การจากไปอย่างกะทันหันของ จอห์น เลนนอน หลังจากถูกยิงหน้าที่พักของตัวเอง สร้างความโศกเศร้าให้กับแฟนเพลงวงสี่เต่าทองอย่างมากมายเมื่อ 24 ปีก่อน แต่จากคำให้การครั้งล่าสุดยิ่งก่อให้เกิดความน่าสลดใจอีกครั้งเมื่อ มาร์ก เดวิด แช็ปแมน ผู้ก่อเหตุสังหารนักร้องนำของ The Beatle เมื่อปี 1980 ออกมายอมรับว่า เขายิงนักร้องหนุ่มเพียงเพราะรู้สึกว่าตัวเองไร้ตัวตนและอยากจะขโมยความดังมาให้ตัวเองบ้างเท่านั้นเอง
ทางสำนักข่าวเอพี รายงานจากบันทึกคำให้การที่เพิ่งมีออกมาล่าสุดเมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา (ตามเวลาท้องถิ่น) ที่มือสังหารวัย 49 กล่าวกับคณะลูกขุนเมื่อวันที่ 5 ต.ค. ว่า เป้าหมายที่เขาเพื่อจะโอนถ่ายความมีชื่อเสียงของเลนนอนมาให้ตัวเองนั้น สำเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดีส่วนหนึ่ง แต่ในอีกแง่มุมหนึ่งมันกลับทำให้เขากลายเป็นคนที่ไร้ตัวตนไปยิ่งกว่าเดิมเสียอีก
"นั่นเป็นเพราะ .. คุณก็รู้นี่ แทนที่บางอย่างมันจะโอเคแต่กลายเป็นว่าทุกคนเกลียดผมกันหมด และนั่นก็เป็นสภาพที่แย่ยิ่งกว่าเดิมอีกล่ะครับ" มือสังหารกล่าวในระหว่างให้การกับคณะลูกขุน
แช็ปแมนอธิบายเพิ่มเติมด้วยว่า เขาเคยบินไปนิวยอร์กเพื่อจะฆ่าเลนนอนมาแล้วหนหนึ่งแต่ก็ยับยั้งใจตัวเองไว้ได้ และโทรศัพท์กลับไปบอกภรรยาว่า "ความรักจากเธอเพิ่งช่วยรั้งฉันไว้แท้ ๆ" ทำเอาเธอได้แต่ตอบกลับมาอย่างงง ๆ ว่า "คุณกำลังพูดถึงอะไรอยู่เนี่ย?" เท่านั้นเอง
แต่ท้ายที่สุด เขาก็หักห้ามใจได้ไม่นาน เพราะหลังจากนั้นเพียงสองสามสัปดาห์ ความตั้งใจจะลอบสังหารของเขาก็ลุล่วง เมื่อแช็ปแมนก่อเหตุลอบสังหารนักร้องชื่อดังแห่งวง The Beatle ที่หน้าอพาร์ตเมนต์ของเหยื่อและยิงไปทั้งหมดห้านัดด้วยกัน นอกจากนี้ เขายังยอมรับด้วยว่า ได้มีการวางแผนฆ่าคนมานานกว่าสามเดือนแล้ว ก่อนจะตัดสินใจเลือกฆ่าใครสักคนที่มีชื่อเสียงมาก ๆ และเป็นที่คนเขาคิดว่าเป็นพวก "จอมปลอม" ด้วย
"ผมกระทำความผิดครั้งนี้ด้วยความตั้งใจ เพื่อเป็นแนวทางในการขโมยชื่อเสียงของจอห์น เลนนอนมาให้กับตัวผมเอง เพราะผมคิดว่าตอนนั้นผมรู้สึกเหมือนเป็นคนที่ไร้ตัวตนน่ะครับ
มันเป็นแค่ความรู้สึกที่บีบบังคับผมอย่างแสนสาหัส แค่ได้สัมผัสกับรูโหว่ช่องใหญ่ เป็นอะไรก็ตามที่ผมคิดว่ามันเป็นคนไม่มีตัวตน ไม่มีอะไรเลย และผมก็ไม่อาจปล่อยให้มันเป็นแบบนั้นต่อไป และความรู้สึกนี้มันก็พอกพูนขึ้นเรื่อย ๆ เสียจนผมไม่อาจหยุดยั้งมันได้น่ะ" แช็ปแมนกล่าวอีกครั้ง
โดยก่อนหน้านี้ทุกคนต่างคิดว่าหลังก่อเหตุแช็ปแมนโยนปืนทิ้งไป แต่เขาให้การว่าหลังจากที่เขายิงเลนนอน เขาก็ถูกปลดอาวุธโดยดอร์แมนหรือพนักงานที่หน้าประตู ก่อนจะนั่งรอจนกระทั่งตำรวจมาถึงที่เกิดเหตุ
"ผมไม่ได้ทิ้งมันนะ ผมยืนอยู่ที่นั่นและถือมันไว้ในมือนั่นแหละ และก็มีพนักงานหน้าประตูชื่อ โฮเซ่เดินเข้ามาแล้วบอกผมว่า คุณทำอะไรลงไปน่ะ คุณทำอะไรลงไป เขารวบมือผลและเป็นคนสะบัดอาวุธออกจากมือผมน่ะ"
แช็ปแมนยังกล่าวกับทางคณะลูกขุนด้วยว่า เขาจำได้ว่าหลังจากถูกจับและพาขึ้นนั่งบนรถตำรวจ โยโกะ โอโนะ ภรรยาของนักร้องชื่อดังก็เดินมาและได้แต่จ้องมองเขาผ่านกระจกรถตำรวจคันนั้น
"นั่นเป็นสิ่งที่บั่นทอนจิตใจของผมสุด ๆ และทำให้ผมเองไม่นึกถึงมันมานานหลายเดือนเลยทีเดียวครับ"
อย่างไรก็ตาม นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่แช็ปแมนกล่าวว่าการกระชากชีวิตของจอห์น เลนนอน ถูกกระตุ้นจากความรู้สึกที่ต่ำต้อยด้อยค่าของตัวเอง เพราะเมื่อย้อนกลับไปในระหว่างการให้ปากคำเมื่อปี 2000 เขากล่าวกับคณะลูกขุนในบอร์ดว่า "ผมรู้สึกว่าตัวเองไม่มีอะไร และรู้สึกว่าถ้าผมยิงเขาแล้ว ผมจะกลายเป็นบางสิ่งที่ทุกคนเห็นบ้าง"
หลังจากเหตุการณ์ยิงนักร้องชื่อดังเสียชีวิต มือสังหารจอห์น เลนนอนถูกจำคุกมายาวนานถึง 23 ปี และหน้าที่ของเขาในตอนนี้คือ การเป็นเสมียนอยู่ฝ่ายกฏหมาย และทำครัวอยู่ที่ Attica Correctional Facility ซึ่งเป็นเรือนจำชื่อดังทางฝั่งตะวันตกของนิวยอร์ก และตัวเขาเองยังอยู่ในความคุ้มครองอย่างเข้มงวดด้วย
แช็ปแมนกล่าวเพิ่มเติมว่าขณะนี้ เขากับภรรยาวางแผนจะร่วมกันจัดจำหน่ายเรื่องสั้นชื่อ The Prisoner's Letter และยังมีงานในฟาร์มรอเขาอยู่ ส่วนความคืบหน้าของคดีนั้น การขอรับอิสรภาพแบบมีทัณฑ์บนติดตัวของแช็ปแมนถูกปฏิเสธไปเป็นหนที่สามแล้ว โดยก่อนหน้านี้เขาเคยขอมาแล้วสองหนในปี 2000 และ 2002 และยังไม่ละความพยายาม เตรียมจะขอต่อในปี 2006 ด้วยเช่นกัน