มหันตภัยคลื่นยักษ์สึนามิเมื่อ 26 ธันวาคม 2547 ได้ทำลายทุกสิ่งทุกอย่างไปอย่างราบคาบ
แต่ภายใต้ความสูญเสียที่เกิดขึ้นก็ยังมีบางสิ่งที่กลับมาสดใสและหล่อเลี้ยงความรู้สึกของคนได้อีกครั้ง นั่นก็คือเพลงเพื่อชีวิต ที่ช่วยซับน้ำตาและปลอบโยนความรู้สึกของผู้สูญเสียให้ลุกขึ้นมายืนใหม่ได้อย่างเข้มแข็ง เฉกเช่นเดียวกับวงการเพลงเพื่อชีวิต ที่กลับมายืนหยัดในวงการเพลงไทยได้อีกครั้ง
โดยเฉพาะสี่หนุ่มรุ่นใหญ่ "แฮมเมอร์" ที่กลายเป็นตำนานที่มีบทบาท ในการนำเสนอวิถีชีวิตของพี่น้องชาวใต้ ให้เราได้เข้าใจถึงแก่นแท้ของปัญหาไฟใต้ที่กำลังคุกรุ่นอยู่ในตอนนี้
- จริงมั้ยที่ว่าวงการเพลงเพื่อชีวิตมีสีสันมากขึ้น หลังจากเกิดเหตุการณ์คลื่นสึนามิ?
ใช่คิดว่ามีส่วนมาก เพราะที่ผ่านมา เพลงเพื่อชีวิตซบเซามาก เรามีความรู้สึกว่าตอนนี้ มันเป็นขาขึ้นแล้ว เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นในสังคม มันก็มีสาเหตุให้ศิลปินเพลงเพื่อชีวิตได้ลุกขึ้นมาทำสิ่งใด เมื่อมันออกมาแล้ว มันก็อยู่ที่ว่าตัวศิลปินเอง จะทำอะไรต่อเนื่องกันหรือไม่
เพราะดนตรีทั่วไป ที่ไม่ใช่เพื่อชีวิตจะไม่ได้มองถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น รวมไปถึงชีวิตความเป็นอยู่ของคน บางคนมองว่าทำไมพวกเราถึงทำเพลงออกตามเหตุการณ์เพราะมันเป็นหน้าที่ไปแล้วไง เกิดเด็กกำพร้าขึ้น เกิดความเสียหายขึ้น เกิดความจนขึ้น ส่งผลให้เพลงเพื่อชีวิตต้องลงไปดูแล ถือว่าสิ่งนี้พระเจ้าให้เลยนะ เหตุการณ์ธรรมชาติทำให้เพลงเพื่อชีวิตกลับมามีผลงานอีกครั้ง
- หายไปทำอะไรมาบ้าง?
หายไปจากสื่อมากกว่า จริงๆ งานชุดนี้ชุดที่ 34 (คิดถึงปักษ์ใต้) เราทำต่อเนื่องนะครับ แต่ไม่มีโอกาสได้ประชาสัมพันธ์ เราทำเองไม่ได้อยู่ค่ายมานานเกือบสิบกว่าปี ทำกันเองมันก็เลยเงียบหน่อย โดยให้ค่ายใหญ่จัดจำหน่าย แต่อยู่กับวอร์เนอร์นี่ เขาทำทุกอย่างไม่ต้องทำเอง คือค่ายสุดท้าย ที่เราอยู่ในค่ายใหญ่คือ นิธิทัศน์
- จุดเด่นของอัลบั้มชุดล่าสุด?
เราต้องการจะสื่อสารวัฒนธรรมเพลงเพื่อชีวิต ของภาคใต้ ส่วนใหญ่จะมีเพลงที่เกี่ยวข้องกับภาคใต้มาเพลงสองเพลง คิดถึงปักษ์ใต้จะมีสำเนียงของทางภาคใต้ ทั้งอัลบั้ม
- ในส่วนของดนตรี งานเพลงชุดนี้มีการเปลี่ยนแปลงอย่างไรบ้าง?
แฮมเมอร์มีความหมายของวงอยู่อย่างหนึ่งว่าเราเป็นวงที่สื่อสาร สะท้อนภาพเพื่อชีวิต และสังคม ซึ่งทำให้ถูกเรียกว่าดนตรีเพื่อชีวิตจนถึงปัจจุบัน แต่ดนตรีแบบนี้เมื่อก่อนไม่ได้เรียกว่าเพลงเพื่อชีวิต เป็นเพลงเพื่อการสร้างสรรค์และให้กำลังใจ ทางด้านดนตรีก็มีส่วนผสมที่เพิ่มขึ้น มีทั้งอคูสติก เราเสริมกลองชุด กีตาร์ไฟฟ้า เบสไฟฟ้าลงไปบ้าง แต่ไม่เปลี่ยนซาวนด์แบบแฮมเมอร์อย่างแน่นอน
เมื่อสิบปีที่ผ่านมา เราลองประยุกต์ดนตรีมาบ้าง แต่โดนวิจารณ์มาโดยตลอด ว่าการเปลี่ยนแปลงทำให้เกิดการบดบังกลิ่นอายแฮมเมอร์แบบเดิมมาตลอด และชุดนี้น่าจะลงตัวที่สุดแล้วเพราะมันมาจากประสบการณ์สิบปีทีเราสะสมมา
- มีการนำความขัดแย้งในสามจังหวัดทางภาคใต้มานำเสนอผ่านบทเพลงบ้างไหม?
พูดถึงภาษาก่อน ภาษายาวีไม่เคยถูกยกขึ้นมาเป็นภาษาหนึ่งในประเทศไทย มันจึงถูกอึมครึมมองว่าเป็นวงนอกมาโดยตลอด ถูกมองว่าไม่ใช่คนไทย เราจึงเอาเพลงปักษ์ใต้บ้านเรา มาแปลงเป็นภาษายาวี แต่ในอัลบั้มชุดนี้เราใช้ภาษากลางและภาษายาวีมาผสมกัน ให้เห็นเป็นความกลมกลืน เป็นหนึ่งในภาษาไทย เป็นการยกระดับภาษายาวี
สองคือในเนื้อเพลงจากใจลุ่มน้ำปัตตานี เพลงสุดท้ายของอัลบั้มอันนั้นคือเจตนารมณ์ที่เราต้องการจะบอกว่า ผมเป็นคนปัตตานีเนี่ย ผมเป็นคนไทย เหมือนเป็นกระบอกเสียงบอกไปว่าเรารู้สึกยังไงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ให้ได้รู้ว่าโต๊ะครูคืออะไร ปอเนาะคืออะไร เพลงแฮมเมอร์ได้บอกวิธีการแก้ไขปัญหาแบบชาวบ้าน อยู่ที่ว่าใครจะแกะออกมาให้เป็นความหมาย เราต้องการสันติสุขครับ เราไม่ต้องการอาวุธ
- ถือได้ว่าเป็นการเสียดสีทางการเมืองไหมในบทเพลงหรือเปล่า?
ไม่ได้เป็นการเสียดสีทางการเมือง เราเน้นความสามัคคี เราอยากจะสื่อว่าเขารักกษัตริย์ รักในหลวง ทำไมต้องคิดว่าเขาอยากจะแยก พระมหากษัตริย์ทรงธรรม ทรงความดี ประเทศไทยไม่มีกษัตริย์คือไม่ใช่ไทยแล้ว
วันนี้พวกเขายังเคารพกษัตริย์อยู่ เขาเป็นคนไทย อย่าไปมองว่าเขาเป็นแขกยะวาห์ หรือมาเลเซีย แต่ถ้าในวันที่ประเทศไทยมีประธานาธิบดี หรือท่านทักษิณเป็นประธานาธิบดีผมไม่รู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้น เราไม่ได้ก้าวร้าวแต่อยากให้มองปัญหาด้วยความเข้าใจ เพลงของเราเป็นกึ่งจิตวิทยามากว่า ลองฟังดูแล้วเพลงจะไม่เครียดเลย คือเรานำเสนอว่าเราต้องการสร้างสันติสุข แฮมเมอร์ต้องการบอกวิธีการแก้ปัญหา แค่คุณวางปืน การแก้ไขปัญหาภาคใต้คือการแก้ปัญหาแบบมุสลิม ใช้ยี่สิบเปอร์เซ็นต์เข้าไปแก้ปัญหาแปดสิบเปอร์เซ็นต์ มันเป็นการไปฝืนเขา
- ฟังดูเหมือนเนื้อเพลงจะแรง คิดว่าจะมีปัญหามั้ย?
คงไม่โดนแบนแน่นอน เพราะได้รับการตรวจทานด้านเนื้อเพลงทั้งจากกระทรวงกลาโหมแล้ว เขาเห็นด้วย โดยเฉพาะตรงประโยคที่ว่าเรารักประเทศไทย เรารักในหลวง เขาก็ให้ผ่านแล้ว เราไม่ได้แต่งเพลงเข้าข้างใคร เพราะเรามีความเป็นกลาง
- มองภาพรวมวงการเพลงเพื่อชีวิตตอนนี้เป็นอย่างไร?
มองว่าเป็นขาขึ้น ต้องคิดว่าเราจะสร้างอะไรเพื่อวงการเพลงเพื่อชีวิต เมื่อมีโอกาสเปิดให้ คือสมัยก่อนคนส่วนมากชอบคิดว่า นักดนตรีเพลงเพื่อชีวิต มันจะเป็นคนก้าวร้าว แต่งตัวสกปรก แต่แบบโฮปก็ดีนะ มีความอบอุ่นและเป็นครอบครัว และเพลงเพื่อชีวิตมีผู้หญิงเข้ามา มันก็มีสีสัน ผู้ชายเข้มๆ ก็สร้างสีสันได้ เหมือนลบภาพเก่าๆ ที่มองว่า เพื่อชีวิตขี้เมา เพื่อชีวิตก้าวร้าว
ตอนนี้คนเพื่อชีวิตรุ่นใหม่ควรจะสร้างสรรค์สิ่งใหม่ขึ้นมาบ้างได้แล้ว รุ่นใหม่ อย่ามามองแค่แฮมเมอร์ น้าหงา มันต้องมีสิ่งใหม่เกิดขึ้นแล้ว อย่ายึดติด แต่อยากบอกว่าในวงการเพลงเพื่อชีวิตมีจุดศูนย์กลาง เราเดินหากันได้ทุกวัน ใครเป็นอะไรแต่ละวัน แต่ต้องระวังนะ เพราะตอนนี้สังคมมีการเปลี่ยนแปลงมากขึ้นทุกวัน
- กังวลบ้างไหม ที่ช่องทางที่เราจะนำเสนอไปสู่คนฟังมันมีน้อย?
คิดมาตลอด แต่มันชินแล้ว ซึ่งเราอยู่เฉยๆ แล้วไม่นำเสนอผลงานออกมาเลย มันก็เป็นไปไม่ได้ เราอยู่มาเป็นสิบปี ตรงนั้นเรารู้ เพราะเราไม่คิดมากเรื่องเงิน เพราะตัวเรายังเดินอยู่ ยังเล่นดนตรี ยังไปร่วมงานสังคมทุกส่วน คือเราต้องช่วยตัวเองสูง จะมาอาศัยค่ายเพียงอย่างเดียวไม่ได้
อยากจะบอกว่าคนที่ทำเพลงเพื่อชีวิต เท่าที่พวกผมทำกันมาเราไม่จำเป็นต้องออกสื่อเลย เราจะมีแฟนเพลงที่ตามงานและคอยฟังผลงานเพลงของเราตลอดเวลา แต่ที่มาอยู่วอเนอร์เพราะว่าเราต้องการขยายกลุ่มคนฟัง แต่เราไม่ต้องการยัดเยียดอะไรมากมาย เพราะเพลงมันคนละอย่างกัน เพียงแต่ทำยังไงให้คนได้ฟังเพลงของเรามากขึ้น ทุกวันนี้เรารู้สึกว่าสื่อสารมวลชนมันพัฒนามากขึ้นแล้ว มันมีช่องทางเยอะขึ้น
- นักดนตรีรุ่นใหม่ในวงการเพลงเพื่อชีวิต คนไหนที่น่าจับตามองบ้าง
ตอนนี้ยังมองไม่เห็น เท่าที่เห็นผ่านมา หลายๆ คนเปลี่ยนแปลงไป ทั้งท่าทาง บทเพลง ผมคิดว่านักดนตรีเพื่อชีวิตรุ่นใหม่ ชอบไปยึดติดภาพลักษณ์เก่าๆ ไม่มองตัวตนที่แท้จริงของตัวเองว่าเขาคือคนรุ่นนี้ อยู่กับปัจจุบันไม่ใช่อดีต เพราะตลาดมีเพลงเพื่อชีวิต นายทุนก็อยากจะได้เพลงเพื่อชีวิต อะไรก็ได้มาทำเป็นเพลงเพื่อชีวิต เอ็งเป็นใต้หน่อย เอ็งก็มาแบบแฮมเมอร์ ไม่ได้มีความคิดของตัวเอง
ทุกคนต้องคิดว่าเพลงเพื่อชีวิตเกิดขึ้น โดยไม่ได้มีคำว่าธุรกิจมานำหน้า คือคุณต้องจริงใจ และมีเจตนาที่ดีก่อน มีความใกล้ชิดกับสังคม ในทางที่ดี เพราะเพลงเพื่อชีวิตไม่ได้มีกฎระเบียบอะไรมากมาย แต่ที่ไม่มีคนรุ่นใหม่ สามารถแจ้งเกิดได้ซะที ส่วนหนึ่งน่าจะมาจากการที่เขาเกร็งกับบทบาทและการนำเสนอตัวเองมาเปรียบเทียบ และยึดติดกับรุ่นใหญ่มากเกินไป