นจริงขึ้นหลังเข้ารับการผ่าตัดเปลี่ยนดวงตาโดยไม่รู้ว่าการมองเห็นของเธอจะทำให้เธอพบกับความน่าสะพรึงกลัวจนเกือบจะเอาชีวิตไม่รอด!!
ด้วยบรรยากาศ คาแรกเตอร์และการปรากฏตัวของผี ภาพเบลอๆ ชวนคนดูขยี้ตาที่ให้ความแปลกแตกต่างไปจากหนังผีเรื่องอื่นๆ บวกกับปมปัญหาความคลุมเครือในเนื้อหาของ "คนเห็นผี" ซึ่งทำเอาหลายคนลุ้นว่าเรื่องจะคลี่คลายลงอย่างไรนั่นเองคือส่วนสำคัญที่ทำให้หนังเรื่องนี้ประสบความสำเร็จอย่างสูงทั้งในแง่ของรายได้และเสียงวิจารณ์
จากนั้นไม่นาน "คนเห็นผี 2" ของทั้งคู่ก็ออกมา คราวนี้เรื่องราวถูกถ่ายทอดความน่ากลัวผ่านตัวละครหญิงที่ชื่อ "โจอี้" ที่พยายามจะฆ่าตัวตายเพราะผิดหวังในเรื่องความรัก ทว่าเธอทำมันไม่สำเร็จ
หลังจากนั้นเป็นต้นมาไม่ว่าเธอจะอยู่ที่ไหน จะทำอะไร หญิงสาวก็พบกับเรื่องประหลาดๆ อยู่ตลอดเวลาพร้อมๆ กับที่เธอเริ่มรับรู้ว่าความประหลาดและความน่ากลัวเหล่านั้นเกี่ยวข้องกับการตั้งครรภ์ของเธอนั่นเอง
แม้จะไม่มีความเกี่ยวพันกันในด้านของเนื้อหาและตัวละครของคนเห็นผีภาคแรกเลย แต่หากมองในเรื่องของรูปแบบ การนำเสนอ "คนเห็นผี 2" เองไม่ได้ต่างไปจากภาคแรกเท่าใดนัก ทั้งในเรื่องของบรรยากาศ การโจมตีคนดูให้เกิดอาการสะดุ้ง(ที่หนักและแรงขึ้น) รวมไปถึงการร้อยเรื่องชวนให้คนดูพยายามหาคำตอบในขณะที่ "คนเห็นผี 10" ต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง
ภาคนี้สองพี่น้องหยิบเอาความเชื่อในการเห็นคนตายของคนเอเชียที่บอกเล่ากันมาแต่ละชั่วอายุคนถ่ายทอดผ่านเด็กหนุ่มสาวจากฮ่องกง "ตั๊กไจ๋" (เฉิน ป๋อหลิน) "เอพริล" (อิซาเบลล่า เหลียง) "เมย์" (เคทหยวน) และ "โกเฝ่ย" ( กู๋หยู่) ที่เดินทางมาเที่ยวเมืองไทยโดยมีเพื่อนที่อยู่ที่นี่ "ฉางกุ้ย" (เรย์ แมคโดนัล) รับหน้าที่เป็นไกด์
"ฉางกุ้ย" มีหนังสือโบราณเก่าแก่อยู่เล่มหนึ่งที่รวบรวมวิธีการเห็นผีในรูปแบบต่างๆ ไว้ ด้วยวัยที่คึกคะนองและความอยากรู้อยากเห็น พวกเขาเลยขอพิสูจน์วิธีการจากตำราเล่มนั้นซะเลย...
การเดินเรื่องแบบเนื้อหาเปิดที่ตั้งเงื่อนไขกับสถานการณ์เช่นนี้ สิ่งที่หนังจะต้องทำให้ถึงก็คือความสนุก ตื่นเต้น ซึ่งคนเห็นผี 10 เองก็ทำออกมาได้เป็นอย่างดี ทว่าในทางกลับกันเงื่อนไขเช่นนี้เองก็อาจจะไม่ถูกใจคอหนังอีกหลายคน
เฉพาะอย่างยิ่งแฟนของคนเห็นผีทั้งสองภาคที่ผ่านมาเนื่องจากหนังในลักษณะนี้จะขาดความลึกทางด้านอารมณ์ของตัวละคร หรือเหตุผลต่างๆ ในการกระทำที่ไม่ค่อยจะมีมากนัก และนั่นก็หมายความว่าบรรยากาศที่ชวนให้เกิดอาการหวิวๆ ชนิดที่ว่าเดินออกจากโรงฯ ไปแล้วยังรู้สึกได้อยู่เหมือนกับที่คนเห็นผี 1 เคยทำให้ใครหลายคนเกิดกลัวยามเมื่อต้องเข้าไปอยู่ในลิฟต์เพียงลำพังหรือทำให้ใครอีกหลายคนเกิดอาการขยาดไม่กล้าที่จะก้มลงเก็บเหรียญเพราะกลัวว่าจะมีอะไรหล่นตุ้บลงมาเหมือนคนเห็นผี 2 เหล่านี้จะไม่มีในคนเห็นผี 10 สักเท่าไหร่
เป็นการดูที่จบแล้วจบกันไม่ได้ขยายความอะไรต่อ ซึ่งถึงแม้จะยังคงความเด่นในเรื่องของมุมภาพ การออกแบบเสียงดนตรี ซาวน์เอฟเฟ็กต์ที่ยังสามารถหลอกล่อคนดูเกิดอาการตกใจได้ไม่ได้ด้อยไปกว่าคนเห็นผีทั้งสองภาคที่ผ่านมา แต่ก็เพราะความที่มันไม่ได้เด่นกว่า รวมทั้งยังเป็นสิ่งที่เห็นมาแล้วนี้เองที่ทำให้ข้อที่ยังดีอยู่เหล่านี้กลายเป็นความเฉยๆ ในความรู้สึกของใครหลายๆ คน
การพยายามโยงเอาทั้งในส่วนของตัวละครใน 2 ภาคแรก รวมไปถึงลูกเล่นของการตั้งชื่อเรื่อง "คนเห็นผี 10" โดยนำเอา 8 วิธีที่จะได้เห็นผีจากภาคนี้ไปรวมกับคนเห็นผี 1 และ 2 ไม่ได้ทำให้บรรยากาศของคนเห็นผีแบบเดิมๆ กลับคืนมาสักเท่าไหร่นักแถมยังค่อนข้างจะไร้เหตุผลเอามากๆ หากนี่คือสิ่งที่จะคงความเป็นคนเห็นผีเอาไว้
เป็นการยัดเยียดราวกับจะบอกเป็นนัยๆ ว่า "หมดมุก"