ห่างหายจากวงการเพลงไปพักใหญ่ สำหรับนักร้อง นักดนตรีหนุ่มคนนี้ "เล็ก สุรชัย กิจเกษมสิน" หรือ ที่รู้จักกันดีในหมู่คอเพลงอินดี้ "เล็ก วงพราว" เจ้าของเพลงดัง "เธอคือความฝัน" ที่หลายคนยังจำกันได้ในยุคช่วงที่วงการเพลงอินดี้บ้านเรากำลังเบ่งบานเฉียดๆ 10 ปีที่แล้ว
3 ปีจากการทำงานเพลง(ใหม่)ชุดที่สอง "สลาลม" ตอนนี้เจ้าตัวกลับมาแล้วกับสตูดิโออัลบั้มหมายเลขสาม "The Fascinate individual impression 2001 - 4" ที่ออกมาจากความสามารถ และเป็นงานเพลงเดี่ยวชุดแรกที่เขาลงมือทำเองแบบจะทุกขั้นตอน
มาทำความรู้จักตัวตนของเขากับงานเพลงชุดใหม่ ผ่านคำพูดของผู้ชายมาดเซอร์คนนี้ กันเลยดีกว่า
หายไปนาน ไปทำอะไรมาบ้าง?
"ก็หลบไปพักผ่อน และเร่ร่อนไปตามสถานที่ที่อยากจะไปครับ"
สำหรับอัลบั้มชุดนี้ ในส่วนของภาคดนตรี มีอะไรใหม่ๆ มาฝากคนฟังบ้าง -
"สำหรับงานเพลงชุดนี้ มันเป็นเพลงป็อป ที่มีซาวนด์อิเล็กโทรนิกเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย และมีเพื่อน ๆอย่าง วรรณฤต พงศ์ประยูร จาก stylish nonsense มาร่วมมิกซ์ให้ มีคนทักว่าบางเพลงในอัลบั้มชุดนี้ เหมือนพราว แต่ดนตรีมันอาจจะไม่เหมือนเลยซะทีเดียว มันมีซาวนด์อิเล็กโทรนิกเข้ามา เพลงที่คนทักก็คือเพลงโลกแห่งความรัก ถ้าเป็นเพลงเพลงช้า มันก็เป็นมุมมองของความผิดหวังหลายเพลงเหมือนกัน แต่ในเพลงก็มีทางออกให้เหมือนกันนะ"
ขอย้อนกลับไปในช่วงอัลบั้มสลาลม ก่อนหน้านั้น เคยเข้าสังกัดใหญ่อย่างโซนี่มาแล้ว ทำไมสองอัลบั้มนี้ ถึงตัดสินใจออกมาทำคนเดียว?
"ตอนนั้นอยู่ค่ายโซนี่ เขาจับเราไปทำอะไรสักอย่าง แต่ก็มีผลงานเพลงออกมาบ้างกับอัลบั้มเมโทร อคูสติก ตอนเข้าไปอยู่ช่วงแรก มีอะไรให้เราทำเยอะแยะเลย แต่พออยู่ๆไป ทำไมงานเพลงของเราไม่สำเร็จซะที เลยทำให้งานเพลงในชุดนี้ มีถึง 15 แทร็กเลย นี่เราตัดออกไปเยอะแล้วนะ"
"สำหรับสาเหตุที่เราออกมา มันเป็นเพราะว่าคงจะคิดเห็นไม่ตรงกัน แต่เขาก็ให้เราเข้าไปอัดจนทำเสร็จนะ คือมันเป็นอย่างนี้ เรามาจากวงพราว แล้วเราต้องการมาทำอัลบั้มเดี่ยว แล้วอัลบั้มเดี่ยวของเราก็คือความคิดของเรา ซึ่งของพี่นี่ เวลาปกติ ตอนฟังเพลงก็มักจะชอบเพลงที่ไม่ใช่เพลงแรก หรือเพลงช้าที่ขาย เรามักชอบเพลงที่มีดนตรี มีเนื้อหา เขาอาจเรียกว่าเป็นเพลงรองในค่าย มันเลยกลายเป็นคนละอย่างกับสิ่งที่เขาคิดว่าจะทำ แล้วทางค่ายก็ต้องลงทุน ต้องมีคอนเซ็ปต์รักคนมีเจ้าของอะไรทำนองนี้ จริงๆ แล้วในค่ายเทป มันมีสูตรของมันอยู่ เราก็ไม่ได้คิดที่จะทำแบบนั้น เขาก็อยากได้แบบนั้น แต่เราไม่มีให้เขาไง"
แล้วการที่ออกมาทำงานเดี่ยวของตัวเอง แตกต่างจากการทำงานเพลงในช่วงที่อยู่กับวงพราวยังไงบ้าง?
"พราวก็จะเป็นการทำงานของสี่คน ถ้ามานั่งพร้อมๆกัน ก็จะมีขำ มีอำกัน มันก็ไม่เหมือนเรานั่งทำงานคนเดียว ถูกไหมครับ มันก็เป็นแบบนั้น แต่ทางค่ายเขาต้องการอย่างอื่น เราก็เลยไม่ได้ออกอัลบั้มซะที เขาก็ทำอะไรของเขาไปเรื่อย ซึ่งทำให้เราเรียนรู้ระบบไป เขียนออแกไนซ์ได้ทีหลายไดอะแกรม (หัวเราะ) แต่เราไม่เข็ดกับระบบค่ายนะ มันก็ดีเพราะมีที่ให้เราทำงาน เราเลยต้องเองทุกอย่างเลย คือเขาปล่อยจริงๆ ให้เราได้ลองทำอะไรหลายอย่าง"
ในตอนที่ทำงานเพลงกับค่ายเพลง เขามีการเตรียมโปรดิวเซอร์ ให้คุณเล็กด้วยไหม
"คงมีนะ แต่เราคงจะดื้อเพราะไม่ยอมมีโปรดิวเซอร์ คือเราต้องการทำอันนี้ แล้วที่คุยกันตอนแรก มันเป็นงานเดี่ยวแบบนี้นะ ไม่ใช่ว่าเราจะมามีชื่อเสียง ทำเพลงให้คนเป็นแสนเป็นล้านฟังจากคอนเซ็ปต์อะไรก็ไม่รู้ ที่มันไม่ใช่ความคิดเราเอง ก็ตอนนั้นชีวิตเราไม่ได้มีความรู้สึกแบบนั้น แต่ต่อไปเราอาจจะมีความรู้สึกรักคนมีเจ้าของ เราอาจจะทำเพลงแบบนั้นก็ได้นะ คอนเซ็ปต์แบบนี้มันมีมาตลอดเลย มันเป็นสูตรเหมือนกันนะ เช่นเพลงจิ๊กโก๋อกหัก มันก็เป็นอีกแบบหนึ่ง มันเป็นสูตรสำเร็จแบบนี้ไง"
แล้วเพลงสูตรสำเร็จ ในแบบฉบับของเล็ก เป็นแบบไหน?
"ไม่มีสูตรตายตัวนะ ชุดนี้เรายังใช้ชื่อว่า My Impression เลย ความจริงเขาบอกว่าชื่อยาวใช่ป่ะ แต่มันมีความหมาย มันเป็นรอยประทับของเรา ผ่านกาลเวลาไป แล้วหยิบรอยประทับนั้น มาทำเป็นเพลงไง"
กังวลเรื่องยอดขายบ้างไหม?
"ถ้ากังวล คงไม่มานั่งทำหรอกครับ มันเป็นสิ่งที่เราทำอะไรไม่ได้ สิ่งที่เป็นหน้าที่ของเรา คือเราทำงานเพลง แล้วให้มันเป็นงานที่ดี จริงๆ ขั้นตอนมันก็เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ นะ อย่างตอนพราว ก็ทำแค่เพลงกับดนตรี ส่วนโปรดักชั่นที่ไปลงงานไปทำอย่างอื่น เขาก็มาถามเรา เราก็ให้ข้อมูล ที่เป็นข้อมูลที่เป็นรูปหรืออะไรไปแทน แต่พอมาสลาลม เฮ้ย ออกมาจากค่าย เอาเพลงออกมาขายเอง"
หมายถึงพี่ต้องจ่ายเงินซื้อเพลงของตัวเองออกมาจากค่ายที่เราเคยอยู่?
"ใช่แล้ว มันเป็นค่าห้องอัด ค่าดนตรี ที่ทางค่ายออกไปกับเรา ที่เป็นเงินที่เขาออกไปก่อนไง คือค่ายเขาต้องลงทุน ต้องการความชัวร์ เราก็จ่ายไปสองแสนกว่าบาท"
แล้วมีค่ายอื่นชวนไปอยู่บ้างไหม?
"มีบ้างฮะ เหมือนเรื่องที่เราคุยมาทั้งหมดแหละฮะ เขาก็ดีของเขาอยู่นะ อยู่กันมานมนาน เราก็เคยอยู่ค่าย มันก็คงเป็นเรื่องเดิมๆ ที่เราเคยเจอ เขาก็คงรู้จักเราบ้าง ไม่มากก็น้อย ว่าแนวทางเราเป็นยังไง และก็มีพี่ๆ ที่เขาเอ็นดูเราก็ชวนไปคุยบ้าง มันคงยังไม่ถึงความลงตัวนั้นมั้งฮะ อนาคตมันก็ไม่แน่นะ ถ้าวันไหนเราไปแอบหลงรักคนมีเจ้าของ ซึ่งที่เราพูดแบบนี้ไม่ได้หมายความว่ามันไม่ดีนะ แต่เพลงเหล่านี้ มันเป็นสูตรที่ประสบความสำเร็จมาโดยตลอด เหมือนกับที่พูดมาโจมตีรักคนมีเจ้าของ แต่จริงๆ แล้ว มันไม่ใช่ เพลงมันเป็นคอนเซ็ปต์ และเพลงเหล่านี้มันจะดังตลอด ไม่ว่าจะเป็นปาฏิหาริย์ ก่อนที่เธอจะเป็นของใคร มันก็เป็นคอนเซ็ปต์นี้ เขียนเอาไว้ข้างเตียง แต่เพลงเราไม่มีนะ เพราะยังไม่เคยเกิดปรากฏการณ์แบบนี้กับเราไง"
ในตอนนั้น ได้พูดคุยกับเพื่อนนักดนตรีด้วยกันไหม กับการออกมาทำงานเพลงคนเดียว?
"คือมันไม่ได้รับการสนับสนุน เพื่อนทุกคนก็ต้องทำงาน แต่ว่าทุกคนก็อยู่ทำจนมันจะเสร็จดี ทุกคนก็รับผิดชอบในส่วนของตัวเองเรียบร้อยแล้ว อย่างเช่นมือกลองก็ไปบวช อย่างตอนนี้คนที่ทำซาวนด์ให้เราในอัลบั้มสลาลมก็ไปทำกับซิลลี่ ฟูลส์ แต่ตอนนั้นทุกคนก็อยู่ช่วยกันจนเสร็จ แต่พอเสร็จงานเพลงก็มาอยู่ที่เราแล้ว"
อัลบั้มชุด สลาลมประสบความสำเร็จไหม?
"เรื่องเงินก็ไม่ค่อยประสบความสำเร็จนะ แต่เราก็ยังไม่ตายนะ เรายังอยู่ แต่เรื่องฟีดแบ็กของคนฟังเราก็ชื่นใจดี เรื่องเงินไม่ใช่เรื่องใหญ่สำหรับเรา เรามอง นี่จะสิบปีอีกแล้ว ไม่กี่เดือน ที่ทำวงพราวออกมา หรือก่อนหน้านั้นที่เราไปเล่นเป็นแบ็คอัพให้วงอื่นก็สิบปีมาแล้ว ที่เราเล่นดนตรีมา เรารู้สึกว่าเรายังไม่ได้ทำเป็นอาชีพเลย เป็นเหมือนกับว่าเรียนจบมาก็ทำอะไรก็ไม่รู้ ที่เป็นสิ่งที่ตัวเองอยากทำล้วนๆ"
ครบ10 ปี จะจัดคอนเสิร์ตของวงพราวบ้างไหม ก่อนที่กระแสมันจะหายไปเสียก่อน?
"ไม่รู้นะ ใครจะรู้อนาคต หมายถึงรวมวงพราวใช่ไหม พี่ก็ไม่รู้เหมือนกัน กลัวกระแสจะหายไปไหม ก็ไม่อย่างนั้นซะทีเดียวนะ อีกห้าปีข้างหน้าอาจจะหายไปแล้วก็ได้ แต่เราก็ยังมีงานเพลงออกมาเรื่อยๆ"
เคยคิดจะเข้าไปอยู่ค่ายเพลงเดียวกับเพื่อนในวงบ้างไหม อย่าง "เจ เจตมนต์" ก็ทำอยู่สมอลรูมในตอนนี้
"คือตอนนั้นที่สมอลรูมกำเนิดขึ้นมา เราอยู่โซนี่ไง แล้วก็เหนียวหนึบอยุ่ตรงนั้น แล้วคอยแก้ปัญหาของตัวเองต่อไป และเป็นช่วงที่พราวชุดที่สองก็หยุดทำ ความจริงแล้ว พราวชุดสองทำไปแล้วสี่เพลงนะครับ แล้วมันเกิดอาการหยุดไง มีสาเหตุมาจากหลายประการ แต่ว่าไม่ใช่สาเหตุจากความขัดแย้ง มันเป็นเรื่องราวของจังหวะชีวิตของแต่ละคน แต่ว่าพี่ไม่ได้เป็นคนที่ไม่พร้อม ของพี่ตอนนั้น คือคุณย่าเสียชีวิต แล้วพี่ก็ไปบวช อยู่พักนึง และเป็นช่วงเวลาที่เราหายไปจากโลกพักนึงเหมือนกัน จากโลกสังคม จากเพลง ส่วนเจ ก็ปีห้าพอดี ต้องไปทำธีสิส"
คิดว่าตัวเองถึงจุดอิ่มตัวในเรื่องของงานเพลงแล้วหรือยัง
"ความรู้สึกของเราตอนนี้ใกล้จะหมดความอดทนในการรอวงพราวแล้ว แล้วมันจะไปงอกเป็นความรู้สึกไหนอีกที อันนี้เราไม่รู้ แต่ยังอยากจะทำอัลบั้มเดี่ยวของตัวเองอีกสักอัลบั้มมั้ง หรือบางทีอาจจะตั้งวงใหม่ขึ้นมาก็ได้ มันเป็นความคิดต่อๆ ไป"
คิดว่ามันเป็นเรื่องที่ยากไหม ที่จะทำเพลงสักเพลงให้มันติดหูคนฟังนะ?
"สำหรับเรา มันไม่ใช่เรื่องยากนะเราว่า เพราะเราเข้าใจปรากฏการณ์นี้ ป็อป สำหรับเรามันคือสิ่งใดก็ตาม ที่เราสร้างสรรค์มันขึ้นมา ถูกที่ ถูกเวลา นั่นแหละคือความหมายของมันที่เราคิดว่าใช่"
จะมีปรากฏการณ์แบบเพลง เธอความฝัน เกิดขึ้นมาอีกไหม?
"ไม่มีนะ ไม่เห็นมีแบบนั้นเลย เพราะว่ากลุ่มมันก็ไม่ได้น้อยมากไปกว่าเดิม เพียงแต่ว่าวันนี้เรื่องราว ระบบ สังคมเพลงมันเปลี่ยนไป จากเดิมมาก ถ้าถามว่าไปเล่นคอนเสิร์ตแต่ละวัน แต่ละครั้ง แตกต่างจากเดิมบ้างไหม ไม่ค่อยต่างนะ อาจจะมีคนแต่งตัวประหลาดๆ มากระโดดน้อยลง อาจจะเป็นแค่เต้นหนุกๆ ปรบมือปรบไม้ตาม แต่ที่กระโดดกันแบบบอดี้สแลม เซิร์ฟกัน มันไม่ค่อยมีแล้ว ยิ่งวงอันเดอร์กรานด์ หรือวงเดธ มันก็มีน้อยลง และเปลี่ยนไป"
รู้สึกยังไง ที่ชื่อของตัวเอง เป็นเล็ก วงพราวมาตลอด ทั้งที่ออกอัลบั้มเดี่ยวแล้ว?
"มันเหมือนกับว่า ต้องขอบคุณนะ มันทำให้คนข้างนอกยังจำเราได้ แต่ข่าวต้องไปลงหนังสือพิมพ์ เขาก็ยังเขียนเล็ก พราว แต่ว่าในวงที่แคบกว่านั้น เขาก็จะรู้จักเราในนามเล็กแอนด์เฟรนด์ ก็ยังมีสถานีวิทยุสองสามคลื่น ที่ยังเปิดเพลงเราอยู่เป็นประจำ อย่าง เล็กสลาลมก็มี เราก็พยายามใช้ชื่อเต็มว่า เล็กแอนด์เฟรนด์ สลาลม พอพิธีกรเห็นหน้าเรา ก็ขอเชิญพบกับเล็ก พราว คือบางทีแนะนำว่าวงพราว เราแทบจะไม่กล้าเดินออกไป เพราะตอนนี้มันไม่ใช่แล้ว เพื่อนๆ ไม่ได้มาด้วย แต่นี่เป็นเพื่อนอีกกลุ่มนึง ที่มาเล่นดนตรีกับเรา"
มองวงการเพลงไทยตอนนี้ยังไงบ้าง?
"เรายังรู้สึกว่ามันยังเป็นระบบค่ายและมันโคตรแข็งแรงเลย สถานีวิทยุก็เป็นของค่ายหมดเลย มีกี่อันเองที่เขาจะเปิดเพลงของคนอื่น ถึงแบบว่าใจดีก็เปิดเพลงสองเพลง เขาต้องขายสื่อของเขาแหละ เพลงของแต่ละค่าย มันก็มาในรูปแบบที่ต้องออกเยอะเข้าไว้ มันเป็นระบบการตลาดครับ"