ในที่สุด โอลิเวอร์ สโตน ก็ทำ Alexander เสร็จก่อนใครเพื่อน หลังจากมีข่าวว่าโปรเจกต์เป็นที่สนใจของผู้กำกับหลายคน (ตอนนี้มาร์ติน สกอร์เซซีเลิกสร้างไปแล้ว และแบซ เลอห์มานน์ก็กำลังลังเลใจอยู่) ท่ามกลางเสียงวิพากษ์วิจารณ์ว่าฉบับของสโตนจะออกมา "เละ" กว่าของใครทั้งหมด
ปัจจัยที่ทำให้ใครหลายคนคิดไปในทางนั้น เพราะชีวิตของอเล็กซานเดอร์มีรายละเอียดที่ซับซ้อน ด้านหนึ่งเขาเป็นนักรบผู้ยิ่งใหญ่ ที่ล่าอาณานิคมจากฝั่งตะวันตกจรดฝั่งตะวันออก อีกด้านเป็นชายหนุ่มผู้เปลี่ยวเหงา เป็นรักร่วมเพศ และมีปมเกลียดชังผู้ให้กำเนิดอย่างรุนแรง
สโตนอาจจะเป็นคนทำหนังที่เสนอความรุนแรง (และด้านมืด) ได้ดีก็จริง แต่เขาก็ไม่มีอารมณ์ละเอียดอ่อนมากนัก (โดยเฉพาะถ้าเทียบกับเลอห์มานน์) การนำเสนอฉากดราม่าในงานชิ้นก่อนๆ ของสโตนก็ไม่โดดเด่น ติดจะเชยและยัดเยียดด้วยซ้ำไป
ผมเป็นคนหนึ่งที่คาดหวังว่า Alexander ของสโตนคงจะเป็นอย่างนั้น แล้วมันก็ออกมาอย่างที่คิดจริงๆ หนังมีความยาวเกือบ 3 ชั่วโมง แต่ส่วนที่ดีและโดดเด่น - รวมๆ แล้วคงมีอยู่แค่ชั่วโมงเดียวเท่านั้นเอง
หนังเปิดเรื่องด้วยฉากสวรรคตของอเล็กซานเดอร์ - จากปากคำของปโตเลมีในวัยชรา (แอนโธนี ฮอปกินส์) แล้วก็จะค่อยๆ ย้อนไปเล่าตั้งแต่อเล็กซานเดอร์ยังเป็นเด็ก
สโตน (และคริสโตเฟอร์ ไคล์, ลาเอตา คาโลกริดิส - คนเขียนบท) ปูพื้นความสัมพันธ์ระหว่างอเล็กซานเดอร์กับพระนางโอลิมเปียสและพระเจ้าฟิลิป (ผู้เป็นมารดาและบิดา รับบทโดย แองเจลินา โจลีและวาล คิลเมอร์) ได้อย่างน่าสนใจ เด็กน้อยโตขึ้นมาพร้อมกับการรับรู้ว่าแม่หาโอกาสที่จะฆ่าพ่อตลอดเวลา ในขณะเดียวกัน พ่อก็ไม่ได้ทำตัวให้เป็นแบบอย่างที่ดีและน่าชื่นชม
ฉากในวัยเด็กดีอยู่แค่ฉากนี้ฉากเดียวจริงๆ เพราะพอหนังตัดไปเล่าถึงเรื่องอื่นๆ ก็ดูเบาหวิวไปเสียหมด ไม่ว่าจะเป็นตอนที่หนังแนะนำให้คนดูรู้จักเฮฟาอิสเตียน - สหายรักของพระเอก หรือตอนที่อริสโตเติลสอนปรัชญาให้เหล่าเด็กชาย
โดยเฉพาะการอธิบายถึงความสัมพันธ์แบบรักร่วมเพศระหว่างผู้ชายกับผู้ชาย - ซึ่งอริสโตเติลบอกกับเด็กๆ นั้น ดูแข็งทื่อ อ่อนหัดและเคอะเขินเสียเหลือเกิน
ข้อด้อยในส่วนนั้นยังผลมาสู่จุดต่อมาของหนังราวกับการล้มตัวของโดมิโน สโตนพยายามที่จะลบคำครหาว่า ผลงานส่วนใหญ่ของเขาดูเป็น "เพศชาย" มากเกินไป ด้วยการใส่ฉากโฮโมเซ็กฌ่วลของอเล็กซานเดอร์ (คอลิน ฟาร์เรลล์) และเฮฟาอิสเตียน (จาเรต ลีโต) เข้ามาแบบไม่ปิดบัง แต่ฉากการทอดถ้อยสัมพันธ์รักก็ดูประดักประเดิด ไม่มีความนุ่มนวลหรือเย้ายวนใดๆ เลย มันจึงเป็นความพยายามที่ไม่ประสบผล
ตรงข้ามกับฉากการสู้รบ (ซึ่งแสดงด้านที่เป็นชายแท้ๆ ออกมา) ที่สโตนทำออกมาได้ดีกว่า ทั้งความอึกทึกครึกโครมและความสับสนอลหม่านโหมเข้ามาจนก่อให้เกิดภาพที่น่าตื่นตาตื่นใจ
งานกำกับภาพของโรดริโก ปริเอโต ทำได้ดีในฉากที่มีการเคลื่อนไหวสูงอย่างนี้ แต่เขาก็เหมือนกับสโตนคือมาตกม้าตายกับฉากที่ตั้งกล้องอยู่นิ่งๆ ความงดงามแบบ exotic ในดินแดนอันไกลโพ้นซึ่งอเล็กซานเดอร์ดั้นด้นไปถึง - แทบจะไม่มีอยู่เลย ภาพภูมิทัศน์ออกมาราบเรียบ - นับว่าน่าเสียดายมาก
บทหนังของสโตน, ไคล์และคาโลกริดิส เรียงลำดับเรื่องราวพอใช้ได้ มีการตัดสลับเพื่อซ้อนนัยเปรียบเทียบอยู่บ้าง แต่ก็ไม่ล้นจนน่ารำคาญ ส่วนที่ไม่ดีอยู่ตรงที่หนังบอกอะไรหลายอย่างผ่านบทสนทนามากเกินไป การรำพึงรำพันของตัวละครดูยาวนานราวกับว่าลอกมาจากบทละครของโซโฟคลิส หนำซ้ำยังหนังยังมีเสียงผู้เล่าเรื่องอย่างปโตเลมีมาซ้อนทับกันอีก มันจึงเหมือนการพูดซ้ำๆ ซากๆ และย้ำคิดย้ำทำจนเสียเวลา
แต่ความผิดพลาดที่ใหญ่หลวงมากของ Alexander คือการที่บทไม่ได้ล้วงเข้าไปในความคิดของตัวละครเอกอย่างจริงจัง ปมเรื่องพ่อแม่นั้นดีแต่ก็ไม่เพียงพอ หรือภาพวาดวีรบุรุษบนฝาผนังที่อเล็กซานเดอร์ฝังใจ ก็ไม่หนักแน่นมาก จนถึงกับจะทำให้เด็กหนุ่มคนหนึ่งเกิดแรงขับที่จะครองโลก
หนังพูดถึงการพิชิตความกลัวอยู่บ่อยครั้ง และตั้งคำถามผ่านตัวปโตเลมีว่า "อเล็กซานเดอร์เดินทางไปเพื่ออะไร เขาค้นหาหรือเพียงแต่หนีบางอย่าง?" แต่สโตนก็ไม่ได้ทำให้มันเป็นประเด็นสำคัญหรือบอกเล่ามันอย่างมีชั้นเชิงมากเพียงพอ
Alexander เป็นหนังที่ดูได้เพลินๆ ก็จริงอยู่นะครับ แต่มันสนุกเพราะการนั่งชมนักแสดงตะคอกใส่กัน เพราะงานสร้างอันใหญ่โตและเสียงประกอบอันเอ็ดตะโร - มากกว่าจะมาจากเนื้อแท้ของบทและการถ่ายทอด
โอลิเวอร์ สโตนดูจะยังเดินทางไปไม่ถึง "ดินแดนอันเร้นลับ" ของอเล็กซานเดอร์อย่างจริงๆ จังๆ มันเป็นการจับต้องเนื้อกายภายนอกของกษัตริย์พระองค์นี้อย่างผิวเผินแล้วมาขยายใหม่เสียใหญ่โต
จะว่า "กลวง" มันก็แรงเกินไปนะครับ เอาเป็นว่าหนังยังไม่ "แน่น" ก็แล้วกัน