ค่ายสหมงคลเป็นเจ้าแห่งการปลุกปั้นหน้าหนัง - ที่ส่วนใหญ่มักถูกทำให้เกินจริง (ด้วยชื่อเรื่อง โปสเตอร์ และตัวอย่างหนัง) อย่างกรณีหนัง Tales of Terror (ผี 8 หลุม) ล่าสุดนี้ก็น่าจะเข้าข่ายเดียวกัน ถ้าผมจำไม่ผิดข้อความประชาสัมพันธ์ได้บอกเอาไว้ว่า ตอนที่หนังฉายในญี่ปุ่น ทุกรอบจะต้องมีคนดูเป็นลมไม่ต่ำกว่า 5 คน
เมื่อโฆษณาขนาดนี้ ย่อมเป็นธรรมดาที่หลายคนจะต้องคาดหวังอย่างไม่ตั้งใจ และเมื่อผลปรากฎออกมาว่า ตัวหนังไม่ได้ทำให้เป็นอย่างนั้น ความผิดหวังก็ตามมาอย่างช่วยไม่ได้เหมือนกัน
ผมได้ยินคนหลายคนบ่นถึงผี 8 หลุมว่าเป็นหนังห่วยที่สุดในรอบหลายปี มีไม่น้อยที่บอกว่าเสียดายเงินและเวลา คิดว่าจะมาดูหนังสยองขวัญ แต่ดันได้ดูหนังตลกไร้เหตุผลแทน
เพราะจากย่อหน้าที่แล้ว ผมเลยเข้าไปดูหนังเรื่องนี้โดยไม่คาดหวังอะไรเลย แล้วก็กลายเป็นว่า ผมชอบผี 8 หลุมมาก และไม่ได้รู้สึกเสียดายเงินและเวลาเลยแม้แต่น้อย
สิ่งที่น่าจะรบกวนจิตใจคนดูมากที่สุดน่าจะมีอยู่ 2-3 ประการด้วยกัน หนึ่งคือภายในหนังเรื่องเดียวเรื่องนี้ ประกอบไปด้วยหนังสั้นๆ (ที่ไม่มีความเกี่ยวเนื่องกัน) จำนวน 8 เรื่อง คำนวณเวลาแล้วแต่ละเรื่องก็คงมีความไม่น่าเกิน 10 นาที
ด้วยระยะเวลาแค่นี้ คนทำหนังเลยไม่สามารถเล่าเรื่องราวที่ซับซ้อน ไปจนถึงทำให้บทภาพยนตร์สมบูรณ์ครบองก์ได้ และนั่นก็ได้โยงไปถึงปัญหาประการต่อมา คือทำให้หนังไม่มีเวลามากพอที่จะบอกเล่าที่มาที่ไปของเหตุการณ์สยองขวัญเรื่องนั้นๆ ได้อย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย
ฉะนั้นหลายตอนของผี 8 หลุมจึงจบแบบสั้นห้วน ก่อให้เกิดคำถามขึ้นในใจผู้ชมว่า ตกลงแล้วมันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ และเรื่องราวจะคลี่คลายไปในทิศทางใด
ผี 8 หลุม หรือ Tales of Terror เป็นหนังที่มีที่มาจากรายการโทรทัศน์จำพวกมิติลี้ลับ (คล้ายๆ กับบ้านเรา) ซึ่งละครผีสั้นๆ แต่ละตอนจะสร้างขึ้นจากจดหมายของผู้ชมทางบ้านที่เขียนมาเล่าให้ทางรายการฟัง อันอาจจะอนุมานเอาก็ได้ว่า บางเรื่องคงมีเค้ามูลความจริง และบางเรื่องก็คงเป็นแค่การอำกันเล่นๆ สนุกสนาน
หนังให้ข้อมูลว่า เรื่องสยองขวัญพวกนี้ถูกรวบรวมโดยนักเขียน 2 คนชื่อ คิฮารา ฮิโรคัตสึ และ นากายามา อิจิโร ทั้ง 8 เรื่องใช้ผู้กำกับ 7 คน ได้แก่ อากิโอะ โยชิดะ (ตอน The Night Watchman), ฮิโรฮิสะ ซูซุกิ (ตอน Gloves), เรียวตะ มิยาเกะ (ตอน Full-Length Mirror), เคสุเกะ โตโยชิมา (ตอน Line of Sight), เคตะ อาเมมิยะ (ตอน The Promise), โตชิคาซุ ฮิราโนะ (ตอน Hisao) และ โคสุเกะ ซูสุกิ (คนหลังนี้เหมาไปสองเรื่อง คือ Wisps of Smoke และ The Weight ซึ่งน่ามึนงงทั้งคู่)
ผมจนปัญญาที่จะหาข้อมูลว่าผู้กำกับเหล่านี้เป็นใครอย่างละเอียด ทราบว่าถ้าไม่เป็นคนทำหนังหน้าใหม่ก็คงเป็นพวกที่ทำหนังทีวีเป็นงานประจำอยู่แล้ว บางคนก็ทำหนังประเภท Direct-to-Video หรือคล้ายๆ หนังวีซีดีบ้านเรา รวมๆ แล้วก็เป็นคนทำหนังที่กำลังอยู่ในช่วงขัดเกลาและสร้างชื่อให้กับตัวเองทั้งสิ้น
ผีในทั้ง 8 ตอน ไม่ได้มีรูปลักษณ์แปลกไปกว่าที่คนดูคาดเดา มันได้รับอิทธิพลมาจากทั้ง The Ring, Kairo หรือ Ju-On แต่ก็อย่างที่ผมเคยเขียนไปแล้วคราวหนึ่ง (ในบทวิจารณ์เรื่องชัตเตอร์) ว่า การดีไซน์ผีจริงๆ แล้วมันไม่สำคัญเท่ากับว่า นำเอามันมาใส่ไว้ในบริบทอย่างไร ซึ่งในผี 8 หลุมเป็นตัวอย่างของการนำของซ้ำมาเล่าใหม่ได้น่าสนใจมาก
ตัวหนังนั้นชวนให้ผมนึกไปถึงการ์ตูนชุด "ชั่วโมงเรียนพิศวง" ของโยสุเกะ ทากาฮาชิ กล่าวคือเป็นเรื่องสั้นๆ ที่ไม่ต้องอาศัยการปูเรื่องอะไรมากมาย มาถึงก็หลอกกันไปเลย เหตุผลบางทีถ้าไม่จำเป็นก็โยนทิ้งไป คล้ายกับข้อเท็จจริงที่ว่า เวลาคนเราเจอผีจริงๆ เราเองก็ไม่เคยหาเหตุผลสักทีว่า เราโดนหลอกเพราะอะไรกันแน่
ข้อดีของข้อเสียเรื่องเวลาจำกัดอยู่ตรงนี้นี่เอง หนังหลุดพ้นจากสูตรสำเร็จหนังสยองขวัญทั่วไป ด้วยการยกเหตุผลหรือแรงจูงใจไปวางไว้เสียที่อื่น ตรรกะบางอย่างที่คนดูเคยรับรู้กันถูกแปรจนเสียรูปขบวน - เป็นอย่างนี้หลายคนอาจหงุดหงิด แต่ผมชอบมาก
ในความคิดเห็นส่วนตัวของผม ผีที่น่าหวาดกลัวคือผีที่เราไม่สามารถเอาแน่เอานอนอะไรกับมันได้เลย มันชวนให้คิดไปว่า ถ้าเราอยู่ของเราดีๆ ไม่แน่ว่ามันอาจจะปรากฏตัวเพื่อมาเล่นตลกอะไรก็ได้ เชื้อเชิญให้ความกลัวหลังเปลือกตา-เจริญเติบโตอย่างออกดอกออกผล
กรรมวิธีการสร้างบรรยากาศของหนังก็น่าสนใจ อย่างในเรื่อง Wisps of Smoke (หนึ่งในเรื่องที่จบอย่าง "ห้วน" ที่สุด) หญิงสาว 3 คนกำลังขับรถไปร่วมงานเลี้ยง แต่เส้นทางก็ทำให้พวกเธอสับสน ระหว่างที่นั่งพักเหนื่อยเพราะจนปัญญาจะไปต่อแล้ว หนึ่งในนั้นได้รับแมสเสจทางโทรศัพท์จากแฟนหนุ่มว่า "เมื่อไหร่จะมาถึง อยู่ที่ไหนแล้ว เดี๋ยวจะไปรับ"
หญิงสาวเจ้าของข้อความเริ่มสันหลังวาบ จนเพื่อนๆ ต้องถามว่าเป็นอะไร เพราะเมื่อครู่นี้ยังพูดกันเล่นๆ อยู่เลยว่า จะเล่นตัวกับแฟนหนุ่มสักหน่อย "ข้อความมีอะไรผิดปกติเหรอ?" เพื่อนคนหนึ่งถาม
เธอตอบว่า ในข้อความไม่มีอะไรผิดปกติหรอก แต่เธอขนลุกขึ้นมาเพราะเห็นประโยคที่ว่า "อยู่ที่ไหนแล้ว" - และก็นึกถามกับตัวเองบ้างว่า ตกลงตอนนี้เธออยู่ที่ไหนกันแน่
ช่วงขณะเดียวกัน หนังก็ตัดไปเป็นภาพมุมกว้างเผยให้เห็นหญิงทั้ง 3 คนนั่งอยู่ในความมืดสลัว รายรอบตัวเธอมีแผ่นหินสลักปักอยู่เป็นหย่อมๆ ซึ่งจะเป็นอะไรไปไม่ได้นอกจาก ที่นี่คือสุสาน - พูดถึงตรงนี้แล้วก็ขนลุก มันเป็นวิธีการเก่าๆ ง่ายๆ แต่เมื่อทำอย่างถูกจังหวะจะโคนแล้วก็ให้ผลทางอารมณ์มหาศาล
ตอนที่ผมชอบมากคือ ตอนที่ชื่อ Line of Sight เป็นเรื่องของเด็กสาวมัธยมที่มักบันทึกภาพตัวเองลงกล้องวิดีโอไว้ก่อนจะจบการศึกษา ทั้งหมดจะพูดถึงความฝันในอนาคตตัวเองต่อหน้ากล้อง แล้วจะเก็บมันไว้ในแคปซูลกาลเวลา อีก 10 ปีค่อยมาเปิดดูว่า แต่ละคนทำได้อย่างที่หวังไว้หรือไม่
เด็กสาวตัวละครเอกในเรื่องเธอฝันอยากเป็นดารา ก่อนจะลบทิ้งไป เพราะแน่ใจว่าคงเป็นไปได้ยาก แล้วบอกกับกล้องใหม่อีกหนว่า เธออยากเป็นนักบัญชี เพราะแม่เธอเป็นนักบัญชี (และแม่คงอยากให้เธอทำอาชีพนี้มากกว่า)
ปัญหาก็คือ หลังจากเปิดดูภาพของตัวเอง เด็กสาวเห็นเงาประหลาดอยู่ด้านหลัง ชั่วข้ามคืนเรื่องกระจายไปทั่วโรงเรียน เธอกลายเป็นคนดัง มีรุ่นน้องมาขอดูเทปลึกลับนั้นมากมาย จนกระทั่งเธอก็ได้พบเจ้าของเงาที่ว่านั่นเข้าจริงๆ
ผีสาวในภาพพูดกับเธอว่า ใครที่ไหนกันจะล่วงรู้อนาคตของตัวเองและเธอ (ผี) ก็จะติดตามเด็กสาวตลอดไป เพื่อดูว่าสุดท้ายแล้วสิ่งที่ได้ตั้งความหวังไว้ จะสำเร็จหรือไม่
ผมคงไม่ได้คิดมากไปเองว่า ตัวผีในเรื่องเป็นสัญลักษณ์แทนความหวาดกลัวในอนาคต ของเด็กวัยรุ่นที่จะหลอกหลอนไปจนกว่าพวกเขาโตพอที่จะไม่กลัวมันอีก อะไรหลายอย่างในสังคม (หลักๆ คือพ่อแม่) ตั้งความหวังไว้กับเด็กมากเกินไป จนพวกเขาไม่เป็นตัวของตัวเอง มันแย่พอๆ กับการถูกผีหลอกนั่นเลย
แค่ 2 หลุมนี้ก็ทำให้ผมพอใจมากแล้ว (อันที่จริงคือผมชอบทุกหลุม) มันไม่ได้น่ากลัวมาก แต่สำหรับผม หนังมัน "พิศวง" ดี และนานมากแล้วที่ไม่ได้ดูหนังซึ่งให้ความรู้สึกแบบนี้
หนังไม่ได้ดีถึงขนาด Kwaidan หรอกครับ แต่ก็คงจะใจร้ายเกินไปหน่อยที่จะบอกว่า มันเป็นหนังที่ห่วยที่สุดในรอบหลายปีมานี้.