xs
xsm
sm
md
lg

เอ๋อไม่เหรอ "อาร์มี่ วีรภักดิ์"

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ได้ฤกษ์ลงโรงฉายไปเป็นที่เรียบร้อยสำหรับหนังแนวดราม่า คอมเมดี้ “เอ๋อเหรอ”ของผู้กำกับ “พจน์ อานนนท์” ที่รวบรวมเด็กพิเศษ(ดาวซินโดรม)ตัวน้อยมาร่วมประชันความน่ารักกันอย่างสนุกสนาน โดยเฉพาะอีกหนึ่งนักแสดงนำ "น้องอาร์มี่" หรือ "ด.ช วีรภักดิ์ แก่นสุวรรณ" ที่ดูจะได้รับการสนอกสนใจเป็นพิเศษ

โดยเฉพาะในเรื่องของความสามารถทางการแสดงที่นับว่าไม่ธรรมดา

แม้ทางฝั่งผู้กำกับรวมไปถึงบรรดาคนใหญ่ที่เอาน้องอาร์มี่ไปออกรายการต่างๆ จะถูกมองว่าหากินแม้กระทั่งบนความพิการ - บนความไม่สมประกอบของเด็กน้อย ทว่าในสายตาของผู้เป็นแม่ของน้อง "อาร์มี่" อย่าง "ปาณิศา ผลเพิ่ม" เธอกลับมีมุมมองที่แปลกต่างออกไป

“น้องอาร์มี่เกิดที่โรงพยาบาลพญาไทย 2 ก็เหมือนปกติที่ตอนแรกเราก็ไม่รู้ ไม่ได้ไปอัลตร้าซาวน์ดู พอคลอดออกมาตอนนั้นก็มีหมอที่เขาทำคลอดให้ คือไม่พูดตอนแรก แต่จู่ๆ เขาก็มาถามเราว่ารู้จัก ราชานุกูลมั้ย ลูกคุณเป็นเด็กพิเศษต้องไปเรียนที่นั่น”

“ได้ยินแบบนั้นก็อึ้งไปเหมือนกัน ความรู้สึกแรกเลยน้อยใจที่ลูกเราออกมาเป็นแบบนี้ ท้อ ก็เลยโทรไปปรึกษาคุณแม่ ท่านก็ให้กำลังใจเป็นอย่างดี แล้วจัดการย้ายให้มาอยู่ที่โรงพาบาลวิชัยยุทธ มาเจออาจารย์บอกท่านก็แนะนำให้เราพาลูกไปเช็คสมอง”

“เขาก็บอกว่าลูกเราอาจมีพัฒนาการช้ากว่าเด็กปกติทั่วไป แต่ไม่ได้หมายความว่าเขาจะเป็นเด็กจำพวกดาวน์ซินโดรมซะทีเดียว อยู่ที่การพัฒนา การดูแลของเรา หลังจากได้คำแนะนำจากคุณหมอทุกวันเสาร์ก็ต้องไปที่วิชัยยุทธ แล้วก็ไปที่ขอคำแนะนำที่ราชานุกูล ศึกษาจากหนังสือบ้าง โชคดีที่คนรอบข้างให้กำลังใจมาตลอด”

คุณแม่ที่ไม่ยอมแพ้บอกว่า ตอนเด็กนั้นน้องอาร์มี่เคยป่วยเป็นโรคหัวใจต้องบินไปผ่าตัดไกลถึง "เมลเบิล" จนต้องพักรักษาตัวนานกว่า 4 เดือน

"ก็ตอนเด็กๆ เพิ่งคลอดได้ไม่กี่เดือน ไปตรวจดูปรากฏว่าเป็นโรคหัวใจ ทำให้ป่วยเป็นเป็นไข้ได้ตลอด เรียกว่าตอนนั้นร่างกายอ่อน ปรึกษาพี่สาวเลยพาน้องอาร์มี่ไปผ่าตัดที่เมลเบิล และก็อยู่พักรักษาตัวอยู่ 4 เดือน ตอนนี้ร่างกายแข็งแรงดีไม่มีอะไร"

เคยท้อแต่ไม่ถอย ตรงกันข้ามกลับยิ่งรู้สึกรักเขามากขึ้นไปอีก

“แรกๆ ก็มีปัญหานิดหน่อย ไปได้ไปหาหมอบ่อยก็จะศึกษาจากหนังสือเป็นส่วนใหญ่ รู้สึกท้อบ้างดีที่ว่าคนรอบข้างทุกคนเขาเป็นกำลังใจให้อย่างดี คนในครอบครัวมีคุณพ่อ พี่คนโตตอนนี้เรียนอยู่ที่ออสเตรเลีย ช่วยๆกันหมด ทำให้เรารู้สึกรักและดูแลเขาไปตลอดชีวิต เขาเป็นดังแก้วตาดวงใจของเรา”

เมื่อถามถึงสูตรเด็ดเคล็ดลับในการเลี้ยงลูกที่เป็นเด็กพิเศษ คุณแม่บอกต้องให้ความรัก ความเอาใจใส่ที่สำคัญวางตัวกับเขาเหมือนเด็กธรรมดาทั่วไป

“ก็เลี้ยงดูเหมือนลูกคนโต ที่ตอนนี้เรียนอยู่ออสเตรเลีย ตอนแรกก็ไปทำงาน คุณยายก็จะชอบพาหลานไปเที่ยวเซ็นทรัล หลังๆ พอน้องอาร์มี่เริ่มเข้าวงการเล่นหนังก็เลยต้องออกมาดูแลเข้ามากขึ้น แล้วชีวิตปกติไปไหนมาไหน ไปต่างจังหวัด ไปต่างประเทศเราก็จะเอาเขาไปด้วยตลอด”

“ให้เขาได้เรียนรู้ทุกอย่างรอบตัว แม่ไม่เคยคิดว่าน้องเป็นเด็กพิเศษ จะสอนให้เขาช่วยเหลือตัวเองตลอด แต่งตัวเอง กินข้าวเอง บางครั้งเขาจะช่วยแม่บ้างล้างจาน อย่างเราให้เขาไป 20 บาทเขาก็รู้นะว่าควรจะเอาไปซื้ออะไร หรือบางครั้งอยากได้อะไรที่ไม่จำเป็นก็อธิบายให้ฟัง น้องอาร์มี่จะเป็นเด็กหัวไว”

แม้จะจัดอยู่ในกลุ่มเด็กพิเศษแต่คุณแม่ “ปาณิศา”ก็จัดแจงให้น้อง อาร์มี่”เรียนโรงเรียนเหมือนเด็กปกติ เนื่องจากต้องการให้ลูกเลียนแบบและใช้พฤติกรรมอย่างเช่นปกติ ซึ่งกว่าจะหาที่เรียนได้ก็ทำเอาเลือดตาแทบกระเด็นเหมือนกัน

“ไม่กลัวคะเพราะที่ตัดสินใจให้เรียน โรงเรียนปกติ ซึ่งตอนนี้น้องอาร์มี่อายุ 12 ปี เรียนที่ ภูมิไพโรจน์พิทยา ต้องการให้เขาเรียนแบบพฤติกรรมของคนปกติ มีชีวิตประจำวันอย่างคนธรรมดามากกว่า กลัวว่าถ้าขืนให้เข้าเรียนกับเด็กพิเศษเขาจะไปทำตามแบบนั้น ซึ่งตัวอาร์มี่นี่ถือว่าเขาดีกว่าเด็กที่เป็นแบบนี้เยอะ”

“แต่กว่าจะได้ที่เรียนก็หามาหลายที่แล้วเหมือนกัน แรกๆ ก็พาไปสมัครที่โรงเรียนนานาชาติ เพราะเห็นน้องอาร์มี่เขาจะชอบและถนัดภาษาอังกฤษ ปรากฎว่าเขาไม่รับให้เหตุผลว่ารับมาก็มาเป็นภาระ อีกอย่างทางโรงเรียนไม่มีนโยบาย แล้วสุดท้ายก็ไม่ได้ที่นี่”

ไม่มีปัญหาเรื่องปมด้วย เพราะนิสัยส่วนตัวเป็นเด็กร่าเริง เข้ากับคนอื่นได้ง่าย

“น้องอาร์มี่โชคดีตรงที่เวลาเขาไปไหนมาไหนจะมีแต่คนรักและเอ็นดู อย่างไปโรงเรียนเขาไม่มีปมด้อยเลย ตรงกันข้ามรู้สึกว่าเขามีความสุขมากกว่า จะชอบเดินกับเพื่อนกลุ่มใหญ่ มีเพื่อนๆ ช่วยถือกระเป๋าให้ ตรงส่วนนี้ไม่มีปัญหาอะไร”

มีแพลนอนาคตทางการเรียนไว้ให้น้องบ้างหรือเปล่า?

“การเรียนไม่ได้กะเกณฑ์อะไรให้เขา คือเขาเรียนได้แค่ไหนก็ไหน อยู่ที่ตัวน้องว่าจะไหวมั้ย เราไม่บังคับ เขาชอบภาษาอังกฤษ แม่มีเพื่อนที่สถาบันคิงคอลเลจ กำลังคุยกันอยู่จะหาทุนมาให้ เขาเป็นเด็กความจำดี อยากให้เขาได้พัฒนาไปเรื่อยๆ”

เพราะความฉลาดหัวไวนี่แหละทำให้ผู้กำกับ “พจน์ อานนท์”เห็นแววดึงตัวมาเล่นหนังจนกลายเป็นที่รู้จัก
“บังเอิญว่าไปเจอพี่พจน์ ก่อนหน้าก็มีเด็กพิเศษมาแคสฯ หน้ากล้องอยู่หลายคน ทีมงานก็ไปหาที่ราชานุกูลบ้าง แต่ยังไม่ถูกใจ เห็นน้องอาร์มี่เขาเลยถูกชะตาให้มาแคสฯ ตลอดเวลาที่อยู่ในกองถ่ายไม่ค่อยงอแง มีบ่นบ้างแต่คุยรู้เรื่อง เคยถ่ายถึงตีห้าก็ไม่มีปัญหา ”

นอกจากแววด้านการแสดงแล้ว ในเรื่องร้องทำเพลงหนุ่มน้อยคนนี้ก็เสียงดีใช่หยอก
“จริงๆ เขาจะชอบไอ้พวกเกมมาก เห็นไม่ได้ชอบซื้อที่ชอบเป็นพิเศษก็จะเป็นเกม เพลย์ทู พวกการ์ตูนนี่ก็ชอบพวกโปเกมอน โดราเอมอน แต่พวกวิดีโอเกมจะมีเยอะหน่อย ที่ชอบเป็นพิเศษก็ร้องเพลงพลพล ร้องได้หมด เห็นไมค์แล้วไม่ยอมวางเลย ร้องเก่งด้วยนะ”

แถมยังชอบทำท่าเลียนแบบคนอื่น เรียกเสียงหากได้อีกต่างหาก
“ใช่ เป็นอะไรที่เราคิดไม่ถึงว่าเราจะทำ อย่างเมื่อวันก่อนรถติดไฟแดงอยู่แล้วเด็กเช็ดกระเข้ามาเช็ดกระจกให้ เสร็จแล้วก็ไปน้องอาร์มี่ก็ทำท่าเลียนแบบ จนคนในรถหัวเราะกันท้องคัดท้องแข็งไปตามๆ กัน ตลก พี่หม่ำนี่ก็ชอบ ไปออกชัยบดินทร์แล้วเอามาเลียนแบบ แต่ถ้าเป็นพระเอกในดวงใจก็ต้องพี่โหน่งเขาละ”

เพราะรวยหรือเปล่าถึงเลี้ยงได้?
“ไม่เกี่ยวหรอกค่ะ ที่บ้านทำธุรกิจบ้านจัดสรรก็จริง แต่อยู่ที่ครอบครัวด้วยว่าลูกเกิดมาอย่างนี้จะรับได้มั้ย ของแม่ แม่จะให้เขามีส่วนร่วมทุกอย่างที่เขาอยากจะทำ ก็ไม่เคยคิดว่าเขาจะได้ขนาดนี้ หรือเขาอยู่ในระดับๆไหน ฐานะอาจเป็นอีกส่วนหนึ่ง แต่เราเลี้ยงเขาด้วยเหตุผลมากกว่า”

“อย่าอายที่จะพาเข้าไปไหนด้วย อย่าเก็บเข้าไว้ในบ้านอย่างเดียว อาจจะทำให้มันเป็นปัญหาใหญ่เข้าไปอีก เด็กบางรายเท่าที่เคยเห็นพูดไม่รู้เรื่องไม่ได้รับการพัฒนา ให้เขาได้ทำอย่างเช่นเด็กปกติทั่วไปดีกว่า ไปข้างนอกอย่างแม่อาจมีคนทักบ้างเพราะหน้าเขาออก ต้องทำใจ”

“เขาเป็นลูกเรา และเขาเกิดมาแล้ว น่าจะดูที่ปัจจุบันมากกว่าว่าจะจัดการกับชีวิตเขายังไง แทนที่จะปิดกั้น แม่ก็ไม่มีกฎเกณฑ์หรือวิธีเลี้ยงตายตัว ให้มันเป็นธรรมชาติที่สุด อย่าทำให้เขารู้ว่าเขาไม่เหมือนคนอื่น เขาชอบอะไรก็สนับสนุนส่งเสริมจะดีกว่าค่ะ”




กำลังโหลดความคิดเห็น