จางมั่นอวี้ พบกับ โอลิวิเยร์ อัสซายาส ครั้งแรกในปี 1996 ตอนที่เธอมาเป็นนางเอกหนังให้กับอัสซายาสเรื่อง Irma Vep ก่อนที่จะแต่งงานกันในอีก 2 ปีถัดมา แล้วก็หย่าในอีก 3 ปีให้หลัง
ไม่มีใครทราบว่าสัมพันธภาพของคนทั้งคู่เป็นเช่นไร พวกเขาหมดรักกันแล้วหรือ และเหตุใดจึงต้องหาทางออกด้วยการเลิกรา แต่แล้วเมื่อหนังเรื่อง Clean งานชิ้นล่าสุดของอัสซายาสออกฉาย คำตอบที่ดูลางเลือน ก็ก่อร่างเป็นภาพที่ชัดเจนขึ้น
อัสซายาสให้สัมภาษณ์ไว้เองแต่แรกว่า เขาทำหนังเรื่องนี้โดยมีอดีตภรรยาเป็นแรงบันดาลใจสำคัญ จางมั่นอวี้เป็นมากกว่านักแสดงนำในหนังเรื่องนี้ เขาบอกว่าเธอคือวิญญาณทั้งหมดของมัน เธอเป็นเหตุผลหลักในการสร้างงานชิ้นนี้
Clean จึงเป็นงานที่แสดงฝีมือของจางมั่นอวี้มากกว่าจะเป็นเวทีของอัสซายาสเอง มันเกือบจะเป็นงานที่เข้าถึงง่ายที่สุด ถ้าเทียบกับงานชิ้นก่อนๆ - ที่ออกจะหนักหนาอยู่
โอลิวิเยร์ อัสซายาส เป็นอดีตนักวิจารณ์ของกาเยร์ ดู ซีเนมา นิตยสารภาพยนตร์ที่ทรงอิทธิพลที่สุดในฝรั่งเศส แล้วก็มาเป็นผู้กำกับในช่วงปลายยุค 80 เขาถูกจัดอยู่ในกลุ่มคนทำหนังรุ่นใหม่ (พร้อมๆ กับ ลีโอ การาซ์ และ แคลร์ เดอนีส์) ที่มาทีหลังกลุ่มคลื่นลูกใหม่ในยุค 60
ด้วยความที่เป็นนักดูหนังตัวยง และเติบโตมากับหนังแข็งๆ ระดับปรมาจารย์ในประเทศตัวเอง อัสซายาสจึงกลายเป็นคนรู้กว้าง รสนิยมดี และงานของเขาจึงเป็นเหมือนการทดลองประมวลผลลัพธ์ทั้งหมดนั้นออกมา
ผมเคยดูหนังของอัสซายาสเพียง 3 เรื่อง แล้วก็พบว่าไม่มีเรื่องไหนคล้ายคลึงกันเลย ทั้ง Irma Vep หรือ Late August, Early September และ Les Destinees มากันคนละสไตล์คนละตระกูล
แต่ถ้าลองพิจารณากันให้ถ้วนถี่แล้วจะเห็นว่า แม้รูปลักษณ์ภายนอกจะดูแตกต่าง ทว่างานของอัสซายาสก็เหมือนกันในแง่ของการถอดรื้อโครงสร้างเดิมๆ ของหนังออกมา เขาโยนทิ้งขนบต่างๆ ของหนังแต่ละตระกูลทิ้งไป และลองเลือกที่จะเล่าในอีกรายละเอียดหนึ่งอย่างตั้งใจ
การกระทำที่ว่านี้ยังคงปรากฏใน Clean อย่างครบถ้วน เพราะถ้าลองผมเล่าพล็อตเรื่องให้คุณผู้อ่านฟังแล้ว ก็จะรู้ได้ทันทีเลยว่า ทำไมมันถึงได้น้ำเน่าและซ้ำซากขนาดนี้ แต่เพราะการไม่อิงกับขนบเดิมของอัสซายาส ทำให้หนังลอยตัวเหนือข้อกล่าวหาได้อย่างงดงาม
จางมั่นอวี้มารับบท เอมิลี หวัง ภรรยาผู้ไม่เอาไหนของร็อคสตาร์หนุ่มเลือดร้อน ที่ต้องประสบเคราะห์กรรมอย่างใหญ่หลวงในชีวิตแบบกะทันหัน
ในคืนที่เธอทะเลาะกับสามีนั้น เขาเสพยาเกินขนาดและเสียชีวิตไปโดยไม่กล่าวลา เธอถูกจับฐานมียาเสพติดไว้ในครอบครอง ชีวิตเสียหลักไปพักใหญ่ จนกระทั่งออกจากคุกมาก็ยังเคว้งไม่รู้จะไปทางไหนดี
พ่อสามี (นิก โนลเต) บอกกับเธอว่า ถ้าขืนยังทำตัวเหลวแหลกอยู่ เขาก็คงต้องขอร้องให้เธออย่ามาพบหน้าลูกน้อย - ซึ่งเธอกับสามีได้ฝากเลี้ยงไว้ - อีกเลย คนเป็นแม่คนไม่ควรมีสภาพเช่นนี้ หรืออีกนัยหนึ่ง ไม่ว่าเด็กที่ไหนก็ไม่ควรเห็นแม่ในภาพอันน่ารังเกียจอย่างนี้
คำพูดของพ่อสามีทำให้เธอฮึดสู้จะกลับตัวเป็นคนดีโดยการเดินทางไปหางานทำในปารีส ตั้งใจว่าจะหาเงินจากการออกเทปสักชุดกับบรรดาเพื่อนเก่าที่เคยช่วยเหลือกันมา และตัดสินใจจะเลิกใช้ยา ทำตัวให้สะอาด เพื่อจะได้มีโอกาสพบหน้าลูกชายอีกครั้งหนึ่ง
หนังแสดงให้เห็นว่าเธออาจจะทำไม่ได้ทั้งหมด แต่ก็ได้พยายามทำดีที่สุดแล้ว ทว่าปัญหาต่อมากลับอยู่ที่ตัวลูก ซึ่งถูกย่าสั่งสอนมาว่า แม่ของเขาเป็นคนขี้ยา และเป็นสาเหตุให้ผู้เป็นพ่อเสียชีวิต เด็กน้อยเลยดึงดันปฏิเสธที่จะไม่ยอมพบหน้าเธอ
เป็นหน้าที่ของเอมิลีที่ต้องอธิบายและแสดงให้ลูกเห็นว่า เธอไม่ใช่ฆาตกรอย่างที่แกเข้าใจ อย่างน้อยก็ไม่ได้เลวร้ายอย่างที่ถูกกล่าวหาทั้งหมด เธอมีเหตุผลพอสำหรับเรื่องที่เกิดขึ้น และแน่นอน มันเป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้
จางมั่นอวี้เป็นคนที่แบกหนังไว้ทั้งเรื่องโดยแสดงให้เห็นว่า มันไม่ใช่เรื่องหนักหนาสำหรับเธอเลย การต้องพูดถึง 3 ภาษาในหนังเรื่องนี้ (อังกฤษ, ฝรั่งเศส, กวางตุ้ง) ไม่ใช่เรื่องที่น่าชื่นชมเท่ากับการแสดงออกที่เป็นธรรมชาติของเธอ
ท่วงทีการเยื้องย่าง หรือการสื่ออารมณ์ทางสายตานั้น จางทำได้ดีสมกับที่ได้รางวัลดารานำหญิงจากคานส์มา แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น องค์ประกอบสำคัญที่ส่งให้เธอได้เจิดจรัส จะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากอัสซายาส
หนังเมโลดราม่าแบบ Slice-of-Life หรือหนังสะท้อนชีวิตนั้น จะมีแบบแผนที่ชัดเจนบางอย่างอยู่ แต่อัสซายาส กลับเลือกที่จะ Slice ในส่วนที่คนอื่นมองข้ามไป
เปรียบเทียบเหมือนกับว่า คนอื่นเลือกเล่า 1 - 2 - 3 แต่ Clean จะมีแต่ 1.3 - 2.8 - 3.1 กล่าวคือ นำเสนอสิ่งที่ถูกมองข้าม และตัดทิ้งรายละเอียดที่คนดูเคยเห็นกันมาแล้วในหนังประเภทนี้ให้สั้นลง หรือไม่มีเลย
ด้วยเหตุนี้ Clean จึงอาจจะไม่โดนใจคนหมู่มาก (แม้นี่จะเป็นงานที่เข้าถึงง่ายที่สุดแล้วของอัสซายาส) และติดจะน่าเบื่อไปในบางช่วง - ซึ่งก็มาจากการที่เราคุ้นเคยกับวิธีการเดิมๆ ของหนังทั่วไป - มากจนเกินไปนั่นเอง
นอกจากนั้นอัสซายาสยังควบคุมอารมณ์ฟูมฟายของหนังให้ออกมาพอดีๆ เมื่อเห็นว่าคนดูสะเทือนใจเพียงพอแล้วก็จะเลือนภาพมืดหายไปในทันที ไม่ยอมให้มีส่วนเกินโผล่ออกมาให้เห็น
แต่ท่ามกลางการ “ทดลอง” ที่ปนเปอยู่นั้น อัสซายาสก็ยังหยอดความสะเทือนใจไว้บางเบา การพูดถึงเรื่องคนเราสามารถเปลี่ยนแปลงตัวเองให้ดีกว่าได้หรือไม่นั้น ฟังดูธรรมดา แต่ใน Clean นั้นมันช่างมาถูกจังหวะและยิ่งใหญ่
การทำงานร่วมกับผู้กำกับภาพ เอริก โกติเยร์ ไม่เพียงแต่เด่นเรื่องการเคลื่อนกล้อง ซึ่งต้องจับภาพความเคลื่อนไหวของตัวละครอยู่ตลอดเวลาเท่านั้น ที่ตราตรึงมากก็คือ การถ่ายฉากหลังออกมาให้ได้บรรยากาศ โดยเฉพาะการเปรียบเทียบความหม่นหมองของเมืองอุตสาหกรรมในแคนาดา (ช่วงต้นเรื่อง) และความสว่างสดใสของซานฟรานซิสโก (ในตอนจบ) นั้นงดงามอย่างน่าประทับใจ
Clean เป็นงานที่องค์ประกอบหลอมรวมกันอย่างสอดคล้อง แม้อัสซายาสจะบอกว่า เขาทำเพื่อเปิดโอกาสให้จางมั่นอวี้โชว์ความสามารถแบบเต็มๆ ก็ตาม แต่หนังก็ฉายให้เห็นความดีด้านอื่นไปด้วยพร้อมๆ กัน
ในหนังเรื่องนี้ จางมั่นอวี้เธอสวยมากครับ มีคำเปรียบเปรยถึง นางเอกที่งามจับตาในภาพยนตร์ว่า “อาจเป็นเพราะกล้องรักเธอ” แต่ใน Clean มันแสดงออกมาว่าไม่ใช่แค่กล้องเท่านั้น
แต่ผู้กำกับเองก็ยังรักเธอสุดหัวใจ