โด่งดังจากเรื่อง "องค์บาก" จนเป็นที่รู้จักไปทั่วโลก ส่งผลให้ผู้กำกับชื่อดังในฮอลลีวูดหลายคนติดใจถึงขั้นทาบ "จา พนม ยีรัมย์" ไปร่วมงานกันเป็นแถว โอกาสดี ๆ อย่างนี้เป็นใครก็คว้าไว้ แต่สำหรับจานั้น เจ้าตัวบอกว่า อยากจะดันหนังไทยเรื่อง "ต้มยำกุ้ง" ให้สู่เวทีโลกก่อนค่อยคิดเรื่องส่วนตัว
"ผมมีโอกาสได้ไปร่วมงานฟิล์มที่อเมริกาเจอดาราใหญ่ ๆ ในฮอลลีวูดหลายคนมาก ตื่นเต้นมากที่ได้ไปร่วมงาน รู้สึกว่าตัวเองเป็นใครเนี่ย เหมือนขอมดำดินเลย(หัวเราะ) เดินชนไหล่คนโน้นคนนี้ก็ซอรี่ ๆ แล้วก็เฮ้ยดารานี่หว่า…พอซักพักพวกการ์ดก็สั่งให้พวกดาราเค้าหลีกทางเพราะผมจะตีลังกาตามแผนโปรโมต เค้าก็หลีกทางกันเป็นแถว แล้วก็พูดกันใหญ่ว่าผมเป็นใคร มีคนเข้ามาถ่ายรูปเต็มไปหมดเลย"
"ก็ดีครับรู้สึกภูมิใจมาก ยิ่งตอนที่พิธีกรเค้าพูดว่า ผมรักคุณนะ เราต้องไปดูหนังเรื่องนี้ให้ได้ เด็ก ผู้ใหญ่ คนแก่ วิ่งเข้ามาขอถ่ายรูปกับผม ทำให้ผมรู้สึกว่าหนังไทยไปได้ขนาดนี้แล้วนะ ผมไม่คิดว่าเราจะมาถึงขนาดนี้"
หลังจากโปรโมตหนังเรื่ององค์บาก "จา พนม" ก็เลยเนื้อหอมสุด ๆ
"หลังจากไปโปรโมตที่อเมริกาก็มีคนติดต่อเข้ามาเยอะครับ อย่างโปรดิวเซอร์ Kill Bill เค้าเห็นผมจากเรื่ององค์บาก เค้าก็บอกเลยว่าจะเอาคนนี้เป็นพระเอก ทีมที่ทำ Mortal Kombat , Rush Hour ก็ติดต่อมา จางอี้โหมว, หว่องกาไว ก็ติดต่อมา"
"แต่โดยส่วนตัวผมอยากวางรากฐานหนังไทยให้แน่นก่อน อยากเล่นเรื่องต้มยำกุ้งให้ดีที่สุด ให้เรามีเครดิตในเรื่องนี้ และเล่นหนังต่ออีกซัก 2 – 3 เรื่องแล้วค่อยไปรับงานที่เมืองนอก"
ดูรายชื่อผู้กำกับและทีมงานที่ติดต่อมา ก็ต้องบอกว่าเสียดายแทน จา พนม ซะจริง ๆ
"ผมไม่รู้สึกเสียดายหรอกครับ ผมอยากทำให้หนังไทยไปได้ในตลาดโลกก่อน อยากไปทำงานกันเป็นทีม คิดว่าคงไม่ใช่เรื่องที่ยากเกินไป ต่อไปหนังไทยคงไปได้ในระดับนี้ ทุกอย่างต้องวางเป็นสเต็ป ทางทีมงานที่เค้าติดต่อมา เค้าก็บอกว่าจะรอ คิดว่าอีกซัก 2 –3 ปีก็คงจะไม่สายเกินไป ผมอยากไปทำงานอย่างมีอิสระ อยากสร้างชื่อเสียงให้ตัวเองและทีมงานก่อน"
แสดงว่ารักหนังไทยมาก
"ผมอยากให้ฝรั่งเค้าได้เห็นว่าหนังไทยก็สามารถทำได้ อยากให้เค้าเห็นวัฒนธรรม เห็นความมุ่งมั่นของพวกเรา เรายังเสียตังค์เข้าไปดูหนังฝรั่งได้ แล้วทำไมเค้าจะเสียตังค์เข้ามาดูหนังเราไม่ได้ ผมไม่ได้มองเรื่องต้องไปฮอลลีวูดให้ได้ แค่นี้ก็พอแล้ว ตอนนี้มันคุ้มแล้ว ต่อไปที่เหลือคือกำไร"
ส่วนภาพยนตร์ "ต้มยำกุ้ง" ที่ "จา พนม" ทุ่มเทให้สุดฤทธิ์นั้น ตอนนี้ใกล้จะปิดกล้องแล้ว
"สำหรับต้มยำกุ้งตอนนี้ก็ใกล้จะปิดกล้องแล้วครับ บางคนอาจจะมองว่าเรื่องนี้เป็นองค์บาก 2 แต่จริง ๆ แล้วเรามีการต่อสู้ที่เข้มข้นขึ้น มีการคิดท่าต่อสู้ใหม่ ๆ ขึ้นมาใช้ ผมจะมีหน้าที่ออกแบบท่าต่อสู้ใหม่ ๆ แล้วก็เอาไปถามพี่พันนาว่าเป็นไง ใช้ได้หรือเปล่า แต่บางท่าเค้าก็ไม่เอาเพราะต้องการโชว์ความเป็นไทย"
แปลว่าต้องเสี่ยงมากกว่าเดิม…
"การเล่นบทบู๊มันก็ต้องมีการเสี่ยงอยู่แล้ว แต่เราก็มีพื้นฐานมาก่อน ถามว่าเสี่ยงไหม….มันก็เสี่ยง แต่ทีมงานเค้ามีระบบเซฟตี้ ผมเองก็ได้เรียนรู้จากองค์บากมาแล้วว่าจะเซฟตี้ยังไง"
คราวองค์บากเจอคู่ปรับคนไทย แต่คราวนี้จาโกอินเตอร์ไปฟัดกับ "นาธาน โจนส์" นักมวยปล้ำ WWA ที่ตัวใหญ่สุด ๆ
"ถึงเค้าจะตัวใหญ่ก็ไม่มีปัญหาครับ เราต้องใช้ศิลปะในการต่อสู้เข้ามาใช้ คนตัวใหญ่เค้ามักจะมีจุดอ่อนตรงที่สปีดช้า เราก็ต้องสปีดเร็วและใช้แม่ไม้ที่เหมาะสมเข้าไปช่วย"
"ส่วนการเข้าฉากกับช้างก็ไม่มีปัญหาเหมือนกันครับเพราะที่บ้านผมเลี้ยงช้างมาก่อน ผมค่อนข้างคุ้นเคยกับช้างดี เวลาเล่นก็จะไหว้ครูและขอโทษเค้า เวลาปีน เวลาขึ้นขี่สบายมาก"
งานนี้แว่วว่าจาได้ค่าเหนื่อยบวกกับเปอร์เซ็นต์การฉายมหาศาล…
"ค่าตัวก็ได้พอสมควร บอกไม่ได้ว่าเท่าไหร่ และก็มีการแบ่งเปอร์เซ็นต์ให้ด้วย องค์บากก็มีการแบ่งเปอร์เซ็นต์เหมือนกัน ตอนนี้กระแสองค์บากก็ยังไปได้เรื่อย ๆ"
ต้มยำกุ้งออกเมื่อไหร่ คงต้องหรอก "เสี่ยจา" แล้วแหละ…