xs
xsm
sm
md
lg

วันเวลาที่หายไปของ "หมู พงษ์เทพ"

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


"สามสี่ปีที่แล้วมันหนักมาก ภายนอกเราอาจจะดูเหมือนคนเข้มแข็ง แต่ภายในเรามีความกลัวอะไรหลายๆอย่าง..." เป็นคำบอกเล่าจากคนดนตรีเพื่อชีวิตชื่อดัง "พงษ์เทพ กระโดนชำนาญ" หรือ "น้าหมู" ของคนในวงการฯ

แม้จะได้ชื่อว่าเป็นคนที่พูดเก่ง พูดตลก พูดเยอะ ทว่าเรื่องจริงก็คือมีเรื่องราวและข่าวคราวเกี่ยวกับผู้ชายคนนี้ออกมาให้ได้รับรู้กันน้อยมาก โดยเฉพาะช่วงเวลาที่ย้อนกลับไปสัก 3 - 4 ปีที่ผ่านมาที่เขาไม่มีผลงานใหม่ๆ ออกมา

"ช่วงนั้นเป็นช่วงที่ย้ายมาอยู่เขาใหญ่แรกๆ ดูไม่ออกว่าเราจะทำอะไรกับงานดนตรีบ้าง ตามภาษาของคนทำงานศิลปะคนทำงานเพลงคือ ตัน มันอึดอัดใจ”

เจ้าตัวบอกถึงความรู้สึกก่อนที่จะเล่าถึงกิจกรรมยามที่ไม่ได้ข้องเกี่ยวกับงานเพลงที่มีทั้งทำไร่ให้กลายเป็นรีสอร์ท ถมบ่อน้ำสร้างเวทีกลางแจ้ง เลี้ยงม้า เดินวนไปมาในไร่ เขียนบทกวี

กระทั่งถึงจุดเปลี่ยนสำคัญ หลังจากคอนเสิร์ต "20 ปีกวีศรีชาวไร่" เมื่อปลายปีที่แล้วที่เจ้าตัวเกิดความรู้สึกว่าตนเองจะต้องทำอะไรบ้างแล้วและเป็นที่มาของอัลบั้มแห่งทศวรรษใหม่กำหนดจะออกประมาณมีนาคม-เมษายนในปีหน้า

“ช่วงนั้นพยายามเขียนเพลงทุกวัน ตีสามตีสี่ ไม่เขียนก็คุยกับตัวเอง บอกตัวเองว่าคอนเสิร์ตยี่สิบปีแล้ว ถ้าแต่งเพลงไม่ได้ อนาคตของความเป็นคนทำงานมันจะน่ากลัว ทั้งๆ ที่วัยเรา สมองเรายังไม่ด้านชา ถ้าเราหยุดตัวเองโดยการจำยอมของสถานะสิ่งแวดล้อม เราตายแน่”

“เช้าวันหนึ่งตื่นขึ้นมา เดินเข้าไปในหมอก หมอกมันหนา เหมือนกับเราไม่มีตัวตน นึกถึงหนัง คนตายไปแล้วไม่รู้ว่าตัวเองตาย มองไม่เห็นตัวเอง แต่รู้สึกมีตัวตน ทำให้นิ่งได้ ปลงได้ ตัวตนเรายึดติดเกิน พะวงจะได้ไม่ได้ เคยมีเพลงดังๆ อย่าง ตังเก มียิ้มเหงาๆ นกเขาไฟ เรื่องใหญ่ๆ ไปยึดติดกับมัน ถึงหลุดไม่ได้”

“บางทีคล้ายเส้นผมบังภูเขา เรื่องราวใกล้ตัวเราก็มี แต่ความเป็นคนเดินทางมาหลายที่หลายทางเกินไป ทำให้มีวิธีคิดแบบว่าเนื้อเรื่องต้องไปอยู่โน่น จังหวัดน่าน อยู่หาดใหญ่ เราคิดอย่างนั้นไป แต่จริงๆ ใกล้ตัวเราก็มีเยอะแยะ”

เป็นการ "หลุด" จากความอึดอัดใจในการทำงานดนตรีที่น้าหมูบอกว่านี่คือครั้งที่สองของชีวิต หลังที่เคยเกิดขึ้นมาแล้วครั้งหนึ่งกับการประสบความสำเร็จของเพลง "ยิ้มเหงาๆ" "ตรงเส้นขอบฟ้า" ซึ่งการหลุดออกมาในครั้งแรกก็คือผลงานเพลงแบบคนบ้านนอกในชุด "ตังเก" "ฝนจางนางหาย"

“ผมจะกลับเข้าสู่ความรู้สึกที่ดีอย่างเก่าๆ ไปอยู่บ้านนอกเป็นกิจลักษณะ อารมณ์ตรงนี้กลับคืนเข้ามา ทศวรรษใหม่ของพงษ์เทพจะมุ่งสู่ชนบท ด้วยเรื่องใกล้ๆตัว เรื่องที่เกี่ยวข้องกับสังคมสมัยใหม่ ทั้งสามช่า รำวง โคราชาด้วย มากันใหญ่เลยทีนี้ ชุดใหม่ผมว่าจะคัดเพลงสามช่าล้วนๆ 12 เพลง แต่เคอะเขินอยู่ว่ามันเยอะไป”

“เจอคุณลุงข้างบ้านขายควายสุดรัก ส่งเงินให้ลูกเรียนจบ แล้วลูกไม่กลับบ้าน ก็เขียนเพลง...ขายวัวส่งควายเรียน...แม่แกชื่อสายบัว ให้คำมันคล้องกันนิดหน่อย ไปมวกเหล็กก็ได้เพลงที่มีประโยคเด็ด...มวกเหล็กเมืองงามมีฟาร์มงัวนม เมืองที่คนนิยมบีบนมแล้วได้กะตังค์..."

"หรือจอดรถคุยกับคนบ้าที่เดินตามถนน ว่าเดินหาอะไร กลายเป็นเนื้อเพลง..กระเซอะกระเซิงไปตามถนน คนเดินเก็บเข็ม อยากได้สักเล่มมาเย็บแผลใจ...กระทั่งเรื่องราวคนหนุ่มสาวที่ตกงานเพราะฟองสบู่แตก เราก็เอามาเปรียบเปรยเป็นเพลง รองเท้าใจ”

ยอมรับก่อนหน้านี้สมองตีบจริงๆ
“ก่อนหน้านี้เหมือนยังหาช่องออกไม่ได้ หาสูตรศิลปะใหม่ไม่ได้ เราอาจเขียนแคนวาสมาตลอด เราจะเขียนสีน้ำ เราอยากจะเขียนงานเรียลลิสติก แต่เราหาสีไม่ได้ ถึงอย่างนั้นยังต้องทำงานออกมา เหมือนนักขับรถแข่ง ไม่ได้ที่หนึ่งสักสี่ห้าสนามก็ไม่เป็นไร ต้องลงแข่งสะสมแต้มไว้ ต้องใจเย็น ต้องรับคำวิจารณ์ แต่ตอนนี้บอกได้เลย ปีหน้าที่หนึ่งแน่นอน”

ทำอะไรมาก็มากทว่าคนส่วนใหญ่กลับเพิ่งจะมารู้จัก "พงษ์เทพ กระโดนชำนาญ" ในช่วงที่ตลาดวีซีดีบูมนี่เอง
“เอ้าจริงๆ นะ คือเพลงเก่าของเราแล้วคนเขาเพิ่งมาฟังกัน ที่ฮือฮากันใหม่เพราะเพิ่งมาซื้อคาราโอเกะ บางคนทักเราว่าช่วงนี้ดังใหญ่นะ (หัวเราะ) ตายเลย ช่วงนี้ดัง ที่ผ่านมาแสดงว่าแย่แน่ๆ (หัวเราะเสียงดัง)"

"เขาเพิ่งเห็นคาราโอเกะ แต่ก่อนผมจะไม่ขายคาราโอเกะ พงษ์เทพไม่มี จะมีแต่คอนเสิร์ต ร้านอาหาร ทีนี้พอเงื่อนไขสัญญาการซื้อขายดีขึ้น เราก็ยอมขาย มีการตอบแทนที่พอเหมาะพอสม เลยได้ออกทางตู้เพลง เพลงอะไรต่ออะไรมาหมด”

แบบนี้ขายของเก่ากินก็พอแล้วมั้ง?
“อย่างนั้นมันกินฉาบฉวย เหมือนขายเพลงนี้ได้อาจไปกินเหล้าบรั่นดีขวดละพันได้สองสามขวด ก็แค่เหล้าหมด แต่เขียนเพลงได้ มันอิ่มไปสิบปี เหมือนเราเขียนเพลง ยิ้มเหงาๆ คิดถึงบ้าน มันอิ่มมาตั้งสิบปีที่แล้ว คนอื่นร้องก็อิ่ม เราร้องก็อิ่ม เพลง วันเวลา นี่ เล่นปิดคอนเสิร์ตทีไรก็ยังอิ่ม อิ่มกับงานดีๆ อิ่มตลอด”

“อีกอย่าง เราพบว่าเพลงของเรามีผลต่อคนฟัง อย่างรายหนึ่ง จบสถาปัตย์ จุฬาฯ นอนผ่าตัดสมองอยู่โรงพยาบาล เข็มติดเชื้อซ้ำเติมอีก แฟนยังมาขอเลิก ชีวิตย่ำแย่ เพื่อนเขามาฟังคอนเสิร์ต เปิดโทรศัพท์มือถือให้ฟังพร้อมกันที่โรงพยาบาล ตอนหลังเขาหายป่วย ผ่าตัดตั้ง 8-9 ครั้งนะ บอกกับผมว่า ได้เพลงพี่หมูนี่แหละ ฟังเป็นเพื่อนตลอดเวลาที่อยู่ห้องคนไข้" "เดี๋ยวนี้ เขารับช่วยออกแบบให้สถานที่สาธารณะประโยชน์ต่างๆ ฟรี ไม่คิดสตางค์”

ถามถึงเรื่องราวของชีวิตในอนาคตที่วาดฝันไว้ คนพูดเพลงชื่อดังในวัยที่ขึ้นเลข 5 แล้วบอกว่า ตั้งใจไว้จะร้องเพลงและเล่นดนตรีไปถึงอายุเจ็ดสิบเพราะคิดว่าร่างกายยังแข็งแรงอยู่

และเมื่อถามว่าไม่เหนื่อยหรือเบื่อบ้างหรือกับสิ่งที่ทำอยู่ คำตอบที่ได้รับกลับมาเสมือนเป็นหนึ่งบทสรุปของชีวิตคนที่มีดนตรีอยู่ในหัวใจทั้งหลาย ว่า...

“เขาเรียกว่าคนธรรพ์ ต้องหมกมุ่นอยู่กับความเจ็บปวดในการสร้างงานให้คนอื่นมีความสุข เป็นลิขิตของสวรรค์ เนื้อที่ของคนธรรพ์มีเมฆอยู่ก้อนเดียว ไม่มีอะไรมากกว่านั้นหรอก ถึงดูรูปภายนอก จะมีรถเบนซ์ มีตึกรามบ้านช่อง มีไร่นาสาโท เปล่าเลย มีเมฆก้อนเดียว..."

"ถึงที่สุดแล้ว นี่คือคนธรรพ์ ผู้มีเมฆก้อนหนึ่งเพื่อที่จะขี่เมฆไปร้องเพลงให้คนทั้งฟ้าทั้งดินมีความสุข”

*****

สำหรับผู้ที่สนใจอยากจะร่วมเข้าเป็นส่วนหนึ่งของคอนเสิร์ต "หอมหมอกดอกเหงื่อ" โดยศิลปิน "หมู พงษ์เทพ กระโดนชำนาญ" (วันเสาร์ที่ 25 ธันวาคมนี้ ณ. ลานเวทีกลางแจ้งศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย) สามารถซื้อบัตร(ราคา 500 บาท) ได้ที่ร้านน้อง ท่าพระจันทร์,โรบินสัน สีลม-รัชดาฯ,ร้านเทปเจไดเดอะมอลล์ บางกะปิ หรือที่กลุ่มดินสอสี โทร.0-2623-2838-9
กำลังโหลดความคิดเห็น