xs
xsm
sm
md
lg

เกิดมาลุย : โรแมนติกฮีโรที่ชื่อ “พันนา ฤทธิไกร”

เผยแพร่:   โดย: ธีปนันท์ เพ็ชร์ศรี


เป็นที่ทราบกันดีว่า หนทางสู่ดวงดาวของ จา พนม ยีรัมย์ เริ่มต้นจากการเป็นเด็กคนหนึ่งที่ชอบดูหนังของ พันนา ฤทธิไกร เมื่อความชอบเปลี่ยนเป็นความฝัน - อยากเป็นเหมือนฮีโรของเขาบ้าง - จา พนมจึงเข้าไปสมัครเป็นลูกศิษย์ของพันนา โดยไม่ฟังคำทัดทานของใครทั้งสิ้น

คงต้องบอกว่า ไม่ใช่จะมีแต่จาเพียงคนเดียว เด็กบ้านนอกหลายคนที่โตมากับหนังกลางแปลงช่วงปี 2525-2535 ก็เป็นแบบนั้น กล่าวคือ รู้สึกชื่นชมกับภาพการต่อสู้บนจอหนัง จนต้องเกลี่ยพื้นที่ในดวงใจให้พันนา ฤทธิไกรมายืนร่วมกับฮีโรคนอื่นๆ

ใครจะเห็นเป็นเรื่องน่าขำอย่างไรก็ตาม อย่างน้อยก็มีผมคนหนึ่ง (และเพื่อนๆ อีก 2-3 คน) ที่อยู่ในข่ายนั้น (เราอาจจะต่างจากจา พนมตรงที่ไม่สามารถเดินทางไปสมัครเป็นศิษย์ เพราะข้อจำกัดหลายประการ)

ผมจำไม่ได้แน่นอนว่า ได้ดูหนังของพันนา ฤทธิไกรไปกี่เรื่อง รายละเอียดบางอย่างเลือนหาย แต่หลายอย่างก็ยังชัดเจนอยู่ในความทรงจำเมื่อนึกถึง

ตามธรรมเนียมของหนังกลางแปลงซึ่งจะแวะมาตั้งโรงแถวบ้านผมเดือนละครั้ง โปรแกรมเด็ด 3 เรื่องควบจะมีรูปแบบที่ชัดเจน - หนังจีนเรื่องดังที่เพิ่งออกจากโรงใหญ่ไม่นานจะมีสิทธิ์ได้ฉายก่อนเป็นอันดับแรก ตามมาด้วยหนังใหม่ของไฟว์สตาร์หรือบางครั้งก็เป็นหนังแอ๊กชั่นฝรั่งที่รอยขูดขีดของฟิล์มยืนยันว่ามันได้รับความนิยมมากเพียงใด

สำหรับหนังเรื่องที่ 3 - ซึ่งกว่าจะเริ่มฉายเวลาก็ล่วงเลยเข้าสู่เช้ามืดของวันใหม่ - ถูกจับจองมายาวนานโดยหนังของพันนา ฤทธิไกร

ผ้าพลาสติกหนาสีน้ำเงินเข้มซึ่งถูกใช้เป็นผนังกั้นโรงหนังชั่วคราวถูกปลดลง ระหว่างที่โลโก้ของเพชรพันนา โปรดักชั่นฉายอยู่บนจอ หลายคนเริ่มม้วนเสื่อกลับ ในขณะที่อีกส่วนนั่งนิ่งอยู่กับที่ รอคอยสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นตรงหน้าอย่างใจจดใจจ่อ

หนังของพันนาอาจจะไม่ใช่หนังที่วิเศษอะไร งานสร้างเทียบไม่ได้เลยกับหนังบู๊ฮ่องกงประเภท "เชือด...เชือดนิ่มนิ่ม" ที่โด่งดังในช่วงเดียวกัน ลีลาฉากต่อสู้ของพันนาอาจไม่พลิ้วไหวเหมือนกับของหลี่ไซ่ฟ่ง ถึงอย่างนั้นผมก็ไม่เคยลุกหนีหนังของพันนาเลยสักครั้ง

ความน่าตื่นตาตื่นใจของพันนา ฤทธิไกร สำหรับตัวผมเองอยู่ตรงที่ มันเป็นการต่อสู้ที่เหมือนจริง ตัวประกอบอดทนก็จะทำหน้าที่ของตัวเองอย่างแข็งขัน บางเรื่องหนังถึงกับปล่อยให้การต่อสู้ดำเนินไปยาวนาน และพันนากล้าหาญมากที่กดฟิล์มแช่ไปโดยไม่มีการตัด เพื่อย้ำเตือนกับผู้ชมว่าที่เห็นนั้นมันของจริงทั้งนั้น

ไม่ใช่แค่นั้นที่ทำให้ผมหลงรักพันนา ฤทธิไกร เพราะในขณะที่มองเผินๆ พล็อตหนังที่ถูกคิดขึ้นมาเพื่อเป็นการเปิดโอกาสให้เกิดฉากต่อสู้อันหลากหลาย (นอกเหนือจากนั้นมันก็แทบจะไม่มีอะไรใหม่เลย จนสามารถจัดหมวดหมู่พล็อตได้ 2 ประเภท คือ “ไม่คิดอะไรเลย” กับ “ใช้สมองส่วนไหนคิดกันเนี่ย?”) แต่ลึกๆ แล้ว มันกลับแฝงอะไรน่ารักๆ ไว้มากมาย

พันนาเป็นคนมีอารมณ์ขันมาก เขาใส่มุกตลกพื้นๆ เพี้ยนๆ (แถวบ้านบางคนอาจจะเรียก มุกควาย) เข้าไปในหนังแบบไม่ยั้งมือ บางครั้งฝ่ายธรรมะและอธรรมจะโยนมุกประเภทนี้ใส่กันอย่างเมามัน (โดยลืมไปว่าต่างฝ่ายต่างต้องเอาชีวิตกัน) ก่อนจะตามล้างตามฆ่ากันในตอนท้ายเรื่อง เขายอมเสียเวลาไปกับมุกเหล่านี้ โดยไม่สนใจว่ามันจะกลมกลืนกับหนังหรือเปล่า และจุดนี้เองที่ทำให้งานของพันนามีมนต์ขลังอย่างประหลาด

ทั้งนี้ทั้งนั้น ผลงานแทบทุกชิ้นของเขาก็ไม่ลืมที่จะบอกเล่าเรื่องราวง่ายๆ หรือคติสอนใจ ประเภทธรรมะย่อมชนะอธรรม ความดีชนะความชั่ว รวมไปถึงการเสียสละเพื่อประโยชน์ส่วนรวม ซึ่งทั้งหมดนั้นแสดงให้เห็นว่าทัศนคติของพันนาน่าชื่นชมแค่ไหน

ที่เขียนมาทั้งหมด เป็นความรู้สึกอย่างย่นย่อของผมต่อคนทำหนังที่ชื่อ พันนา ฤทธิไกร หลังจากลืมเขาไปนาน จนกระทั่งได้มาดูเกิดมาลุยเมื่อสัปดาห์ก่อน

อาจเพราะเต็มไปด้วยอคติ ผมจึงชอบเกิดมาลุยมากๆ หนังเต็มไปด้วยความบันเทิงและเสน่ห์ที่หาไม่ได้ในองค์บาก (อันถือว่าเป็นการกลับมาแบบครึ่งตัวของเขา หลังจากหายหน้าไปนาน) ผมเชื่อว่าหลายๆ ส่วนในหนังเรื่องนี้ คงจะทำให้แฟนพันธุ์แท้ของพันนามีความสุข และหายคิดถึง โดยเฉพาะกับฉากคุณยายผู้สงสัยเกี่ยวกับชื่อกีฬารักบี้ - มันเป็นมุกแบบพันนาแท้ๆ ที่ไม่มีใครสามารถทำได้ลงตัวอย่างเขาอีกแล้ว

คงไม่ต้องขยายความก็น่าจะทราบกันว่า เกิดมาลุย มีเหตุผลทางธุรกิจมากมายเข้ามาเกี่ยวข้อง ด้วยความสำเร็จของหนังอย่างองค์บาก ทำให้องค์ประกอบที่ใส่เข้ามาในเกิดมาลุยอยู่ในลักษณะขายตรงชัดเจน แต่บทภาพยนตร์ก็ทำได้ “เนียน” อย่างไม่มีปัญหา

แต่ความมหัศจรรย์ของพันนา ฤทธิไกรอยู่ตรงการควบคุมอารมณ์ของหนังได้อยู่หมัด ซีเควนซ์ที่นักสู้ทั้งหมดตัดสินใจว่าจะสู้หรือจะถอย โดยนำเพลงชาติเข้ามาเป็นเงื่อนไข เป็นตัวอย่างที่แสดงถึงศักยภาพการเป็นนักเล่าเรื่องของพันนา ฤทธิไกรได้ดีมาก ฉากแบบนี้ถ้ามากหรือน้อยไปแค่นิดเดียว มันจะกลายเป็นอีกเรื่องหนึ่งทันที แต่พันนาก็ทำได้พอดีๆ และน่าชื่นชม

ในส่วนของฉากเสี่ยงตายทั้งหลาย พันนาก็ไม่ทำให้เสียยี่ห้อตัวเอง และมันคงเป็นเรื่องยากมากถ้าจะให้บรรยายว่าน่าตื่นเต้นแค่ไหน เอาเป็นว่าลองไปดูเองก็แล้วกันครับ

ผมคงต้องย้ำอีกทีว่า เกิดมาลุย ก็เหมือนกับหนังพันนาที่ผ่านมา (ต่างกันแค่งานสร้างดีขึ้นมาก เพราะเงินทุนที่สูงขึ้น) และมันไม่ใช่หนังที่ดีพร้อม มีข้อบกพร่องอยู่บ้าง และคุณค่าทางศิลปะชั้นสูงอาจอยู่ในปริมาณที่ไม่มาก

เกิดมาลุยเป็นหนังลูกทุ่งแท้ๆ ที่หายากแล้วในสมัยนี้ หนังปลุกใจให้ฮึกเหิม พูดเรื่องความสามัคคีและการเสียสละ ซึ่งดูเหมือนจะเป็นประเด็นที่ไม่เท่เท่าไหร่สำหรับคนทำหนังร่วมสมัย รุ่นพี่นักวิจารณ์คนหนึ่งบอกว่า มันสามารถจัดอยู่ในหมวดเดียวกับหนังอย่างโหมโรงได้เลย กล่าวคือ ดูแล้วรู้สึกรักความเป็นไทยขึ้นมาทันที และผมเองก็ไม่เห็นค้าน

ผมไม่ทราบว่าผลการตอบรับเรื่องรายได้เป็นอย่างไร แต่ก็อยากให้ไปดูกันเยอะๆ พันนา ฤทธิไกรถูกทอดทิ้งมานานแล้ว และคนที่มีความสามารถอย่างเขาควรได้รับการยกย่องมากกว่านี้

คอลัมน์ภาพยนตร์สัปดาห์นี้ดูเหมือนการขายของนะครับ แต่สักครั้งหนึ่งเพื่อฮีโรในดวงใจ - น้อยกว่านี้ไม่ได้จริงๆ ครับ



กำลังโหลดความคิดเห็น