xs
xsm
sm
md
lg

ย้อนรอยตำนาน "ผมสีม่วง" ของ "เจ้าป้า"

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


จากไปแล้วอย่างสงบสำหรับไฮโซชื่อดัง "เจ้ากอแก้ว ประกายกาวิล ณ เชียงใหม่" หรือที่รู้จักกันดีในนามของ "เจ้าป้า" ในช่วงเวลา 10.30 น.ที่ผ่านมาของวันนี้ (13 มี.ค.) หลังถูกนำตัวส่งห้องไอซียู โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ เมื่อเวลา 21.00 น.ของวันพฤหัสฯ ที่ผ่านมา (3 มี.ค.) เพราะมีอาการเหนื่อยหอบ และหายใจขัด เนื่องจากปอดอักเสบ ก่อนจะมีอาการของหัวใจทำงานช้าลง สมองตาย ระบบหายใจล้มเหลว

เป็นการจากไปที่หลายคนจะต้องคิดถึงไฮโซอารมณ์ดีคนนี้อย่างแน่นอน โดยเฉพาะอย่างยิ่งผมสีม่วงและกิจกรรมหลักในการเดินสายตัดริบบิ้น

ต่อไปนี้คือประวัติความเป็นมารวมไปถึงที่มาของเส้นผมสีม่วงซึ่งเชื่อว่าอ่านแล้วหลายคนจะต้องอดไม่ได้ที่จะต้องอมยิ้มไปกับความน่ารักของไฮโซรุ่นใหญ่คนนี้อย่างแน่นอน

**********

หนึ่งในแวดวงของบุคคลไฮโซที่ได้ถูกนำมาล้อเลียนสร้างเสียงหัวเราะได้เป็นอย่างมาก ก็คือไฮโซหญิงที่มาพร้อมกับหัวสีม่วงสดใส "เจ้ากอแก้ว ประกายกาวิล ณ เชียงใหม่" หรือที่เรียกกันแบบกันเองว่า "เจ้าป้า"


ด้วยวัย 68 ปีในวันนี้หลายคนต่างบอกเหมือนกันว่าน่าจะเปลี่ยนจากสรรพนามคำเรียกจากเจ้าป้าเป็น "เจ้ายาย" หรือ "เจ้าย่า" จะเหมาะกว่า แต่ทว่าใครก็ตามที่ได้ใกล้ชิด ได้เห็นการเดินคำพูดจาและการทำงานของผู้หญิงคนนี้แล้วละก็ คงจะต้องบอกเหมือนกันว่า คำสรรพนามที่เรียกว่าเจ้าป้านั้นไม่ได้เกินเลยไปจากความเป็นจริงสักเท่าไร

"ทำไมจะต้องทำตัวแก่ด้วยล่ะ ไม่เคยมีผู้หญิงคนไหนหรอกที่จะให้ตัวเองเป็นคนแก่หรือเป็นคนอ้วน ทุกๆ คนก็อยากที่จะสาวจะสวยไปตลอดนั่นแหละ" เจ้าป้ากล่าวเปิดเผยกับผู้จัดการรายวัน ก่อนที่จะก้มหน้าก้มตาตัดกระดาษเอกสารที่จะใช้ประกอบการสัมนา มือก็ตัดปากก็เล่าเรื่องราวต่างๆ ที่เป็นที่มาของการกลายเป็นคนเด่นคนดัง ของแวดวงสังคมไฮโซรวมทั้งการเป็นดาราต้นแบบที่ในวงการบันเทิงนำมาล้อเลียนมากที่สุดคนหนึ่ง

"จริงๆ แล้วป้าก็มาจากทางบันเทิงนะ ตอนป้าอยู่ที่อเมริกาก็อยู่กับแฟมิลี่ที่เขาทำหนัง คือทำอยู่ที่บริษัททเวนตี้ เซ็นจูรี่ฟอกส์ ตอนนั้นก็ช่วยเขาทำเรื่อง เดอะคิงส์แอนด์ไอ เรียกว่าเป็นการช่วยแล้วก็เรียนรู้ดีกว่า เพราะว่าเราไม่ได้เรียนมาทางด้านนี้ ก็ให้คำแนะนำบ้าง แต่ไม่ได้ไปช่วยแบบแสดงอะไรให้ แต่มาแสดงหนังก็ตอนที่กลับมาเมืองไทยแล้ว"

"พอกลับมาที่ประเทศไทย ป้าได้ไปเดินแฟชั่นโชว์ ก็เพราะเดินแฟชั่นโชว์นั่นแแหละ ที่ทำให้เรามีโอกาสได้แสดงหนัง คือไปเดินแฟชั่นโชว์ที่งานกาชาด พวกหนังเขาก็ไปเห็น เขาก็ขอให้เรามาเล่น พอดีว่าตอนนั้นรู้สึกจะเป็นทางบริษัทแพลนแอมมั้ง เขาขอร้องให้เราไปประกวดนางงามในงานแปซิฟิกเฟสติวัลอะไรเนี่ยแหละ ไม่ได้นุ่งชุดว่ายน้ำนะ จะเป็นแบบว่านุ่งชุดประจำชาติ แล้วก็พูดในทีวีเกี่ยวกับเรื่องที่เป็นการโฆษณาเมืองไทยของเรา"

ที่ฮ่องกงนั้นเองเจ้าป้าบอกว่าชื่อเสียงของเจ้าป้าโด่งดังมาก มีนักข่าวตามสัมภาษณ์ลงข่าวแทบจะทุกวัน
"ประกวดเสร็จเขาก็ฮือฮากันมาก ลงข่าวทุกวันเลย ว่าตอนนี้เราไปไหน ทำอะไรอยู่ ทางประเทศไทยก็เลยเร่งเราใหญ่เลยพอกลับมาปุ๊บก็จับถ่ายหนังทันที แสดงเรื่อง "รอยเสือ" เป็นนางเอกด้วย (ยิ้ม) คู่กับเริงชัย โอย..ตอนนั้นเขากำลังดังมาก ก็คงสักประมาณ 47 หรือ 48 ปีที่ผ่านมานั่นแหละ เล่นเรื่องเดียวแล้วก็เลิกเลย"

"เพราะเรารู้ว่าเล่นหนังไม่ใช่ความสบาย คนภายนอกเขาจะมองว่าเล่นหนังมันได้เงินเยอะ จริงๆมันเป็นอะไรที่เรื่องมาก สำหรับคนที่ไม่มีอะไรทำก็โอเคเล่นได้ แต่ว่าเรารู้สึกว่าไม่ค่อยชอบใจเท่าไหร่ เพราะมันต้องไปตากแดด มันร้อน มันต้องท่องบทแล้วเราไม่ค่อยคล่องภาษาไทยด้วย ทุกอย่างมันไม่พร้อมเราก็เลยเลิกไปเลย ประกอบกับว่าเรามีงานอื่นๆ ต้องทำอีกเยอะ"

เจ้าป้ายังได้เล่าประวัติของตนเองให้ฟังคร่าวๆ ว่าที่ผ่านมานั้นชีวิตทำแต่งานมาตลอดและแทบจะไม่เคยยุดนิ่งเลย
"เกิดที่เชียงใหม่ พอหมดสงครามโลก ก็มาเรียนที่กรุงเทพ โรงเรียนมาแตร์ พออายุเกือบจะ 12 ก็ไปเมืองนอก เพราะว่าท่านทูตเป็นเพื่อนรักของท่านพ่อ อยู่เมืองนอกตลอด อายุ 21 ก็กลับมา ที่จริงยังไม่ค่อยอยากกลับ แต่ว่าพี่ชายเขาไม่ค่อยสบายมาก หมอบอกว่าอาจะจะไม่รอด ก็กลับมาสักอาทิตย์พี่ชายก็ตาย ตอนนั้นเราก็ทำงานแล้วนะเป็นบริษัทเดินเรือ"

"พอแต่งงานเสร็จก็กลับเมืองนอก เพราะว่าสามีต้องเข้าคอร์สเป็นสก๊อตแลนด์ยาร์ดที่อังกฤษ กลับมาประเทศไทยอีกทีก็ทำเกี่ยวกับพวกการเดินทาง ออกตั๋ว ขายตั๋วจัดทัวร์ พอดีตอนนั้นมีลูกเราก็ออกมา ก็มาทำงานที่โรงแรมที่เป็นโรงแรมแอมบาสเดอร์เก่า แล้วก็ไปทำพวกเกี่ยวกับการออกกำลังกาย จากนั้นก็มาอยู่ที่เดอะมอลล์ ตอนแรกตั้งใจจะอยู่ที่นั่นที่เดียว แต่ว่าทางไอซีซี. เขาบอกว่าทำที่นี่ด้วยสิก็เลยทำทั้งสองที่ก็ทำมาสักประมาณ 17 - 18 ปีแล้วมั้ง"

ที่ผ่านมานั้นถึงแม้ว่าเจ้าป้าจะเป็นที่รู้จักของคนในสังคมหมู่ไฮโซ มานานแล้ว แต่ในส่วนของคนภายนอกนั้นชื่อเสียงของเจ้าป้าเริ่มมาโด่งดังเอาเมื่อสักประมาณ 8 - 10 ปีนี้เอง ด้วยเอกลักษณ์ของการย้อมผมจนหัวกลายเป็นสีม่วงทำให้เธอกลายเป็นจุดเด่นทุกครั้งที่ไปออกงาน
"ย้อมมาประมาณสัก 10 กว่าปีได้แล้วมั้ง ก็เพราะผมมันหงอก" เจ้าป้าเอ่ยถึงสาเหตุที่มาของผมสีม่วง ส่วนมือก็ยังใช้กรรไกรตัดกระดาษยิกๆ

"ทีแรกเลย ป้าต้องการสีเปลือกมังคุด แต่ไม่รู้ว่าช่างเขาผสมยังไง ผสมไปผสมมามันก็กลายเป็นสีนี้ไปได้ พอออกมาอย่างนี้เราก็เออ สวยดีแฮะก็เลยเอาสีนี้ก็สีนี้แหละชอบ ตอนแรกๆ มันไม่มีสีอะไรให้เลือกมากนะ มา 5 ปีหลังนี่แหละที่สีมันออกมาเยอะมากทั้งสีแดง เขียว"

เจ้าป้าบอกว่าที่ผ่านมานั้นทำผมอยู่สีเดียวโดยตลอดและไม่คิดที่จะเปลี่ยนด้วยเนื่องจากว่าได้กลายเป็นสัญลักษณ์ไปแล้ว นอกเสียจากว่าจะมีคนที่ทำสีเลียนแบบออกมา
"แรกๆ ที่ทำออกมาทุกคนหันมามองหมดอะไรแบบนี้ แต่ว่าเรามั่นใจว่าโอเคสีนี้เป็นสีเรา ไม่ได้ไปหวังว่าคนจะชอบหรือไม่ชอบ เราชอบของเราเป็นใช้ได้ ป้าต้องการที่จะไม่ให้เหมือนคนอื่น ก็เลยทำออกมาเวลานี้ก็ยังชอบอยู่ เพราะว่าเวลานี้ทุกคนรู้จักเราสีนี้อยู่แล้ว และยังไม่มีใครที่เลียนแบบเราได้ ประมาณเดือนนึงก็จะย้อมทีนึง ส่วนมากก็เป็นร้านข้างบ้านเพราะสะดวก นอกจากว่าจะซอยหรือว่าจะเปลี่ยนทรงนั่นแหละถึงจะไปร้านใหญ่ๆ หน่อย"

เมื่อความสงสัยในเรื่องที่ว่า มีหลายๆ คนนำสีผม การแต่งกาย ตลอดจนพฤติกรรมต่างๆ มาล้อเลียนอย่างสนุกสนาน บางคนก็ตั้งฉายาให้เสร็จสรรพว่า "มนุษย์หัวม่วง" บ้าง "มือตัดหัวม่วง" หรือว่า "มนุษย์ริบบิ้น" บ้างนั้น เจ้าป้าจะรู้สึกอย่างไรนั้น? เจ้าป้าชะงักกรรไกรที่อยู่ในมือ ก่อนที่จะยิ้มออกมา พร้อมกับบอกอย่างอารมณ์ดีว่าไม่เคยรู้สึกอะไรเลย เพราะนั่นหมายถึงว่าตนเองจะต้องไปมีความสำคัญหรือมีอิทธิพลอะไรสักอย่างหนึ่งจึงทำให้มีคนพูดถึงอยู่เสมอ

" คนมอง ก็อยากมองเอง ช่วยอะไรไม่ได้ เราบังคับเขาไม่ได้แม้ว่าเขาจะเห็นเราตลกเอาเราไปล้อเลียนก็เถอะ แต่เราถือว่าเขาให้เกียรติเรา มันต้องมีอะไรสักอย่างหนึ่งสิที่ทำให้เขานึกถึงเรา เพราะฉะนั้นไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรเลย สบายมาก อยากทำอะไรก็ทำ"

"บางคนก็บอกว่าเราทำงานเพื่อเอาหน้า ไม่ได้จริงใจ..โธ่..ไม่จริงแล้วป่านนี้จะอยู่ได้อย่างไร ที่ไปออกงานสังคมบางทีก็ไม่อยากออกด้วยซ้ำเขาก็อยากให้ออก ป้าไม่เคยแคร์เลยนะเรื่องที่ออกงานแล้วจะต้องถ่ายรูปหรือว่าจะต้องให้เป็นข่าว บางทีหลบๆ ด้วยซ้ำพวกนักข่าวนี่แหละตัวดี..เอ้าเจ้าป้าไปไหน..เจ้าป้าๆ..มาๆ ถ่ายรูป เราก็หนีจนไม่รู้จะหนีอย่างไรแล้ว บางทีตัวเองยังเบื่อหน้าตนเองเลยตอนที่ออกข่าวน่ะ แล้วเราก็เกรงใจคนอื่นเขาอาจจะเบื่อรำคาญเห็นเราออกทุกวัน เดี๋ยวๆ ก็ออกอีกแล้ว"

"อ๋อแน่นอนเรื่องมารยาทของการเข้าสังคมเนี่ยสำคัญอยู่แล้ว อย่างที่เมืองนอกนี่พออายุ 18 เขาก็จะสอนเรื่องการเข้าสังคมกันแล้ว ที่ประเทสไทยนี่ไฮโซบางคนยังเข้าสังคมไม่เป็นเลย แต่คิดว่าตนเองเข้าเป็น อย่างป้านี่ถ้าได้รับเชิญมาก็จะดูก่อนว่าเป็นงานชนิดใด เขาขอร้องให้เราแต่งตัวอย่างไรหรือเปล่า โดยปกติก็จะแต่งที่ดูแล้วมันเข้ากับตัวของเราเอง...เครื่องสำอางค์นี่แทบไม่เลือกยี่ห้อเลยนะ มันไม่สิทธิ์เลือก เนื่องจากว่าเราอยู่กับบริษัทที่ผลิตเครื่องสำอางค์อยู่ บางทีก็มีคนซื้อมาให้ ขนมาให้ ยิ่งเสื้อชั้นในนี่แทบจะไม่ได้ซื้อเลย เพราะบริษัทก็ผลิตเช่นกัน"

ถึงแม้จะมีอายุที่เฉียดๆ จะ 70 ปีแล้ว แต่เจ้าป้าก็ยังพูดคุยและเดินเหินอย่างกระฉับกระเฉง เคล็ดลับตรงนี้เจ้าป้าบอกว่าไม่มีะไรที่ซับซ้อน ที่สำคัญคือต้องทานให้เพียงพอ นอนให้พอเพียง และออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ อย่างไรก็ตามไม่ว่าจะทำอย่างไร แต่ทุกๆ คนก็ไม่สามารถที่จะวิ่งหนีความแก่ ไปได้ ตรงนี้เองเป็นสิ่งที่ทำให้เจ้าป้าบอกว่าอยากจะพักผ่อนกับงานที่ทำอยู่เหมือนกัน

"เคล็ดลับไม่มีอะไรเลย ทานให้เพียงพอนอนให้เพียงพอแล้วก็ออกกำลังให้เพียงพอ อาหารก็ทานแบบที่ทุกคนทาน แล้วก็จะชอบทานแบบแซบๆ ร้อนๆ หน่อยเพราะมันทำให้การเผาผลาญดีขึ้น ไม่ค่อยชอบพวกอาหารเลี่ยนๆ อาหารจีนเนี่ยบางจานมันอ้วน...ป้านอนดึกนะ แต่ว่าตื่นสาย ช่วงเช้านี่จะไม่รับงานเลย นอกจากจะเป็นการประชุมที่มันจะต้องโต้ตอบ หากที่เป็นแบบต้องฟังเฉยๆ เขาก็จะส่งเทปมา"

"ตอนนี้ก็เป็นที่ปรึกษาอย่างเดียว มีของเดอะมอลล์ ของไอซีซี แล้วก็อีก 2 -3 บริษัท ทำมาแบบว่ายังไม่เคยได้พักเลย เคยพูดไว้แล้วนะตั้งแต่ก่อนที่จะ 60 ว่าจะทำเนสเซอรี่กับญาติๆ ก็มีคนมาขอให้เราไปช่วยงานอีก เพราะว่าตอนนั้นเขาจะเปิดเดอะมอลล์บางแค พออายุ 65 ก็จะเลิกแล้ว เอ้าปรากฏว่ามอลล์โคราชเปิดอีกนี่จะ 70 อยู่แล้ว ก็มีคนขอร้องให้ไปช่วยที่เอ็มโพเรี่ยมอีก"

"ในส่วนของวงการบันเทิง เมื่อก่อนนี้ก็รับเชิญเล่นละครเป็นประจำ ปีละเรื่องสองเรื่อง แต่เดี๋ยวนี้ไม่เอาเลย เพราะว่ากว่ามันจะไปถ่ายต้องเสียเวลา บางทีต้องไปคอยเป็นชั่วโมงๆ แล้วเราก็เริ่มที่จะรู้ตัวว่าเราแก่เกินไป อย่างพวกรายการทีวีขอมาก็ไปบ้างแต่ไม่อยากออกบ่อยเพราะว่าไม่มีเวลา ถ้าเป็นพวกรายกาเกมส์โชว์เราก็กลัวไปโง่ก็เลยไม่อยากออก รายการที่เป็นแบบว่าสัมภาษณ์ก็จะเลือกดูอีกนั่นแหละ เพราะว่าเราไม่ค่อยจะรู้เรื่อง ก็เคยมีคนเสนอให้ทำพวกรายการครัวบ้าง เป็นแบบโภชนาการบ้างแต่ว่าไม่เอาดีกว่าไม่อยากวุ่นวาย" เจ้าป้ากล่าวในท้ายที่สุด

การพูดคุยจบลง พร้อมๆ กับงานตัดกระดาษของเจ้าป้าก็เสร็จสิ้นลง วันนี้ของเจ้าป้าแม้จะไม่ข้องเกี่ยวกับวงการบันเทิงมากนัก แต่ทว่าตัวของเจ้าป้าก็ได้กลายเป็นสัญลักษณ์ของความบันเทิงในรูปแบบหนึ่งไปแล้ว

เพราะแค่นึกถึงสีผม,ฉายาและลีลาการตัดริบบิ้นเปิดงาน เพียงเท่านี้ก็สามารถทำให้คนที่เครียดๆ อยู่ยิ้มออกมาแล้ว...หรือไม่จริง...

(จากบทสัมภาษณ์เมื่อวันที่ 2 พฤศจิกายน พ.ศ.2545)
กำลังโหลดความคิดเห็น