ใกล้เข้ามาแล้วสำหรับเทศกาลวันวาเลนไทน์ที่กำลังจะมาถึงในวันที่ 14 กุมภาฯ งานนี้ไม่ใช่เพียงฝรั่งเมืองนอกเมืองนาเท่านั้นที่ให้ความสนใจต่อวันดังกล่าว ทว่าบ้านเราเองก็ร่วมขบวนไปกับเขาด้วยเช่นกัน แถมยังตื่นเต้นมากกว่าซะอีก
ช่วงนี้ไม่ว่าจะไปไหน ทุกที่ดูจะเต็มไปด้วยคนที่มีความสุข มีแต่คนพูดกันถึงเรื่องของความรัก เรื่องของแฟน อย่างไรก็ตาม ใช่ว่าความรักจะให้แต่ความสุขเสมอไปซ้ำร้ายในทางตรงกันข้ามมันกลับบันดาลให้มีแต่ความทุกข์ทรมานเสียด้วยซ้ำ
เหมือนกับเรื่องราวของอดีตนางแบบชื่อดัง "พอลลีน เรือนเพชร" (ภ., นางแบบ, ละคร โสนน้อยเรือนงาม) ที่จะมาบอกเล่าให้ฟังดังต่อไปนี้
หลายคนคงจะจำกันได้เมื่อครั้งที่เจ้าตัวเป็นข่าวดังขึ้นมาแล้วครั้งหนึ่ง ด้วยการประกาศแต่งงานครั้งที่สองกับสามีคนเดิมในช่วงปี 2545 หลังจากที่หย่าขาดกับสามีมาแล้วตั้งแต่ปี 2543 เพราะทนถูกทำร้ายร่างกายไม่ไหว (ฝ่ายสามีเป็นผู้รับเลี้ยงดูลูกสาวทั้ง 2 คน น้อง "เต้ - ณัฐปรียา" และน้อง "กระต่าย – พิรญาณ์") โดยเจ้าตัวได้ให้เหตุผลของการกลับไปใช้ชีวิตคู่อีกครั้งว่า ไม่อยากให้ลูกอยู่ในสภาพบ้านแตกสาแหรกขาด
หลังจากนั้นมาข่าวคราวของเธอก็เงียบหายไป จนหลายคนคิดว่าประสบการณ์ที่ผ่านมาในครั้งแรกอาจจะทำให้ชีวิตการแต่งงานครั้งที่สองดีขึ้น หากแต่ในความจริงไม่ได้เป็นเช่นนั้นเลย...
“ที่มาพูดวันนี้ไม่ได้คิดที่จะมาประจานเขา แต่เพื่อให้เรื่องครอบครัวของพอลลีนเป็นอุทาหรณ์สำหรับครอบครัวอื่นๆ มั่นใจว่าทุกครอบครัวย่อมมีปัญหาเกิดขึ้นเหมือนกันแล้วแต่ว่ามันจะหนักหรือเบาเท่านั้นเอง เป็นเรื่องของคน 2 คน”
เจ้าตัวย้อนเล่าถึงสาเหตุของปัญหาที่เกิดขึ้นให้ฟังว่า.....
“คบกันมาตั้งแต่พ.ศ. 2531 ตอนนั้นคือเริ่มเป็นนางแบบแล้ว อายุประมาณ 15 ปี เขาเป็นนักเรียนนายร้อยปี 2 ถ้าพอลลีนจำไม่ผิด แล้วก็แต่งงานกันตอนปี 2541 สิบปีที่อยู่ด้วยกันไม่มีปัญหาอะไร อาจมีปากเสียงกันบ้าง เป็นแฟนกันรักกันมาก เขาไปต่างจังหวัดพอลลีนไปหาเขาบ่อยๆ ไปอยู่ด้วย เขาไม่เคยแตะต้อง ทำร้ายร่างกาย บางทีเมามาก็จะเข้ามากอดพอลลีนแน่น”
“ตอนนั้นเริ่มมีรายได้จาการเดินแบบ ถ่ายแฟชั่น เขามีเงินเดือนแต่มันน้อยก็เลยคิดว่าช่วยๆ กันแชร์ค่าใช้จ่ายกันตรงนี้ อยู่ด้วยกันไปๆ มาๆ อย่างเขากลับมาที่กรุงเทพเขาก็นอนบ้านเขา พอลลีนก็นอนบ้านตัวเองแต่จะไปหากัน อะไรประมาณนี้ที่บ้านก็รับรู้”
“ปัญหาเกิดตอนที่พอลลีนตั้งท้อง เริ่มมีลูกช่วงแรกไม่มีอะไร แต่พอท้องเริ่มใหญ่ขึ้น ปกติพอลลีนจะเป็นคนเงียบๆ นิ่งๆ เขาเป็นคนที่เวลาไม่กินเหล้าจะดีมาก แต่ก็เป็นคนใจร้อนมาก เคยเห็นเขาทำร้ายคนอื่น ชกต่อยกับพวกวัยรุ่นสมัยเรียนแต่ก็ไม่เคยทำร้ายเรา”
“วันนั้นจำได้ว่าเขาเมา ตัวเองนอนอยู่เปิดประตูเข้ามา พอลลีนนอนร้องไห้น้อยใจที่เขาไม่มาดูแลเอาใจใส่ตามประสาคนท้องปกติ อยากให้เขามาเอาใจใส่ สิ่งแรกที่รู้สึกคือเขาขว้างรองเท้ามาแต่ไม่โดน แล้วก็เป็นกระเป๋า ใจก็เสียวๆ กลัวจะโดนท้องเดี๋ยวจะเป็นอันตรายแก่ตัวเรา เป็นแบบนี้มาเรื่อยๆ ก็เลยโอเคเขาเมาเราก็หลับซะ เพราะใกล้จะคลอดแล้ว”
นางแบบสาวยังกล่าวอีกว่าก่อนหน้าที่เริ่มตั้งท้องใหม่ๆ แม้หลังคลอดระยะแรกอดีตสามีเอาใจใส่ตนเป็นอย่างดี จึงไม่คาดคิดจะมีเรื่องร้ายแรงแบบนี้เกิดขึ้นกับครอบครัว
“ก็ดีอยู่ มีนมมีน้ำส้มมาให้ทุกวัน หลังคลอดก็ซักผ้าอ้อม ชงนม ล้างขวดนมคือเขาดีทุกอย่างจนเรามีความรู้สึกมีความสุขที่ในเป็นอย่างนั้น ยังพาไปช็อปปิ้งกันอยู่ ไปนอนเฝ้าโรงพยาบาลหลังคลอดเลี้ยงเอง เดือนแรกก็ไปจ้างพี่เลี้ยง เพราะเงินเดือนเขาน้อยก็เลยคิดว่าออกไปหางานทำดีกว่า พอดีมีเพื่อนนางแบบก็เลยไปสมัครเป็นประชาสัมพันธ์ ต้องไปดูแลลูกค้าวีไอพีต่างจังหวัดในวันเสาร์-อาทิตย์ แต่วันธรรมดาก็กลับบ้าน เพื่อเป็นค่านมให้ลูก แต่พอเหล้าเริ่มเข้าปากเขาก็เริ่มเปลี่ยนไป”
วันที่เกิดเรื่องนางแบบสาวบอกว่า ตนเดินทางไปทำงานต่างจังหวัด แต่ลูกไม่สบายเลยต้องเดินทางกลับมาก่อน มาเจอสามีดื่มเหล้าเมามายกับเพื่อนฝูงโดยไม่สนใจลูกซึ่งกำลังไม่สบาย เลยมีปากเสียงกันเล็กน้อย และก็เป็นครั้งแรกที่โดนซ้อมเกือบปางตายจนต้องไปนอนพักรักษาตัวที่โรงพยาบาลนานร่วมสองอาทิตย์
“พอดีวันนั้นต้องไปทำงานต่างจังหวัดแล้วพี่เลี้ยงโทรบอกว่าลูกไม่สบาย เลยโทรไปหาเขาบอกติดงานให้พาลูกไปหาหมอก่อน แต่ด้วยความที่เป็นห่วงลูกเลยกลับมาวันนั้นเลยโดยที่ไม่บอก กลับมาพี่เลี้ยงบอกเขายังไม่พาลูกไปนั่งกินเหล้ากับเพื่อนอยู่บนระเบียงข้างบน พอลลีนก็เข้าไปถามว่าทำไม แล้วก็พูดว่าเห็นเหล้าดีกว่าลูกใช่มั้ย แล้วก็เดินลงมาพาลูกไปหาหมอ”
“ไปหาหมอก็ขอยาแก้ไขมากิน 2 เม็ด เพราะรู้สึกปวดหัวไม่ค่อยสบาย บ้านมันเป็นแฟลตตำรวจมี 2 ห้อง พอลลีนก็เผลอหลับไปตรงโซฟาประมาณ 2 ทุ่ม ก็ได้ยินเสียงเคาะประตูดังมาก เราก็ไปเปิดทำท่าจะลุกไปก็เหมือนมีของแข็งโดนกระจกแล้วมันแตกเราเลยไปดูว่ามันเกิดอะไรขี้น (ร้องไห้) มันมีอะไรเยอะ”
“ปรากฎว่าพอลลีนโดนชกก่อน แล้วเขาก็ผลักเรากระเด็น ไม่มีทางสู้ได้ด้วยความที่เป็นผู้หญิงบวกกับตอนนั้นกินยาแก้ไข้เข้าไปด้วยเสียวหัวใจเหมือนจะเป็นลม ประมาณ 1 ชั่วโมงที่เขาซ้อมอยู่ จนมันไม่ไหวแล้วพอลลีนร้องไห้และถามเขาว่าพอลลีนทำอะไรผิดเราเลิกกันก็ได้ พี่เลี้ยงพาไปหาหมอไปนอนโรงพยาบาลพญาไทอยู่ 2 อาทิตย์”
เกิดเหตุการณ์แบบนี้ทำไมไม่ร้องให้คนช่วย?
“พอลลีนก็ตะโกนนะแต่ไม่มีใครกล้ามาช่วย มียายแก่พูดขึ้นมาว่าไม่ไหวแล้วมันจะตายแล้วนะ จากนั้นก็มีพี่มาช่วย 2 คน พอลลีนก็กึ่งวิ่งกึ่งเดินไปหาพี่เลี้ยงให้เขาช่วยพาไปหาหมอหน่อย เขาก็เปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วก็พาไปหาหมอ”
หลังจากออกจากโรงพยาบาลแล้วก็ต้องกลับมารักษาตัวที่บ้านอีกร่วม 6 เดือนเนื่องจากมีเลือดคั่งในตาทำให้เกิดอาการอักเสบ
“ในตาขาวจะมีเลือดคั่ง หน้าตาบวมทั้งสองข้าง แต่บังเอิญมีงานแฟชั่นโชว์เข้ามาเลยปรึกษาคุณหมอก็ดูดเลือดที่คั่งออกไป พอลลีนโชคดีที่ดูดแล้วไม่เป็นอะไร แล้วรักษาต่ออีก 6 เดือนจึงหายเป็นปกติ”
ระหว่างนั้น สามีจอมโหดก็ไม่ได้ไปเยี่ยมหรือให้กำลังใจแต่อย่างใด มีเพียงการคุยทางโทรศัพท์ในทำนองที่สำนึกผิดด้วยวาจาที่ไม่ค่อยสุภาพสักเท่าไหร่
“เขาไม่ได้ไปเยี่ยม จนหายกลับไปอยู่บ้านที่สัตหีบ เขาโทรมาง้อให้กลับไปอยู่ด้วยกัน ด้วยคำที่ไม่ค่อยสุภาพสักเท่าไหร่ว่า ...ถ้ามึงไม่กลับมึงจะโดนอีก... ตอนนั้นคิดจะเลิกแม่ก็บอกว่าคิดให้ดียังมีลูก ก็เลยกลับมานั่งคิดว่าที่เป็นแบบนี้เพราะเรามีส่วนผิดด้วยหรือเปล่า ก็เลยให้โอกาสกลับมาอีก”
“ยอมกลับไป คิดแค่ว่าเราคงผิดด้วยที่ไปต่อว่าเขาต่อหน้าเพื่อน ซึ่งพอลลลีนก็ไม่ได้ด่านะเป็นการถามมากกว่า แล้วเขาก็บอกว่าจะไม่ทำอีกแล้ว เราก็เชื่ออยู่กันเขาก็ไม่กินเหล้าไม่มีปัญหาต้องการให้รักกันเหมือนเดิม”
หลังจากนั้น ก็มีเรื่องให้ต้องทะเลาะ ทำร้ายข้าวของกันอยู่บ่อยๆ แล้วก็จบลงด้วยการตามงอนง้อขอคืนดีจากฝ่ายชาย
“เป็นครั้งที่ 2 วันนั้นเขาเมามากกลับมาทำร้ายข้าวของในบ้าน มันเป็นอย่างนี้มาตลอดแต่ไม่ถึงตัว ก็เลยโทรไปหาอาซึ่งเขาอยู่ประชาชื่น หาญาติให้มาอยู่เป็นเพื่อน อาก็รีบมาซึ่งพอมาถึงจำได้ว่าตอนนั้นเขาจะขว้างขวดเบียร์มา จนต้องญาติต้องให้อาผู้ชายเข้าไปตบถามว่าเป็นอะไร”
“ยังไม่มีอะไร เขามาขอโทษ มานั่งจับเข่าคุยแล้วก็ร้องไห้กันไปทั้งสองคน เขาขอเริ่มต้นก็กลับไปอยู่ด้วยกันใหม่ก็โอเคทนเพื่อให้ชีวิตครอบครัวมันดีขึ้น แต่คราวนี้ไปอยู่ต่างจังหวัดกัน 2 คน ให้ลูกอยู่กับย่าช่วงแรกดีมาก จนคนแถวนั้นพากันอิจฉา”
“เขามีหน้าที่การงานที่สูงขึ้น เลยเริ่มติดนักร้อง ไปเที่ยวรุนแรงที่สุดก็ประมาณปี 41 พอลลีนก็คุยกับเขาธรรมดา ไปกินข้าวข้างนอกกลับมา 4 ทุ่มเข้านอน เขาก็เมาเอะอะโวยวาย ตบหน้าพอลลีนหาว่าพูดดูถูกคนอื่น รู้สึกเสียใจที่เขาทำร้ายร่างกายเพียงเพราะเราว่าผู้หญิงที่เขาไปติดพันแค่นั้นเองเหรอ”
“เถียงกันสักพัก เขาเข้ามาบีบคอกะจะให้หมดลมหายใจกันตรงนั้น 3 ครั้งที่เขาทำอยู่อย่างนั้น เว้นระยะให้พอลลีนได้หายใจแป๊บนึงแล้วก็ทำอีก เสร็จก็จับพอลลีนมัดมือสองข้างจะเอาบุหรี่มาจี้ที่หน้า ตอนนั้นคือไม่อยากให้เขามาทำอะไรบนใบหน้าพอลลีนอีกเลยเบือนหน้าหนี”
“ไม่คิดว่าเขาจะทำจริงๆ คิดว่าเป็นการขู่มากกว่าไม่คิดว่าจะทำจริง แต่เขากลับเอาบุหรี่มาจิ้มที่หลังมือ เสียใจมาก แต่ก็พยายามคิดในแง่ดีว่าเป็นเพราะเขารักเขาหวงเรามากไปหรือเปล่า หรือเพราะต้องการทำเลียนแบบพฤติกรรมเพื่อน (อ้วน อารียา) ที่เคยโดนสามีทำร้ายแล้วเขาไปช่วย แต่สุดท้ายเขาก็กลับทำสิ่งเหล่านั้นกับพอลลีน”
ทำให้ตนต้องตัดสินใจไปแจ้งความเพื่อความปลอดภัยตัวเอง และแอบหวังลึกๆ ว่าจะเป็นสิ่งเตือนใจให้สามีสุดรักสำนึกผิด กลับมาทำหน้าที่หัวหน้าครอบครัวที่ดีเหมือนเดิมอีกครั้ง
“พอลลีนตัดสินใจไปแจ้งความ ซึ่งพี่เขาก็ขอไว้และไม่ยอมลงบันทึกให้ ก็เลยบอกว่าถ้าไม่ยอม พอลลีนจะไปแจ้งกับผู้ใหญ่ที่ภาคซึ่งจะเดือดร้อนมากกว่านี้ ก็เลยได้ลงแจ้งความไว้รู้สึกว่าจะเป็น 25 ธ.ค. 2541 แอบหวังให้เขาคิดได้และกลับมาเป็นคนดีอีกครั้ง”
“แต่ก็ได้แค่หวัง เขาทำตัวดีได้ไม่นานก็กลับไปเป็นเหมือนเดิมอีก ก็ไปติดนักร้องอีก ทำร้ายข้าวของแต่ไม่ทำร้ายร่างกาย ถึงขั้นที่นักร้องโทรศัพท์มาหาซึ่งพอลลีนแอบโอนสายเข้าเครื่องตัวเองโดยที่เขาไม่รู้ แล้วก็โทรไปบอกเขา พูดคุยกัน คราวนี้เขาก็ขอให้พอลลีนมีลูกอีกคนซึ่งเราก็ไม่ขัดข้อง เพราะเห็นเขาเป็นสามี เป็นพ่อของลูกให้โอกาสอีกครั้ง”
รักๆ เลิกๆ กันจนเริ่มตั้งท้องลูกคนที่สอง โดยสามีทำร้ายมามากเลยต้องมีอาวุธเป็นเครื่องป้องกันตัว
“เริ่มตั้งท้องลูกคนที่สองตอนแรกก็ดีกลับบ้านตรงเวลา เที่ยงก็กลับมาทานข้าวที่บ้าน เย็นก็พาไปทานข้าวนอกบ้านเป็นแบบนั้น สักพักก็กลับไปกินเหล้าเหมือนเดิมกลับมาก็โวยวาย ลูกก็นอนอยู่ ปกติเขาชอบยิงปืนอยู่แล้วด้วยอาชีพของเขา เขาชักปืนขึ้นมา ณ วินาทีนั้นรู้สึกว่ามันขนาดนี้เลยเหรอ”
“พอลลีนก็เลยชักปืนขึ้นมาเพื่อป้องกันตัวเอง เขาก็ตกใจบอกว่าอย่าทำแบบนั้น แล้วก็เดินมาล็อกมือพอลลีนแย่งปืนออกไป จากนั้นจึงเอาปืนมาจ่อหัวพอลลีน เราก็เลยบอกว่ายิงให้ตายเลยนะ ถ้าไม่-มึงนั่นแหละจะตาย แล้วเขาก็ออกไปสูบบุหรี่ข้างนอก”
“กลับเข้ามาอีกทีก็มาบอกพอลลีนว่า เมื่อกี้กูไม่ได้เอาปืนจ่อหัวมึงนะ ตอนนั้นรู้สึกขำว่าคงกลัวว่าเราจะเอาเรื่องไปแจ้งความอีก แล้วตัวเขาจะเดือดร้อน นั่นเป็นสาเหตุให้พอลลีนต้องไปปรึกษาหมอเพื่อจะผ่าตัดเอาลูกให้เขาแล้วก็ไม่ต้องมายุ่งเกี่ยวกันอีก”
แล้วสาเหตุที่ทำให้ต้องยุติความสัมพันธ์กันด้วยการหย่าร้างมาจากอะไร?
“ก็เป็นเรื่องผู้หญิงนั่นแหละ ครั้งสุดท้ายที่แยกกันอยู่เขาจะกลับมาอยู่ด้วยกันอีกแต่มีพี่เขาเตือนว่าตอนนี้เขาไปติดผู้หญิง แล้วถ้าผู้หญิงเขามาทวงสิทธิ์จะทำยังไง เลยตัดสินใจว่าไม่ไหวแล้วนะ ทำร้ายร่างกายยังพอทนแต่ทำร้ายจิตใจกันนี่มันทนมาได้จริงๆ”
“เลยนัดกันไปที่อำเภอหย่ากันวันที่ 5 ก.พ. 2543 ตอนนี้ก็ประมาณ 5 ปีกว่า แต่ก็ไม่ได้หย่าขาดไปเลยยังโทรคุยกันอยู่ เสาร์-อาทิตย์ก็ยังไปหาลูก โดยที่ลูก ครอบครัวเขาและพอลลีนไม่มีใครรู้ว่าเราเลิกกัน และเป็นช่วงที่เราดูใจเขาด้วยว่าดีขึ้นมั้ย”
“แต่เมื่อมันไม่ดีขึ้น เขาเองเริ่มมีผู้หญิงคนใหม่เข้ามาแบบจริงจัง เลยโอเคขาดกันไปเลยดีกว่า 2 ปีกว่าแล้วที่ถือว่าเป็นการขาดกันจริงๆ ไม่เคยเจอกัน ไม่พบหน้า ไม่โทรคุย คิดว่าพอเสียที แต่เขาก็ยังมีโอกาสได้เจอลูก เราเองก็คงต้องทำหน้าที่แม่ที่ดีของลูกต่อไป หาสิ่งที่ดีที่สุดให้เขา”
ไม่กลัวลูกจะกลายเป็นเด็กมีปัญหา เพราะตลอดเวลาตนมักใช้เหตุผลในการเลี้ยงดูลูกเสมอ
“ถึงตอนนี้ก็ไม่ได้บอกลูกเกี่ยวกับเรื่องนี้ แต่คิดว่าที่ผ่านมาเขาเห็นและรู้เรื่องราวมาตลอด และในการเลี้ยงดูเขาเราก็ใช้เหตุผลในการพูดกับลูกอยู่แล้ว ให้ความรักความอบอุ่นกับเขาเต็มที่ แค่นี้ก็น่าจะเพียงพอ ลูกจะอยู่ที่สัตหีบ เสาร์-อาทิตย์เราไปหาพาเขาไปทานข้าว เที่ยว”
เกิดเรื่องร้ายแบบนี้ เลยทำให้มุมมองความรักเปลี่ยนไปหรือเปล่า?
“ชีวิตคู่ทุกครอบครัว มีปัญหาหมดทุกคน พอลลีนพยายามแล้ว อีกฝ่ายอาจจะพยายามแต่มันน้อยเกินไป รู้ว่าเขารักพอลลีน แต่มันคงเป็นวิธีที่ผิด มองคนอื่นว่าจะเป็นเหมือนเขา คิดว่าคนอื่นจะทำเหมือนที่ตัวเองเคยทำ อันนี้เป็นแค่การวิเคราะห์ของตัวเอง”
ฝากเรื่องราวของตนเป็นอุทาหรณ์ให้กับผู้หญิงระมัดระวังในการใช้ชีวิตคู่มากขึ้น
“อยากให้ทุกเรื่องที่เล่าไป ไม่ใช่ว่าพอลลีนไม่รักนะ เรารักกันมาก แต่คงเป็นเพราะความที่เราจูนกันแล้วไม่ตรงกัน เป็นเหตุให้เกิดการแตกแยกใหญ่โต ด้วยการใส่อารมณ์ อยากให้คนที่เป็นหัวหน้าครอบครัว ไม่ดื่มเหล้า รู้จักอดทน มีความเข้าใจเห็นใจกันให้มาก”
“ผู้หญิงทุกคนอยากเห็นครอบครัวตัวเองมีความอบอุ่นและมีความสุข ไม่อยากให้ต้องมีเรื่องทะเลาะวิวาทกัน ผู้หญิงพอลลีนว่าเป็นเพศที่ความอดทนสูงมากๆ ผู้ชายน่าจะทำหน้าที่ดูแลลูก ดูแลครอบครัวให้ดี ไม่เข้าใจก็ปรับตัวเข้าหากัน อดทนเถอะค่ะ ถ้ามันทำให้ชีวิตครอบครัวเราดีขึ้น”