xs
xsm
sm
md
lg

THE POLAR EXPRESS : รถไฟสายแดนเนรมิต

เผยแพร่:   โดย: ธีปนันท์ เพ็ชร์ศรี


คณะภาพยนตร์และโทรทัศน์ ของมหาวิทยาลัยเซาเธิร์น แคลิฟอร์เนีย (ยูเอสซี) เป็นหนึ่งในโรงเรียนหนังที่มีคนอยากมาเรียนมากที่สุดของสหรัฐอเมริกา หลักสูตรการเรียนการสอนหรือเครื่องไม้เครื่องมือคงจะไม่ได้แตกต่างจากที่อื่นๆ มากนัก แต่จุดดึงดูดใจจริงๆ อยู่ที่ฮอล ออฟ เฟมของสมาคมศิษย์เก่า ที่มีคนใหญ่คนโตของฮอลลีวูดรวมอยู่หลายคน

คนทำหนังจากที่นี่ไม่ได้เหมือนกันเสียทีเดียว แต่มันก็พอจะมีจุดร่วม - แม้จะโดยไม่ได้ตั้งใจ - อยู่บ้าง นั่นก็คือ เป็นพวกช่ำชองงานเทคนิค หรือจะพูดให้เจาะจงลงไปอีก - - พวกเขาถนัดเป็นพิเศษกับงานที่แสดงศักยภาพของเทคโนโลยีการสร้างภาพในหนัง - ซึ่งเขาทางกับความต้องการของฮอลลีวูดอย่างเหมาะเจาะ

จอร์จ ลูคัสจบมาจากที่นี่ เช่นเดียวกับไบรอัน ซิงเกอร์ (X-Men) สตีเฟน ซอมเมอร์ส (The Mummy) แม้แต่สตีเวน สปีลเบิร์กก็เคยมาลงเรียนที่นี่ถึง 2 ครั้ง แล้วก็ดรอปเรียนไปเฉยๆ อย่างไรก็ตามปัจจุบันสปีลเบิร์กก็ยังนั่งเป็นคณะกรรมการกิตติมศักดิ์ของมหาวิทยาลัยอยู่

ในบรรดาศิษย์เด่นๆ ของยูเอสซี คงต้องรวม โรเบิร์ต เซเมกคิส เข้าไปด้วย อันที่จริงแล้วเซเมกคิสมีภาพของคนทำหนังในอุดมคติของนักเรียนรุ่นน้องมากที่สุด หนึ่งคือเขามีงานออกมาอย่างต่อเนื่องสม่ำเสมอ และหนังแต่ละเรื่องก็กวาดเงินให้กับสตูดิโอไปไม่น้อย ในขณะที่เนื้องานเองก็ไม่ได้กลวงเปล่าหาสาระอะไรไม่ได้

โรเบิร์ต เซเมกคิสเป็นส่วนผสมอันเหมาะเจาะของสปีลเบิร์กและลูคัส สเปเชียล เอฟเฟกต์สนั้นปริมาณเยอะกว่าสปีลเบิร์กแน่นอน และส่วนของเนื้อหา เทียบกันชัดๆ นั้นก็แน่นกว่าของลูคัสเสียอีก

เซเมกคิสเริ่มทำหนังตลกก่อนในช่วงต้น เขาทำงานร่วมกับมือเขียนบทคู่ใจอย่าง บ็อบ เกล โดยให้ความสำคัญกับบทเป็นอันดับแรก และฝึกปรือทักษะบวกกับจังหวะการเล่าเรื่องจากหนังอย่าง I Wanna Hold Your Hand (1978) และ Used Car (1980) แล้วมาทำงานที่มี "จุดขาย" ชัดขึ้นกับ Romancing the Stones (1984)

เขามาเข้าชายคาของสปีลเบิร์กเต็มๆ ตัวกับงานตลาดที่ดีที่สุดของยุค 80 และสร้างกระแสใหม่ให้กับหนังในตอนนั้นด้วยเรื่อง Back to the Future (1985) หลังจากนั้นคนดูชาวอเมริกันก็รู้จักบ็อบ เซเมกคิสกันเกือบทั้งประเทศ

เซเมกคิสต่างจากสปีลเบิร์กตรงที่เขาไม่เคยหยุดทดลองเลย แม้กับงานที่หวังรางวัลแบบออกนอกหน้าอย่าง Forrest Gump (1994) และ Cast Away (2000) ก็ยังมีอะไรให้คนดูประหลาดใจอยู่เรื่อยๆ

ลำพังตัวงานนั้นไม่ได้ทำให้ผมชื่นชอบเซเมกคิส เท่ากับการที่เขาแสดงจุดยืนของตัวเองชัดเจน เขาไม่ดูพยายามทำหนังดีแบบที่สปีลเบิร์ก หรือ รอน โฮเวิร์ด - ผู้กำกับจากสำนักเดียวกันเป็น การเปิดบริษัทดาร์ก แคสเซิลที่รับผลิตหนังสยองขวัญโดยเฉพาะ น่าจะบอกอะไรได้บางอย่างว่า โรเบิร์ต เซเมกคิสเป็นคนที่ "ซื่อสัตย์" ต่อรสนิยมตัวเองขนาดไหน

The Polar Express งานชิ้นล่าสุดของเซเมกคิสจะเข้าฉายในบ้านเราสุดสัปดาห์นี้ และออกจะผิดฟอร์มสักหน่อยที่มันไม่ได้ฮือฮาเท่าที่ควรจะเป็น ทั้งๆ ที่หนังดูเป็นเซเมกคิสแท้ๆ ซึ่งคนดูน่าจะชอบ

ที่อเมริกางานชิ้นนี้เฉียดใกล้คำว่าล้มเหลว รายรับของมันแม้จะผ่านหลักร้อยล้าน แต่ก็ห่างไกลจากที่วอร์เนอร์ บราเธอร์สคาดหวัง ในส่วนของคำวิจารณ์ก็ออกมาขัดแย้ง มีทั้งคำชมและคำเหน็บแนมคละกันไป

ตามข้อมูลที่ได้มา เซเมกคิสบอกว่ามันเป็นงานที่เขาอยากทำมาหลายปีแล้ว เขาได้อ่านนิยายภาพ The Polar Express ของคริส แวน ออลสเบิร์กตั้งแต่มันออกขายในปี 1985 และจากนั้นก็ได้อ่านมันอีกหลายๆ ครั้ง ให้ลูกฟังในทุกๆ คริสต์มาส

หนังสือของออลสเบิร์กคล้ายกับนิทานของอีสปที่บทสรุปสุดท้ายจะมีข้อความทำนอง "นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า..." แต่ The Polar Express ได้สอนบางสิ่งบางอย่างที่นอกเหนือไปกว่านิทานสำหรับเด็กปกติ ว่ากันตามตรงมันแทบจะกลายเป็นปรัชญาการใช้ชีวิตที่ไม่ว่าเด็กหรือผู้ใหญ่น่าจะได้รับรู้เอาไว้ เพื่อต่อสู้กับอุปสรรคที่ยังมาไม่ถึงในวันข้างหน้า

พล็อตเรื่องไม่ได้มีอะไรซับซ้อน เด็กชายคนหนึ่งโตพอที่จะรู้ว่าซานตา คลอสไม่น่าจะมีอยู่จริง และคริสต์มาสก็เป็นแค่วันหยุดสนุกสนานเพียงวันหนึ่งเท่านั้น จนกระทั่งในคืนก่อนวันคริสต์มาส รถด่วนขบวนหนึ่งก็วิ่งมาจอดหน้าบ้านเขา

ผู้คุมขบวนรถบอกกับเขาว่า นี่เป็นรถด่วนสายขั้วโลก ที่ปีละครั้งจะเลือกเด็กๆ ไปเพื่อรับของขวัญชิ้นแรกจากซานตา คลอส ก่อนที่ชายอ้วนใจดีจะนั่งรถลากออกไปแจกความสุขให้เด็กๆ คนอื่นๆ

เด็กน้อยตัดสินใจขึ้นรถไฟไปอย่างกล้าๆ กลัวๆ เจอการผจญภัยอันน่าตื่นเต้นเล็กน้อยและได้เพื่อนใหม่ที่น่ารักมากลุ่มหนึ่ง จบลงด้วยการได้พบกับซานตา คลอสและเรียนรู้บทเรียนของ "ความศรัทธา" - มนต์วิเศษประการเดียวที่จะทำให้ชีวิตพ้นจากความทุกข์

โดยตัวเนื้อเรื่องและธีมมันค่อนข้างชัดเจนอยู่แล้ว จนไม่ต้องดัดแปลงอะไรมากมายไปกว่านั้น เซเมกคิสทำหนังเรื่องนี้เป็นแอนิเมชั่น ที่ใช้เทคนิคซึ่งเรียกกันว่า Skinning กล่าวคือ ใช้นักแสดงเล่นกับหน้าจอบลูสรีนก่อน แล้วไปทำโปรแกรมซ้อนทับเป็นภาพวาดด้วยคอมพิวเตอร์อีกที การแสดงอารมณ์ต่างๆ นานาจึงดูละเอียดกว่าแอนิเมชั่นแบบวาดขึ้นมาเอง และงานภาพก็ดูมหัศจรรย์มากกว่าการทำหนังแบบคนแสดงปกติ

เมื่อเรื่องมันชัดเจนและเด็กทั่วทั้งอเมริการู้จักหนังสือเล่มนี้ดีอยู่แล้ว สิ่งที่เซเมกคิสต้องทำก็คือ การนำมาเล่าใหม่ด้วยวิธีการที่น่าตื่นเต้นกว่า และเขาก็ทำได้ถึงเสียด้วย

ปัจจัยที่โดดเด่นที่สุดใน The Polar Express คืองานด้านภาพซึ่งทำได้ดีมีมิติ กล้องเคลื่อนที่แบบไร้ข้อจำกัด และการเรียงลำดับจังหวะกับอารมณ์ก็ทำได้น่าชื่นชม เซเมกคิสเข้าใจดึงคนดูไว้กับหนังตลอดเวลา ทั้งๆ ที่เราต่างก็ทราบกันแล้วว่า เรื่องจะดำเนินไปสู่จุดไหน

ผมเข้าใจว่าที่นักวิจารณ์เมืองนอกสับหนังเรื่องนี้ ส่วนหนึ่งน่าจะมาจากมันไม่มีอะไรใหม่เลย และเซเมกคิสก็หลอกล่อคนดูไม่ให้ใส่ใจตรงจุดนั้นคล้ายกับเป็นนักมายากล แต่ผมก็คิดว่าเป็นการมองที่แคบ และไม่ยุติธรรมเกินไป ก็ในเมื่อหนังเรื่องนี้ถูกวางวัตถุประสงค์ไว้อีกทางหนึ่ง

สิ่งที่เซเมกคิสประสบความสำเร็จสูงสุดในสายตาของผมคือ การวาดภาพ "ความศรัทธา" (ซึ่งเป็นนามธรรมมากๆ) ให้เด็กๆ และคนดูได้เห็น - พร้อมๆ กับเข้าใจมันจริงๆ

การเชื่อมั่นในคุณงามความดีเป็นเรื่องที่ยิ่งใหญ่มาก น่าเศร้าใจที่พอเราโตขึ้นมันก็จางหายไปพร้อมๆ กับวัยที่ล่วงเลย แต่สิ่งที่เห็นใน The Polar Express สำหรับผมแล้วคงอีกหลายปีทีเดียวกว่าจะลืมมันได้

นี่เป็นงานแอนิเมชั่นที่ดีมากจากฮอลลีวูด พอๆ กับ The Incredibles คะแนนความตื่นตาตื่นใจได้เต็มร้อย ผมดูหนังเรื่องนี้ที่โรงไอแม็กซ์ รัชโยธินแล้วนึกถึงคำโปรยของหนังปี 1998 เรื่อง Godzilla (โรแลนด์ เอมเมอริช กำกับ) ขึ้นมาทันที

ไม่แน่ใจว่าดูโรงปกติแล้วเป็นเหมือนกันไหม แต่ผมดูจากจอไอแม็กซ์แล้วรู้สึกว่า "Size Does Matter" จริงๆ ครับ



กำลังโหลดความคิดเห็น