xs
xsm
sm
md
lg

Windstruck : การกลับมาของ “ยัยตัวร้าย”

เผยแพร่:   โดย: ธีปนันท์ เพ็ชร์ศรี


เพราะสิ่งที่ต่างคนต่างทำไว้ใน My Sassy Girl - - การกลับมาพบกันอีกครั้งของผู้กำกับ กวัก แจยัง และนางเอก จอนจีฮุน ใน Windstruck จึงทำให้เกิดความคาดหวังต่างๆ นานา ผลของคนอื่นๆ เป็นอย่างไรไม่ทราบ แต่ส่วนตัวผมออกจะผิดหวังอยู่เล็กๆ

จริงอยู่ที่งานของกวัก แจยังทั้ง 2 เรื่องที่ผ่านมา ไม่ใช่งานที่มีคุณค่าทางศิลปะสูงล้น เขาเล่นกับเรื่องราวง่ายๆ มุกตลกที่ค่อนไปทางเจ็บตัว (ทำนองทึ่งโป๊ะเอาถาดเคาะหัว) และหลายช่วงหลายตอนที่หนังดำเนินสู่วิถีทางซ้ำซากจำเจของภาพยนตร์ - ซึ่งบวกลบโดยรวมแล้ว ถือเป็นงานตลาดๆ ดาดๆ ขนานแท้ คะแนนชั้นเชิง ความลุ่มลึกและความคิดสร้างสรรค์ติดลบเอามากๆ

ทว่าเหตุผลที่ทำให้กวัก แจยังเป็นหนึ่งในคนทำหนังที่ผมนับถือและชื่นชอบ (และพลอยอดตั้งความหวังกับงานของเขาไม่ได้) คือ การจับจังหวะอารมณ์อันแม่นยำ สิ่งที่คนดูเห็นใน My Sassy Girl และ The Classic นั้น ไม่ใช่ของใหม่อะไรเลย โดยเฉพาะกับ The Classic - ที่พล็อตอันแสนน้ำเน่าของมันแทบจะทำให้ดาราวิดีโอเรียกพี่ - แต่เขาก็ควบคุมคนดูได้ ไม่ว่าจะให้ยิ้ม หัวเราะ หรือร้องไห้ ก็สำเร็จทั้งนั้น

นอกเหนือจากความสามารถข้างต้นแล้ว คุณสมบัติของกวัก แจยัง อีกประการ ที่ใครอีกมากมายหลงรัก เห็นจะเป็นอารมณ์ขันของเขา ถ้าสังเกตกันดีๆ จะพบว่าคนทำหนังผู้นี้หยอดอะไรไว้ในงานของตัวเองมากมาย แม้แต่การดูรอบที่ 4 ก็ยังจับอะไรที่ผ่านหูผ่านตาไปจากรอบก่อนๆ ได้เสมอ

ทั้งนี้ทั้งนั้น สิ่งที่ทำให้ต้องยกนิ้วให้กับกวัก แจยังจริงๆ อยู่ที่การซื่อสัตย์ต่อตัวเอง เพราะในขณะที่ผู้กำกับส่วนใหญ่อยากทำงานที่ฉีกออกไปจากขนบเดิมๆ หรือนำสมัยอยู่ตลอดเวลา เขากลับมั่นคงอยู่กับเรื่องราวที่เขาชมชอบ และพิถีพิถันกับมัน ราวกับว่าเรื่องเหล่านั้นคือน้ำดีที่ไม่มีกลิ่นเน่าเจือจางอยู่เลย

Windstruck ก็ใช้สูตรเดียวกับงานชิ้นก่อน - และใช่แล้ว มันยังมีกลิ่นตุๆ - 60 เปอร์เซ็นต์แรกจะเป็นการอัดคนดูด้วยมุกตลก แล้วพอความผูกพันระหว่างตัวละครและผู้ชมเริ่มพัฒนา หนังก็จะจัดการเล่นกับอารมณ์ในด้านที่ละเอียดอ่อนกว่าเดิมทันที

โย คุงจิน ตัวละครที่รับบทโดย จอนจีฮุน ก็คล้ายคลึงกับบทของหญิงสาวนิรนามใน My Sassy Girl ที่ดีกรีความร้ายอยู่ในระดับสูสี หนังแนะนำตัวเธอได้ดีในฉากที่เธอได้พบกับพระเอกเป็นครั้งแรก ที่รวมเอาเรื่องผิดฝาผิดตัว พ่อแง่แม่งอนได้อย่างพอเหมาะพอเจาะ

มุงวู (จัง ฮอค) กำลังไล่ตามโจรวิ่งราวกระเป๋าจากผู้หญิงคนหนึ่ง ในขณะที่คุงจิน - ตำรวจสาวซึ่งอยู่ในช่วงออกเวร - เดินมาเห็นพอดี และเข้าใจว่าพระเอกของเราคือคนร้ายที่ว่านั้น เธอจัดการจับตัวเขาไปโรงพัก โดยไม่มีการฟังคำทัดทานของฝ่ายชายว่า ทั้งหมดเป็นเรื่องเข้าใจผิด

แต่ทันทีที่เรื่องราวทั้งหมดกระจ่าง แทนที่เธอจะแสดงสีหน้าสลดใจหรือกล่าวคำขอโทษ กลับหันหลังและจากไปอย่างไร้มารยาท จนอีกฝ่ายทนไม่ไหวเป็นคนร้องขอคำขอโทษเสียเอง “ถ้าอยากให้ฉันพูดขอโทษ นายก็ไปเปลี่ยนชื่อเป็นขอโทษสิวะ” เธอบอก

เพราะอานุภาพของสายลมหรืออาจเป็นของโชคชะตา เธอกับเขาได้มาพบกันอีกครั้งหนึ่ง และต่างก็มองเห็นอะไรบางอย่างในกันและกันมากขึ้น หนังมีฉากที่น่ารักๆ หรือที่ฝรั่งเรียกกันว่า cute scene มากมายในช่วงนี้ ตั้งแต่การต้องผูกกุญแจมือติดกันขณะที่ต้องล้างหน้าล้างตาไปด้วย เลยไปถึงฉากที่ดูคล้ายจะน่าเบื่อมากๆ อย่างตอนที่พระเอกชิมอาหารฝีมือของนางเอกแล้วพบว่ารสชาติไม่เอาอ่าว จนต้องเติมน้ำลงไปในหม้อแกงจนหมดเหยือก - กวักก็ทำออกมาได้อย่างชวนยิ้ม

แต่นับจากฉากที่ว่านั้นแล้ว และกินไปจบกระทั่งจบเรื่อง พลังอะไรต่างๆ นานาที่หนังได้สร้างมาก็ลดลงทีละน้อย โดยเฉพาะช่วง 20 นาทีสุดท้ายของหนังที่ผมถือว่าเป็นความล้มเหลวอย่างมาก

มุงวูเสียชีวิตไปโดยที่คุงจินเข้าใจว่ามีสาเหตุมาจากเธอ หญิงสาวเลยปล่อยตัวเองให้จมอยู่กับความทุกข์ พยายามฆ่าตัวตายอยู่อย่างน้อยๆ 2 ครั้ง แต่ก็รอดมาได้ด้วยวิธีการที่เหลือเชื่อ เหนือสิ่งอื่นใด การรอดชีวิตของเธอ ทำให้คนดูคิดว่า เธอน่าจะหรือควรจะทำใจได้แล้ว แต่หนังก็ไม่ให้อารมณ์และสติปัญญาของเธอพัฒนาไปไหน

สัญญาณที่สื่อถึงการกลับมาของพระเอก (ทั้งเรื่องลมและจรวดกระดาษ) หนังก็ทำการย้ำบ่อยเกินไปแต่ก็ไม่มีอะไรเป็นจริงเป็นจัง ซึ่งก็หมายความว่า ถ้ารวมกับพฤติกรรมของนางเอกที่ผมบอกไปในย่อหน้าข้างต้น คล้ายกับว่า คนดูต้องทนดูหนังม้วนเดียวกันซ้ำๆ ไม่มีอะไรคืบหน้า

แน่นอน เพราะอย่างนั้นการจัดวางจังหวะอารมณ์จึงเสียกระบวนไปหมด ในฉากล่ำลาท้ายสุดที่แม้จอนจีฮุนจะปล่อยน้ำตาออกมามากแค่ไหน มันก็ไม่ช่วยให้มีความซาบซึ้งตามไปด้วยได้ เนื่องจากอารมณ์มันขาดหายไปแล้วใน 10 นาทีก่อนหน้า หนังมีปัญหาในจุดนี้อย่างชัดเจน และที่ทำให้มันกลายเป็นข้อบกพร่องอย่างรุนแรงก็เพราะมันเป็นสิ่งที่กวัก แจยังเคยทำได้ดีกว่า ในงานชิ้นก่อนๆ

แต่พ้นไปจากข้อเสียที่ว่าแล้ว หนังเรื่องนี้ก็มีส่วนที่น่าหลงใหลมากมาย อย่างที่รู้ๆ กัน จอนจีฮุน ไม่เคยพลาดอยู่แล้วกับบทถนัดลักษณะนี้ ประกอบกับบทหนังเองก็ไม่มีส่วนใดยากต่อความสามารถของเธอ จึงเรียกได้ว่าสอบผ่านอย่างสบายๆ จัง ฮอคก็เช่นกัน ในหนังที่นางเอกแรงขนาดนี้แล้วยังรักษาความเด่นของตัวเองไว้ได้ ก็ถือว่าน่าชื่นชม

และที่กลายเป็นยี่ห้อของผู้กำกับไปแล้วคือเพลงประกอบที่แสดงให้เห็นว่า กวัก แจยัง เป็นคน “หูถึง” ไม่ใช่เล่น คราวนี้เขาขนเพลงคุ้นหูมาอัดไว้ในหนังมากมาย ที่เล่นวนอยู่หลายรอบจนนำมาแปลงเป็นเพลงธีมด้วยก็คือ Knockin’ On Heaven’s Door (เพลงเก่าของบ็อบ ดีแลนฉบับนำมาคัฟเวอร์ใหม่) และ Stay (ฉบับดั้งเดิมของมอริซ วิลเลียมส์ และเดอะ โซดิแอกส์) โดยเฉพาะเพลงหลังที่เปิดในฉากเต้นรำกลางฝนนั้น เป็นหนึ่งในโมเมนต์ที่ดีมากของหนัง

Windstruck คงไม่ใช่งานที่น่าจดจำนัก ทั้งสำหรับคนดูที่ตั้งความหวังไว้สูงหรือกระทั่งตัวผู้กำกับเองที่สร้างเครดิตไว้กับงานก่อนๆ กล่าวโดยรวมคือมันยังมีปัญหาในเรื่องการดึงอารมณ์ร่วมจากคนดู แต่ผมเดาเอาว่า หากไปถามแฟนหนังแนวนี้ ที่ต้องการแค่ความบันเทิงจากความน่ารักของตัวละคร เรื่องราวและดนตรีเพราะๆ คำตอบอาจจะออกมาในอีกรูปแบบหนึ่งทันที.

รูป จวน จี ฮุน ตอนมาเปิดตัวหนังเรื่อง windstruck ในเมืองไทย

อ่านบทสัมภาษณ์ของจวน จี ฮุน เพิ่มเติมได้ใน mars

free download wallpaper สวยๆ ของ จวน จี ฮุน



กำลังโหลดความคิดเห็น