คริส เวดจ์ และพรรคพวกคงจะเหนื่อยกันน่าดู กว่าจะปั้นหนังเรื่อง Robots ออกมาได้ถึงขนาดนี้
มองโดยรวมแล้ว Robots เป็นงานที่ดีใช้ได้ แต่ในเมื่อพิกซาร์ สตูดิโอ สร้างมาตรฐานหนังแอนิเมชั่นซีจี (ตั้งแต่ Toy Story มาจน The Incredibles) ไว้สูงมาก Robots จึงเหมือนเป็นหนังที่พยายามไปให้ถึงจุดนั้นให้ได้ – ซึ่งถ้าจะเอากันจริงๆ ก็ต้องบอกว่ายังไม่ประสพผล
หนัง Robots เองก็คงไม่ต่างจาก เฟนเดอร์ ตัวละครตลกตัวหนึ่งในเรื่อง กล่าวคือ มันถูกประกอบขึ้นด้วยชิ้นส่วนที่คนอื่นใช้มาแล้วจนสึกหรอ แล้วนำมาหมุนเกลียวเข้าด้วยกันอย่างหลวมๆ มองไกลๆ มันก็ดูคล้ายกับหุ่นยนต์ทั่วไป เดินเหินอาจจะกระย่องกระแย่งสักหน่อย แต่ถ้าหากโชคร้ายเจออะไรหนักๆ ก็จะพังครืนไม่เป็นท่า กลายเป็นเศษเหล็กรอวันหลอมใหม่ในทันที
เรื่องราวในหนังเป็นสิ่งที่ไม่ได้อยู่นอกเหนือความคาดหมายของคนดู รอดนีย์ ตัวละครเอกเป็นหุ่นที่ถูกสร้างขึ้นจากอะไหล่มือสอง เพราะที่บ้านฐานะไม่ดีนัก เขาเติบโตขึ้นท่ามกลางสถานการณ์ที่อะไรก็ดูขัดสนไปหมด พ่อทำงานเป็นหุ่นยนต์ล้างจานต๊อกต๋อยในภัตตาคารเล็กๆ แห่งหนึ่ง
ชีวิตของรอดนีย์เปลี่ยนไปเมื่อเขาได้ดูรายการโทรทัศน์ของบริษัทบิ๊กเวลด์ องค์กรขนาดยักษ์ที่ผลิตเครื่องยนต์และเทคโนโลยีต่างๆ เจ้าของบริษัทพูดเปิดโอกาสให้นักประดิษฐ์หน้าใหม่เข้ามาเสนอไอเดียกับตนได้ทุกวัน โดยไม่เกี่ยงว่าจะเป็นใครมาจากไหน
เด็กน้อยตัดสินใจเดินทางเข้าเมืองไปในวันที่เขาคิดว่าบ้านเกิดไม่เหลือความหวังอะไรอีกแล้ว รอดนีย์คิดไปตายเอาดาบหน้าที่โรบอตซิตี้ แล้วก็ได้เกือบไปตายที่นั่นจริงๆ เมืองใหญ่ช่างไม่น่าอยู่เอาเสียเลย หนำซ้ำ บิ๊กเวลด์ คอร์เปอเรชั่น ถูกเปลี่ยนผู้บริหารจากบิ๊กเวลด์หุ่นร่างท้วมใจดี เป็นแรตเชต หุ่นใจแคบหัวการค้าที่ไม่เพียงแต่จะปฏิเสธนโยบายรับนักประดิษฐ์หน้าใหม่เท่านั้น เขายังยกเลิกการผลิตอะไหล่ต่างๆ เพื่อเป็นการบีบบังคับให้หุ่นยนต์ทุกตัวในเมืองมาเข้าโปรแกรมอัพเดตร่างกายกับทางบริษัท
เมื่อเรื่องดำเนินมาถึงจุดนี้ก็คงเดากันไม่ยากว่า มันจะลงเอยด้วยบทสรุปเช่นไร อันที่จริงนี่แทบจะไม่ใช่ปัญหาใดๆ เลยของหนังสักเรื่องหนึ่ง - - Robots เช่นกัน
แต่ความตะปุ่มตะป่ำของหนังอยู่ตรง ช่วงตอนที่เชื่อมต่อกันนั้น ไม่มีความหนักแน่นและขาดเสน่ห์ ความสะเทือนใจที่มี – ยกตัวอย่างเช่นตอนที่รอดนีย์ตัดสินใจเดินทางเข้าเมือง – ก็เป็นอารมณ์เศร้าแบบดาดๆ ไม่ชวนให้เกิดอารมณ์ร่วมหรือแรงกดดันอย่างรุนแรง เหมือนกับตอนที่ ฟลิก ในหนัง A Bug’s Life ต้องโดนอัปเปหิออกจากเกาะ
ทั้งหมดนั้นยังรวมมาถึงวิธีการคลี่คลายในหนังซึ่งออกจะง่ายเกินไปสักหน่อยด้วย ฉากการต่อสู้ที่คงความเหลือเชื่อแบบการ์ตูนไว้มากจนแทบจะไม่ต้องลุ้นอะไรเลย เด็กๆ อาจจะดูสนุก แต่ผู้ใหญ่ก็คงนั่งขำๆ
ทีมเขียนบทอาจจะเข้าใจข้อบกพร่องในจุดเหล่านี้ (หรือไม่ - ไม่ทราบ) สิ่งที่นำมากลบๆ พอให้มิด คือการนำเอามุกตลกและมุกล้อเลียนแทรกเข้ามาเป็นระยะเพื่อเรียกเสียงหัวเราะ ซึ่งก็ต้องยอมรับว่ามันได้ผลชะงัด การนำหนังคลาสสิกอย่าง The Wizard of Oz, Singin’ in the Rain, Psycho ฯลฯ หรือวัฒนธรรมป็อปร่วมสมัย - มายำเสียใหม่นั้นเป็นไอเดียที่เข้าท่า
แต่ก็นั่นแหละ แก๊กตลกที่ว่ามามันก็ไม่ได้เกี่ยวเนื่องกับแก่นของเรื่อง หรือแม้แต่จะมีส่วนช่วยให้เรื่องเดินไปข้างหน้า แรงม้าของมันจึงมีประสิทธิภาพในหนังได้แค่ครึ่งหนึ่งของตัวมันเองเท่านั้น
ในแง่นี้ ถ้านำไปเปรียบเทียบกับหนังแอนิเมชั่นอย่าง Shrek – ก็จะเห็นว่ามุกฟายๆ ใน Shrek นั้นไม่ได้ทำหน้าที่สร้างความครื้นเครงเพียงประการเดียว มันยังผูกพันกันอย่างแกะไม่ออกต่อเรื่องและตัวละคร เป็นชั้นเชิงที่น่าชื่นชมของทีมเขียนบทอย่างยิ่ง
กล่าวอย่างถึงที่สุด แอนิเมชั่นเรื่อง Robots เป็นข้อสรุปที่ดีว่า เทคโนโลยีเรื่องซอฟต์แวร์ ไม่ได้เป็นปัญหาหลักอีกต่อไปแล้วในการทำหนังสักเรื่อง สุดท้ายแล้วคนทำหนังก็ต้องกลับมาใส่ใจกับเรื่องเดิมๆ คือบทภาพยนตร์ – ที่ต้องทำให้รัดกุม แยบยลกว่าเดิม และเตรียมการให้เทคโนโลยีมารับใช้ส่วนต่างๆ ของเรื่องได้อย่างไร
ผมดู Robots แล้วก็นึกอยากดูหนังแอนิเมชั่นหลายเรื่องของคนไทยที่น่าจะได้ออกฉายในปี หรือ 2 ปีนี้ ไม่รู้ว่าจะออกมาท่าไหนกันบ้าง
อย่างไรก็ดี กรณีหนัง Robots นั้น มันไม่ได้เป็นหนังที่ย่ำแย่ ถ้ามองข้ามความผิดพลาดหลายๆ อย่างไป ก็ยังคงเป็นงานที่ดูสนุกมาก และเหมาะสำหรับเด็กมากๆ เช่นกัน
แก่นเรื่องของมันพูดถึง การอย่าตัดสินชะตากรรมของตัวเองเพียงเพราะรูปลักษณ์ภายนอก เราอาจเกิดมาต่ำต้อยกว่าคนอื่นเขา แต่เราก็สามารถเลือกที่จะสร้างคุณค่าให้กับตัวเองได้
เป็นนิทานสอนใจก่อนนอนที่ไม่เลวเลยครับ