xs
xsm
sm
md
lg

กรณีไฮโซ(ลอง)ตกอับ "ชาย อานันท์ทวีป" กับข้อหาไร้สาระ - เสแสร้ง ของ "เจาะใจ"

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวางทีเดียวสำหรับรายการยอดนิยมอย่าง "เจาะใจ" ภายหลังการเปลี่ยนแปลงรูปแบบของการนำเสนอด้วยการเพิ่มช่วง "15 reality คนดัง" เข้าไป อาทิการจับเอานางแบบสาว "โอเด็ต แจ็คโคมิน" มารำไทย, ให้ "ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์" ไปเป็นครูอนุบาลสอนวิชาศีลธรรมเป็นเวลา 1 เทอม, ให้เงิน 1 ล้านบาทเพื่อดูว่าอดีตพิธีกรหญิงของรายการอย่าง "นารากร ติยายน" จะเอาไปทำอะไร? หรือแม้กระทั่งการให้นักแสดงสาว "อุ้ม สิริยากร" ตัดขาดจากความวุ่นวายของสังคมไปใช้ชีวิตแบบสงบ ฯลฯ

จากภาพของรายการที่ดูจริงจังมีสาระและให้ประโยชน์กับสังคมมากมายจึงทำให้หลายคนสงสัยว่าการเพิ่มช่วงดังกล่าวเข้าไปใน "เจาะใจ" นั้นมีจุดมุ่งหมายหรือต้องการที่จะบอกอะไรกับคนดูกันแน่? หรือเป็นเพียงการเอาคนดังมาเล่นสนุก อยากทำอะไรก็ทำเท่านั้นเอง...

เฉพาะอย่างยิ่งในส่วนของเทปที่ออกอากาศไปแล้วบางส่วนที่กำหนดให้ "ชาย อานันท์ทวีป ชยางกูร ณอยุธยา" หนุ่มไฮโซทายาทพันล้านไปเร่ร่อนใช้ชีวิตแบบคนจรจัดเป็นเวลา 7 วันซึ่งนอกจากจะเป็นเรื่องที่ใครหลายคนมองว่าไม่เข้าท่าและเป็นการเสแสร้งแล้ว "บ.เจเอสแอล" เองในฐานะผู้ผลิตยังถูกจับตามองด้วยว่าเทปดังกล่าวยังเป็นการตัดหน้ารายการ "ไฮโซบ้านนอก" ของช่อง 3 ที่มีคอนเซ็ปต์คล้ายๆ กันเข้าอย่างจัง

"โจทย์ที่แต่ละคนจะทำนั้นมาจากตัวแขกรับเชิญค่ะ คือมี 2 อย่าง อย่างที่ 1 แน่นอนต้องเป็นสิ่งที่เขาไม่เคยทำแต่เป็นสิ่งที่เขาอยากทำ อีกอันหนึ่งคือเป็นสิ่งที่เขาไม่เคยทำและคงจะไม่อยากทำแต่เราจะให้เขาทำเพื่อท้าทายดูซิว่ามันจะเกิดอะไรขึ้น"..."แมว วีรณา โอฬารรักษ์ธรรม" โปรดิวเซอร์ของรายการ "เจาะใจ" ชี้แจงถึงที่มาของการเพิ่มช่วงดังกล่าวเข้าไป

"ทั้ง 2 อย่างนี้มันเกิดขึ้นจากการที่เราไปคุยกับเขาก่อนว่าในชีวิตเขามีปมอะไรที่มันอยู่ในใจเขา แล้วก็เอามาคิดต่อว่าเออทำไอ้นู่นดีมั้ย ทำไอ้นี่ดีมั้ย ก็คุยกันไปเรื่อยๆ อย่างโจอี้ บอย คุยกันตั้ง 3-4 ครั้งแล้ว(ให้โจอี้สร้างภาพในสิ่งที่คุณไม่เคยเห็น) แต่ยังบอกไม่ได้เลยว่าเขาจะทำอะไร มันยังไม่ไฟนอลเลยน่ะทั้งเราและโจอี้ก็ต่างอยากให้มันดีที่สุด เพราะโจอี้บอยมีความพร้อมมากที่จะบ้าดีเดือดสุดฤทธิ์กับเรา"

หลายคนสงสัยว่าเพิ่มช่วงนี้เพื่ออะไร?
"เราตั้งเป้าว่ามันน่าจะค้นพบอะไรบางอย่างในชีวิตของคนคนนั้น คือถ้ามันใหญ่โตถึงขนาดว่าค้นพบสัจธรรมของชีวิตก็นับว่ามันก็ดี อย่างน้องชาย อนันท์ทวีป เขาก็มีปมในใจที่คุยกันเขาคิดว่าชีวิตเขาไม่ต้องมีเงินได้มั้ย ไม่มีเงินมันอยู่ได้มั้ย เพราะว่าชีวิตเขาโตมากับกองเงินกองทองมหาศาลมากๆ...ที่เราให้เขาทำสาหัสเนี่ยเขาไม่อยากทำเลยนะ แต่ก็พอรู้เลาๆ"

"เขามีปมเกี่ยวกับเรื่องของเงินและก็เคยร้องไห้ เคยทุกข์กับการมีเงินและการต้องหาเงิน เขาก็อยากจะรู้ว่ามันไม่มีเงินได้มั้ย เงินมันสำคัญขนาดนั้นเชียวเหรอ เราก็เลยอยากให้เขาลองใช้ชีวิตที่ไม่มีเงินดู แค่ไม่มีเงินในชีวิตปกติมันยังไม่พอเราก็ให้เขาไปอยู่ที่ที่ไม่มีใครรู้จัก ไปอยู่ในที่ที่มันยากจนข้นแค้น มันเปลี่ยนแปลงชีวิตไปเลย"

กรณีของ "สายัณห์ ดอกสะเดา" ที่ให้โบกรถไปเชียงใหม่ด้วยตัวคนเดียว?
"อ๋อ อันนี้เราตั้งโจทย์ขึ้นมา ก็คุยกับพี่เด๋อว่าจะให้สายัณห์เดินทางคนเดียวเป็นไปได้มั้ย เพราะเรามีความเชื่อมั่นในศักยภาพของมนุษย์ อย่างถ้าถามว่าจะทำไปทำไม 7 วันเดือนหนึ่ง คืออันหนึ่งเราอยากให้มันค้นพบความหมายของชีวิต ซึ่งตามแนวทางของเจาะใจมันก็เป็นแนวทางพึ่งตนเอง แนวทางของจิตใจมากกว่าวัตถุ"

"กับอีกอันหนึ่งเราอยากรู้แค่ว่าศักยภาพของมนุษย์ขีดสุดอยู่ที่ตรงไหน สมมติเราบอกว่าเราไม่มีทางที่จะฝนทั่งให้เป็นเข็มน่ะ เราก็รู้ว่าศักยภาพของมนุษย์มันทำไม่ได้ แต่เราอยากจะท้าทายดูไงว่าศักยภาพของมนุษย์จริงๆ มันทำได้ถึงขนาดนั้นมั้ย อย่างเช่นชาย อนันท์ทวีปเคยอยู่บนกองเงินกองทองถ้าชายไม่ต้องมีเงินเลยมนุษย์เนี่ยมันอยู่ได้มั้ย ซึ่งมันก็อยู่ได้น่ะ ชายก็ร้องไห้อะไรแบบซาบซึ้งอะไรไป"

"อันนี้เหมือนกัน ของสายัณห์เรามองว่าเรามีความเชื่อมั่นในศักยภาพของมนุษย์ ไม่ว่ามนุษย์คนนั้นจะเป็นคนที่บกพร่องในด้านอะไร เพราะฉะนั้นเราก็อยากทดลองดูสิว่าศักยภาพของสายัณห์ภายใต้ความเชื่อแบบของเจาะใจเนี่ยว่ามนุษย์มันทำอะไรได้หลายอย่างมากหากคิดที่จะทำ ถ้ามีความตั้งใจ ถ้ามีความพยายาม ถ้ามีการช่วยเหลือ ถ้ามีทางออก"

"ก็คุยกับพี่เด๋อ ตอนแรกเขาก็มีความกังวลจะทำได้มั้ย จะทำดีมั้ย ทีนี้ตอนแรกที่เราคิดไปก็คือไม่มีใครเดินทางไปกับสายัณห์เลยยกเว้นทีมงาน พี่เด๋อก็บอกว่ามันยากเกินไปของพี่เด๋อมองว่าต้องมีคนไปด้วย 1 คน พี่เด๋อกลัวปัญหาเรื่องการสื่อสาร ซึ่งคนที่ไปกับสายันห์เนี่ยจะช่วยในยามที่มีความจำเป็นเท่านั้น หมายความว่าเรามีรถทีมงานไป 1 คัน แต่สายัณห์ต้องไปโบกรถเอง ผู้จัดการจะอยู่ห่างๆ แต่จะช่วยเมื่อถึงคราวจำเป็น มันก็ดีมันจะได้ปลอดภัย"

แต่ละคนก็จะต่างกันไป?
"มันไม่ใช่ทุกคนที่เราจะท้าทายในเรื่องนี้ซะทั้งหมด มันก็จะมีธีมของแต่ละคนที่เกี่ยวข้องของการมีชีวิตอยู่ของมนุษย์ว่ามันเป็นยังไง หรืออย่างพี่หนูแหม่ม(สุริวิภา กุลตังวัฒนา)อยากแบบเป็นแม่มากเราก็ให้ลองดู..."

"คือไอ้ที่จะบอกไปในรายการเนี่ยมันคือสิ่งที่เราหวังว่าจะเกิดเฉยๆ จริงๆ แล้วเราไม่รู้ว่าพอทำเข้าจริงๆ แล้วมันจะเป็นอะไร เพราะลักษณะของการทำเรียลลิตี้ โชว์มันคือการทดลองดูว่าสุดท้ายแล้วจะได้คำตอบอะไร พูดถึงอันที่ถ่ายไปแล้วดีกว่า อย่างของชายเนี่ย พี่ว่าผู้ชมจะได้เห็นหลายอย่างมาก จะได้เห็นว่าชีวิตมนุษย์จริงๆ แล้วมันคือเราสามารถที่จะอยู่อย่างลำบากได้ ยังไงก็ตามมนุษย์มีความเอาตัวรอด มีการดิ้นรนต่อสู้ที่จะอยู่ได้..."

บางส่วนเขาจะบอกว่ามันไร้สาระรึเปล่าแค่เอาไฮโซมาอยู่ 7 วันแล้วเขาจะรับรู้ถึงความลำบากได้จริงหรือ? เพราะหลังจาก 7 วันนั้นเขาก็กลับไปสุขสบายอย่างเดิม
"เราไม่ได้หวังให้เขาเปลี่ยนแปลงชีวิตตัวเองทั้งชีวิตนะ คืออย่างน้อย เอ่อ ประสบการณ์อย่างหนึ่งในชีวิตและมีผลต่อจิตใจและออกไปสู่การกระทำมากน้อยแค่ไหนในตัวของเขาเราบอกไม่ได้ เหมือนที่เราบอกไม่ได้ว่าผู้ชมดูตอนนี้แล้วผู้ชมจะได้อะไรจากรายการตอนนี้มากน้อยแค่ไหน เราบอกไม่ได้ แต่ว่าพี่เชื่อมั่นในประสบการณ์ที่เกิดขึ้น"

"เช่นถ้าเราเป็นคนขับรถเร็วมาก่อนแล้ววันหนึ่งเราขับรถชนคนตายเราจะเปลี่ยนจากการขับเร็วเป็นคนที่ขับรถช้า หรือว่าเราไปปฏิบัติธรรมออกมาก็ไม่ได้แปลว่าเราจะละกิเลสเราจะไม่โกรธใครอีกเลย แต่เมื่อเราโกรธเราจะรู้ตัวและเราก็จะโกรธน้อยลงไปเรื่อยๆ"

"จะได้ผลมากหรือน้อยเราไปสั่งใครไม่ได้หรือผู้ชมจะมองว่าจะไร้สาระหรือมีสาระเนี่ยเราไปสั่งเขาไม่ได้ว่าคุณต้องมองให้มีสาระ แต่เราสื่อสารด้วยเจตนาและเป้าหมายในทางบวก เพราะฉะนั้นถ้าเกิดผู้ชมจะรับไปในทางลบเราไปสั่งเขาไม่ได้ คือทางเรามีความเชื่อแบบนี้สื่อออกไปแบบนี้ สมมติเราให้เงินเด็กไป 10 บาทอยากให้เขาเอาเงินไปซื้อขนมกินให้อิ่มท้อง แต่เขาเอาไปเล่นเกมส์ใช่ป่ะเราก็สั่งเขาไม่ได้"

ผิดคอนเซ็ปต์เดิมของรายการเจาะใจหรือเปล่า?
"จริงๆ เราไม่มีอะไรทำนะ (หัวเราะ) ก็ตามกระแสค่ะ...คือในความหมายของตามกระแสก็คือว่าเราทำรายการโทรทัศน์ให้ใครดู ให้ผู้ชมดูถูกต้องรึเปล่า คือในเอ่อในการทำรายการโทรทัศน์ของพี่คือพี่ทำ 2 อย่าง คือทำในสิ่งที่ผู้ชมอยากดู สองทำในสิ่งที่เราอยากให้ผู้ชมดู ความยากของมันคือการทำ 2 อย่างนี้ให้สมดุลกัน เพราะนี่คือธุรกิจโทรทัศน์"

เลยเป็นอีกประเด็นว่า "เจาะใจ" ซึ่งที่ผ่านมาดูเหมือนว่าจะเป็นรายการที่ออกแนวการกุศล เป็นรายการที่เป็นเพื่อนทางด้านจิตใจได้กลายเป็นรายการเชิงพาณิชย์ไปแล้ว?
"จะบอกว่ากลายเป็นรายการเชิงพาณิชย์ไม่ได้เพราะพี่จะบอกว่ามันเป็นรายการพาณิชย์ตั้งนานแล้ว ไม่มีรายการโทรทัศน์รายการไหนที่ไม่มีธุรกิจ งานโทรทัศน์งานพาณิชย์ศิลป์ไม่ใช่งานศิลป์แต่ว่าพี่คิดว่าความยากของมันอยู่ที่คุณจะบาลานซ์ระหว่างการตลาดกับสาระได้ยังไง คือคุณจะบาลานซ์พาณิชย์กับศิลป์ได้ยังไง ข้อที่ 1 ข้อที่ 2 คุณจะบาลานซ์กับสิ่งที่คุณอยากบอกกับสิ่งที่ทุกคนอยากดูได้ยังไง"

"สมมติว่าพี่อยากบอกผู้ชมเหลือเกินว่าอย่าเห็นแก่ตัว พี่ก็เอาใครหรือตัวพี่เองมานั่งพูดๆๆๆ ก็ได้ แต่ใครจะมาดู เพราะงั้นมันก็คือต้องตั้งว่า ฉันอยากบอกว่าอย่าเห็นแก่ตัวแต่ผู้ชมอยากดูอะไร เอาอันนั้นมาทำให้ผู้ชมอยากดูแล้วนำไปสู่จุดที่เราอยากบอก"

"อีกอย่างหนึ่งคือการทำรายการโทรทัศน์เนี่ยต้องเป็นคนที่รับฟังติและชมเพราะว่าเราทำรายการโทรทัศน์ให้คนจำนวน 60 ล้านคน คนทั้งประเทศดู เราไม่ได้ให้แค่ 10 กว่าคนดู เพราะฉะนั้น เฮ้ย ฉันยังชอบสีเหลือง นายยังชอบสีแดงเลย เพราะงั้นคือฉันจะชอบเจาะใจเพราะเห็นว่ามีสาระ ฉันไม่ชอบเจาะใจเพราะเจาะใจไม่มีสาระ ฉันไม่ดูเจาะใจแล้วล่ะไม่ชอบพิธีกรคนนี้ เป็นเรื่องธรรมดา"

คาดว่าการเพิ่มในส่วนของ "15 reality คนดัง" เข้าไปจะทำให้รายการ "เจาะใจ" ได้คนดูเพิ่มขึ้นอีกมั้ย?
"คิดว่าเป็นอย่างนั้นนะ(หัวเราะ)...ก็ต้องมีความมั่นใจประมาณหนึ่ง"

เพราะขายคนดังหรือเปล่า?
"ทำไมต้องเป็นคนดัง คือเราคิดว่าในหมวดของที่เราไม่ได้คนไม่ดัง คนที่ธรรมดาๆ ก็เป็นส่วนหนึ่งของรายการเจาะใจอยู่แล้ว เป็นพาร์ทหลักของมันอยู่แล้ว บางคนก็ว่าเอาต๊อด (ปิติ ภิรมย์ภักดี)มาอยู่แล้วเหรอ จะเล่นแต่กับคนดังแล้วเหรอ คือตรงส่วนเรียลลิตี้ 15 คนดังจะมีต่อไปมั้ยตรงนี้ยังตอบไม่ได้"

"จริงๆ ก่อนหน้านี้เรามีความเชื่ออยู่แล้วว่าเราไม่ได้ดูที่เป็นคนดังหรือดาราหรือนักร้องหรืออะไร เรามองที่ประเด็นเป็นหลักสมมติว่าดาราคนนี้มีประเด็นที่ดีเราก็ทำ แต่เราก็ดีใจที่เรามาในจุดที่เราไม่ต้องอาศัยความดังของดาราคนก็ดู ก็น่าดีใจใช่มั้ยล่ะหรืออย่างที่เราเอาคนดังเข้ามาเกี่ยวข้องเพราะว่าเราเชื่อมั่นว่าในความดังหรือไม่ดังคนมันก็ดีได้ อันที่จริงแล้วเราอยากเจาะใจชายมาเป็นปีๆ แล้ว แต่ว่าชายก็ปฏิเสธมาโดยตลอด ชายคงไม่อยากให้คนหมั่นไส้ ให้คนว่าเว่อร์ แต่ทีนี้รูปแบบมันน่าสนใจแต่ก็คุยๆ เป็นเดือนเลยนะกว่าจะได้รูปแบบใหม่"

แต่ก็เกิดเกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์ที่มีการเปลี่ยนแปลงรูปแบบพอสมควร
"เราทำรายการมาเยอะเราก็ต้องมีจุดยืนของเราว่าเราจะไม่ฟังความเห็นที่ไม่ลงชื่อ สมมติคนที่ลงชื่อหรือคนที่ตั้งกระทู้บอกว่ารายการไร้สาระแล้วละก็พี่จะถามว่าไอ้สิ่งที่เขาเขียนโดยไม่ลงชื่อมันไม่เป็นความไร้สาระของมนุษย์หรอกเหรอ ไม่ได้หรอก"

"เราอยู่มาขนาดนี้แล้วเราไม่มีจุดยืนว่าเราเอาความเห็นที่ไม่ลงชื่อต่อให้1,000 ความเห็นมาตัดสินการมีชีวิตอยู่ของเราหรือการทำรายการโทรทัศน์ของเรา พี่ว่าอันนี้เรียกว่าไร้สาระ คุณครูที่สอนเรามา พ่อแม่ที่สอนเรามา เจ้านายที่บอกเรามา อันนี้ต่างหากที่เป็นสาระของชีวิต"

กำลังโหลดความคิดเห็น