ทิ้งห่างอัลบั้มชุดที่ 6 มานาน 3 ปี นี่คืองานล่าสุดของผู้ชายมาดกวนจอมยียวน "อ่ำ อัมรินทร์ นิติพนธ์"
ใครที่ชอบฟังเพลงที่มีดนตรีหลากหลาย(มากๆ) ทั้ง ป็อป ร็อก ลำตัด ไทยเดิม ลาติน ฯลฯ ในจังหวะสนุกสนานที่มีเนื้อหาไม่ต้องใช้หัวคิดอะไรมาก ไม่มีอะไรสลับซับซ้อน ได้ยินผ่านหู อมยิ้มแล้วก็จบกันไป
แทร็คแรกสนุกสนานกับ "ที่นี่กรุงเทพ" เนื้อหาชวนชาวต่างชาติไปเที่ยวที่ต่างๆ ที่ว่ากันไปเรื่อยเปื่อยตั้งแต่เชียงใหม่ สุรินทร์ หัวหิน ยันภูเก็ต แต่มีไฮไลต์อยู่ที่การล้อเลียนสิ่งก่อสร้างอันน่าอัศจรรย์ที่ชื่อว่า "โฮปเวลล์" แทร็คที่ 2 "อย่าคิดว่าเหนือ" จับเอามุกคาเฟ่ที่ผัวชอบตวาดเมียตนเองซะเสียงดังว่า..."จะให้ซักเสื้อ แล้วไหนล่ะแฟ้บ..."
"ผู้ชายเฮงซวย" (เพลงโปรโมต) ว่าด้วยเรื่องราวของผู้ชายนิสัยไม่ค่อยจะดีคนหนึ่ง(ทว่ามีความจริงใจ)แต่ต้องพ่ายความดีของแฟนสาว..."ตะบันหมาก" ประชดผู้หญิงที่ชอบถามถึงคำว่ารักด้วยการยืนยันว่าจะรักเธอไปจนแก่เฒ่าตะบันหมากกิน เพลงนี้ฟังดีๆ สามารถร้องเพลง "ลองซิจ๊ะ" ของพี่เบิร์ดแทนได้ ส่วน "คำแก้ตัว" ในแทร็คถัดมาเป็นป็อปไทยเดิมฟังเพลินๆ มีเสียงระนาดเข้ามาร่วมด้วยช่วยกัน..."ครับพี่ครับผม" น่าจะเป็นชีวิต(จริง)ของเจ้าตัวที่มีคนรอบข้างเป็นห่วงเป็นใยในความไม่ยอมโตซะที
เว้นจากการขยับกายส่ายเอว มาทำซึ้งๆ ในแบบฉบับของผู้ชายยียวนในเพลง "ตุ๊กแกกินตับ" ซึ่งน่าจะเป็นเพลงที่น่ารักที่สุดในอัลบั้มชุดนี้ เรื่องราวของพ่อลูกอ่อนกับคำที่ผู้ใหญ่ชอบขู่เด็กๆ ว่าถ้างอแงระวังจะถูกตุ๊กแกกินตับ(เพลงนี้)คาดว่าจะมาจากชีวิตจริงของเจ้าตัว...ถัดมา "ชัก...แหงกๆๆๆๆ" คงคุ้นเคยกันดีกับคำพูดของเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ ช่างเจรจาที่โทรศัพท์ไปเล่าเรื่องให้พ่อตนเองฟังในโฆณาของโทรศัพท์ยี่ห้อหนึ่ง
"รักครั้งแรก" เรื่องของผู้ชายคนหนึ่งไปแอบชอบผู้หญิงแต่ไม่กล้าแม้แต่จะสบตาสุดท้ายก็ต้องปล่อยให้แมวคาบไปรับประทาน และสุดท้ายสุดจะงงงวยกับเนื้อหาที่ฟังดูจะวกๆ วนๆ จับใจความได้ในทำนองที่ว่าจะชัวร์หรือไม่ชัวร์จะชอบหรือไม่ชอบก็ขอจับมือเธอก่อนได้มั้ย ในเพลงที่ชื่อว่า "มือบอน"
ที่น่าปรบมือเสียงดังๆ ให้กับผู้ชายคนนี้ก็คือการเป็นคนที่ยึดมั่นในแนวทางของตนเองไม่ว่าโลกจะไปถึงไหนแล้ว แต่เจ้าตัวก็ยังมองโลกในแง่ดี อารมณ์ดี จริงใจ
เสียงไม่ดีแต่มีเอกลักษณ์ เนื้อหาของเพลงไม่มีการประดิษฐ์ให้เพราะเสนาะหู หรือต้องการจะให้เป็นปรัชญา - คำคม หากแต่อยากจะอยากพูดอะไรก็พูดออกมา กวนบ้างพอให้คนหัวเราะแต่ก็ไม่ถึงกับเกเรระรานชาวบ้าน ซึ่งในบรรดาคนที่ทำเพลงที่เล่นกับคำพูดที่ติดหู มุกตลกจากโฆษณา ล้อเลียน - ประชด สังคม ต้องบอกว่าอ่ำคนนี้ไม่เป็นสองรองใคร
แต่คำถามหนึ่งที่น่าสนใจก็คือยังมีคนอีกมากน้อยเพียงไรที่ยังฟังเพลงในลักษณะนี้ของเขาอยู่
ย้อนกลับไปเมื่อสิบปีที่แล้วจนถึงปี พ.ศ.2544 ซึ่งเป็นปีที่เจ้าตัวออกอัลบั้มสุดท้าย(ชุด "ของขึ้น")วางแผง นับจากนั้นจนถึงวันนี้เป็นเวลากว่า 3 - 4 วงการเพลงบ้านเราในช่วงดังกล่าวถือว่ามีการเปลี่ยนแปลงและมีความหลากหลายมากยิ่งขึ้น ตรงนี้อาจจะเป็นสิ่งที่แกรมมี่ฯ ลืมไปหรือเปล่าว่าภาพลักษณ์หรือรูปแบบงานเพลงของอ่ำที่เคย "ขายได้" ไม่อาจจะนำมาใช้ได้อีกแล้ว
"อ่ำ อุดมสุข" ในตอนนี้จึงเป็นเพียงการรายงานความเคลื่อนไหวว่าที่ผ่านมามีมุกตลกอะไรเกิดขึ้นบ้าง แต่ไม่มีอะไรแปลกใหม่ ไม่มีอะไรโดดเด่น และไม่มีอะไรที่น่าประทับใจ
รวมทั้งยังเป็นงานอีกอัลบั้มหนึ่งที่ชี้ให้เห็นถึงกระบวนการทำเพลงแบบโรงงานอุตสาหกรรมเทปของแกรมมี่ฯ ได้อย่างชัดเจนจริงๆ