xs
xsm
sm
md
lg

หนังมะกันฉาว ทำโปสเตอร์นั่งบนเศียรพระ

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


เป็นเรื่องกันอีกแล้ว เมื่อหนังที่เคยคว้ารางวัลใหญ่จากเทศกาลหนังในต่างประเทศอย่าง Hollywood Buddha (http://www.ybg.com/hollywoodbuddha/) ของผู้กำกับชาวอเมริกัน "ฟิลลิปป์ คาแลนด์" ทำโปสเตอร์หนังย่ำยีพุทธศาสนิกชนด้วยการให้นักแสดงนำขึ้นไปนั่งอยู่บนเศียรพระพุทธรูป ซ้ำเนื้อเรื่องบางส่วนยังมีการบิดเบือนคำสั่งสอนซึ่งอาจทำให้ผู้ที่เข้าไปชมเกิดความเข้าใจผิดกับหลักธรรมของพุทธศาสนาไปด้วย

หนังเรื่องอื้อฉาวนี้ชื่อเดิมคือ "Kissing Metal" คาแลนด์เป็นผู้เขียน กำกับและแสดงนำเอง โดยมีเพื่อนพี่น้องและคนรู้จักมาร่วมแสดง รวมทั้งยังใช้ชื่อจริงเสมือนว่านี่เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจริง เล่าถึงเรื่องราวของ ฟิลลิปป์ ผู้กำกับชาวฝรั่งเศสที่ขายหนังไม่ออกมากว่า 5 ปีและกำลังถังแตกจนกระทั่งเขาไปพบกับ จิม เซียนพระคนหนึ่งในแอลเอ

จิมอาสาจะช่วยให้ชีวิตของฟิลลิปป์ดีขึ้น โดยแนะนำว่าเขาจะต้องนำเศียรพระที่ขลังที่สุดในรัฐไปบูชาเดือนละ 2,000 เหรียญพร้อมทั้งยังบอกด้วยว่าการสวดมนต์ - การจูบที่เศียรพระดังกล่าวจะเป็นการช่วยเพิ่มอำนาจอิทธิฤทธิ์และเศียรพระดังกล่าวก็จะดลบันดาลโชคลาภให้กับเขา ซึ่งโดยแท้จริงเศียรพระนั้นจิมไปขุดพบมาโดยบังเอิญและตัวเขาก็ไม่ได้เป็นเซียนพระแต่อย่างไรหากเป็นเพียงนักต้มตุ๋นคนหนึ่งเท่านั้นเอง

ทำโปสเตอร์ย่ำยี เบี่ยงเบนคำสอน
"Hollywood Buddha" เข้าฉายตามเทศกาลหนังมาแล้วในหลายๆ ประเทศอาทิเทศกาลหนังที่ปารีส งาน South By Southwest Film Festival และ New York/Avignon Film Festival และกวาดรางวัลมาแล้วมากมายไม่ว่าจะเป็นรางวัลภาพยนตร์ยอดเยี่ยมและผู้กำกับยอดเยี่ยมจากเทศกาลหนัง Taos Vision Quest Film Festival รวมทั้งได้รับคำชมจากคนในวงการหนังมากมายไม่ว่าจะเป็น "เอเดรียน ไลน์" ผู้กำกับชื่อดังจากภาพยนตร์เรื่อง Unfaithful ที่บอกว่าหนังเรื่องนี้เป็นหนังที่ดีที่สุดที่เกี่ยวกับแอลเอเลยที่ไม่น่าพลาดด้วยประการทั้งปวง เช่นเดียวกับ เจย์ เลวิน ผู้ก่อตั้งหนังสือพิมพ์แอลเอวีคลีย์ แสดงทัศนะว่าหนังเรื่องนี้ได้ให้ทั้งความสุข อารมณ์ขันที่ดูมีชีวิตชีวาและแสดงให้เห็นถึงไหวพริบสติปัญญาของตัวละคร ได้อย่างครบครัน รวมไปถึงมีรูปแบบการนำเสนอที่น่าสนใจด้วย

อย่างไรก็ตามหลังจากที่ภาพยนตร์เรื่องนี้ถูกลงโปรแกรมไว้ว่าจะเข้าฉายในอเมริกาวันที่ 24 กันยายนนี้ก็เริ่มได้รับกระแสต่อต้านจากชาวพุทธขึ้นมาบ้างแล้วไม่ว่าจะเป็นในส่วนของเนื้อหาของภาพยนตร์ที่อาจจะทำให้คนทั่วไปเข้าใจหลักคำสอนไปในทางที่ไม่ถูกต้อง รวมทั้งความไม่เหมาะสมของภาพโปสเตอร์ที่ให้ตัวนักแสดงขึ้นไปนั่งอยู่บนเศียรพระพุทธรูป โดยทางสมัชชาสงฆ์ไทยในสหรัฐอเมริกาได้นำภาพยนตร์เรื่องดังกล่าวเข้าไปตั้งเป็นหัวข้อไว้ที่ www.thaitemple.org พร้อมกับแสดงความคิดเห็นว่าชาวพุทธเองน่าจะออกมาทำอย่างไรกับภาพยนตร์เรื่องนี้บ้างแต่ทั้งหมดนั้นต้องเป็นไปอย่างสันติวิธี

สำนักพระพุทธฯ เตรียมยื่นเรื่อง
พล.ต.ท. อุดม เจริญ ผู้อำนวยการสำนักพระพุทธศาสนาแห่งชาติ กล่าวว่า ที่ผ่านมาได้เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นมาโดยตลอด ซึ่งเป็นเพราะความไม่เข้าใจในความละเอียดอ่อนของพระพุทธศาสนาต่อพุทธศาสนิกชน พร้อมชี้เป็นการกระทำของคนที่มองวัตถุมากกว่าจิตใจ

"ก่อนหน้าที่จะเกิดเรื่องนี้ก็มีเกิดขึ้นที่เมืองจีนที่นำมาทำเป็นรูปขวดไวน์ ซึ่งมันเกิดจากความไม่เข้าใจในพระพุทธศาสนา ชาวต่างชาติจำนวนมากเข้าใจว่าเป็นเรื่องที่ไม่ร้ายแรงนัก หากนำมาล้อเล่นหรือล้อเลียน และมองในเรื่องของการค้า ผลตอบแทนมากว่าด้านจิตใจ ซึ่งหากเราได้มีการชี้แจง เท่าที่เห็นมาก็สามารถตกลงกันได้ เขายอมที่จะแก้ไขให้ เพราะถึงแม้การทำอย่างนี้จะทำให้เขาได้รับผลตอบแทนที่ดีในแง่การตลาด แต่หากจะต้องมีกลุ่มคนที่ไม่พอใจก็ย่อมเท่ากับไม่เป็นผลดีต่อสินค้าของเขา เขาก็ยอมที่จะถอยให้และกล่าวแสดงขอโทษพร้อมทั้งแสดงความเสียใจ"

ผอ.สำนักพุทธฯ ชี้แจงต่อว่า ที่ผ่านมาหลังจากที่ได้รับการร้องเรียนจากบรรดาพุทธบริษัททั้งหลายในเรื่องที่ส่งผลต่อภาพลักษณ์ของพระพุทธศาสนาแล้วก็ไม่ได้นิ่งนอนใจแต่อย่างใด ตรงกันข้ามได้มีการเร่งดำเนินการอย่างเคร่งครัดและรวดเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้

"หากเรื่องเกิดในต่างประเทศทางเราจะทำหนังสือถึงกองสารนิเทศ กระทรวงการต่างประเทศ เพื่อให้ทางนั้นเร่งประสานงานติดต่อไปยังต้นเรื่อง จากนั้นหากได้ผลตอบรับกลับมาอย่างไรก็จะมีการรายงานผล ในกรณีนี้หากชี้แจงไปแล้วยังไม่มีการแก้ไขใดๆ ทางเราก็ทำได้เพียงใช้มาตการของความเมตตา โดยจะจัดแถลงการณ์ให้พุทธศาสนิกชนทราบว่าได้มีการดำเนินการแล้วแต่ไม่ได้รับความร่วมมือ"

"แต่ที่ผ่านมาไม่เคยมีรายไหนขัดข้อง และคาดว่าสำหรับภาพยนตร์เรื่องนี้คงมีการตกลงที่ดีกันได้"

กฏหมายอาจใช้ไม่ได้ ต้องใช้กฏแห่งกรรม
ด้านนางจุฬารัตน์ บุญญากร ผู้อำนวยการสำนักเลขาธิการมหาเถรสมาคม กล่าวในฐานะที่เป็นหน่วยงานที่ทำหน้าที่ออกหนังสือติดต่อไปยังกระทรวงการต่างประเทศในเรื่องนี้ว่า ได้รับทราบเรื่องแล้วแต่ยังไม่เห็นภาพโปสเตอร์ที่ถูกกล่าวถึงจึงยังไม่ได้ทำเรื่องส่งไป ซึ่งหากได้หลักฐานที่ชัดเจนแล้วจะรีบดำเนินการทันที

"เราไม่เคยนิ่งนอนใจกับเรื่องที่สร้างความบั่นทอนให้กับพระพุทธศาสนา อย่างในเรื่องนี้จะมีการติดต่อไปแน่นอนซึ่งผลออกมาจะเป็นอย่างไร ไม่อาจทราบได้ แต่หวังในแง่ดีและมองอย่างชาวพุทธแล้วคาดว่า ไม่น่าจะมีปัญหา ทางผู้อำนวยการสร้างหนังเรื่องหลังจากที่ได้รับเรื่องน่าจะยอมผลัดเปลี่ยนรูปที่ไม่เหมาะสมลง"

นอกจากนี้นางจุฬารัตน์ยังได้ชี้แจงต่ออีกว่า สำหรับการติดต่อล่าสุดนั้นเป็นเรื่องของขวดไวน์ในประเทศจีน ซึ่งอยู่ในระหว่างการรอผลตอบกลับว่าจะปฏิบัติตามข้อเรียกร้องได้หรือไม่เนื่องจากในเรื่องพวกนี้บางครั้งก็ไม่อาจจะใช้กฏหมายเข้าไปจัดการได้

"เก้ง" บอกฝรั่งไม่ดูตาม้าตาเรือ
ในส่วนของผู้กำกับชื่อดังของไทย "เก้ง จิระ มะลิกุล" จากบริษัท "หับโห้หิ้น" ที่เจ้าตัวเคยถูกกระแสต่อต้านมาแล้วจากคนไทยบางส่วนเมื่อครั้งที่ทำหนังไทยเรื่อง "สิบห้าค่ำเดือน 11" ด้วยการหยิบยกเอาเรื่องความเชื่อในเรื่องบั้งไฟพญานาคขึ้นมานำเสนอได้แสดงความคิดเห็นว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องของฝรั่งที่ไม่ดูตาม้าตาเรือ

"คือจะบอกอย่างไรดีว่า เอ่อ มันเป็นเรื่องของการไม่ให้เกียรติน่ะ เป็นเรื่องของฝรั่งที่ไม่ดูตาม้าตาเรือ คือผมว่าเขาก็รู้ว่าสำหรับคนไทยหรือชาวพุทธเรื่องนี้มันเป็นเรื่องที่ค่อนข้างจะเซ้นซิทีฟมาก ผมว่าเขารู้ตรงนี้ดี แต่แบบว่ามันอย่างไรล่ะ มันเป็นเรื่องที่เขาคงจะมองว่าประเทศของเราเป็นพวกที่อยู่ปลายแถวน่ะ อย่างสมมติว่าถ้าเป็นเพื่อนกันบ้านเราเมืองเราก็เป็นเพื่อนที่อยู่ปลายแถว ซึ่งเขาคงจะไม่ได้อยากคบกับเรา ไม่ได้มีความต้องการที่จะมาสัมพันธ์ด้วย หรือไม่เห็นเราอยู่ในสายตา"

มักจะมีหนังในทำนองนี้ออกมามากมาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากฝั่งประเทศตะวันตกที่มีเรื่องของหลักความเชื่อที่แตกต่างกัน เก้งบอกว่าไม่ใช่เรื่องที่ผิดของอีกฝ่ายแต่เป็นเรื่องของมารยาทมากกว่า

"ผมไม่ได้ว่าทางเขาผิดนะที่ทำหนังแบบนี้ออกมา เขาไม่ได้ผิด เพียงแต่ว่าอย่างที่บอกว่าเราไปอยู่ในส่วนที่เขาไม่ต้องสนใจว่าเราจะไปทำอะไร เรารู้สึกอย่างไร หรือว่าอันไหนมันเป็นเรื่องเซ้นซิทีฟของเรา อย่างถ้าเรามีเพื่อนที่เราคบอยู่ขาสั้นข้างยาวข้าง ก็เป็นอันรู้กันว่าเราไม่ต้องไปพูดเรื่องนี้กับเขา เราจะไม่ไปสะกิดปุ่มนี้ของเขา"

"ส่วนบางคนที่จะคิดว่ามันเป็นเรื่องของการปิดกั้น ถ้าจะมีการไม่ให้เอาหนังเรื่องนี้เขามาฉายในบ้านเรา ผมว่ามันเป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้นะ เพราะว่าคนส่วนใหญ่เขาเชื่อเช่นนั้น แล้วมันเป็นจุดที่คนส่วนใหญ่เขายอมไม่ได้ เพราะฉะนั้นคุณอยู่ในสังคมที่เขาเคารพและเชื่อในเรื่องนี้ คุณก็ต้องให้ความเคารพในสิ่งที่คนส่วนใหญ่เขาเคารพนับถือด้วย"


กำลังโหลดความคิดเห็น