Goog bye Lenin! ฉายในบ้านเราแค่ 2 โรงเท่านั้น คือ ลิโดและเมเจอร์ฯ รัชโยธิน ตอนแรกผมก็คล้ายจะเข้าใจว่าทำไมถึงเป็นอย่างนั้น แต่เมื่อได้ดูหนังแล้ว ความไม่เข้าใจ (แบบน่ารำคาญ) ก็ก่อตัวขึ้นมาอีก
ถ้าวัดกันเฉพาะความสนุกสนาน ผมเอาหัวเป็นประกันว่า มันไม่ได้ด้อยไปกว่าหนังอย่าง Mean Girls, I, Robot หรือ The Prince & Me ที่ยืนโรงฉายด้วยกัน (และแน่นอน - ในจำนวนโรงที่มากกว่า) เลย หนำซ้ำ ถ้าเทียบชั้นเชิงในการนำเสนอ และความเฉียบคมของบทภาพยนตร์ เผลอๆ Good bye Lenin! อาจอยู่ในขั้นเป็นต่อ
ผมไม่เข้าใจว่า เป็นเพราะเหตุใดที่หนังเรื่องนี้ถึงได้รับการปฏิบัติเช่นนั้น คนไทยไม่ควรดูหนังดีๆ แบบนี้หรืออย่างไร ผมฟุ้งซ่านไปว่า บางทีหนังเล็กๆ เรื่องนี้อาจสามารถเป็นแรงบันดาลใจให้กับใครอีกหลายคนก็ได้ โดยเฉพาะกับนักเรียนหนังหรือเยาวชนที่ต้องการแสวงหาอะไรแปลกใหม่ให้กับตัวเอง แต่บ้านเราก็ทำโอกาสประเภทนี้ ให้ไม่ต่างอะไรกับรูแคบๆ ที่ต้องใช้ความพยายามและขวนขวายในการเข้าถึง
เพราะฉะนั้นหากใครที่ยังรู้สึกลังเลว่า ต้องนั่งรถไปไกลเพื่อจะต้องไปนั่งฟังภาษาเยอรมันเสียงขึ้นจมูก ต้องไปนั่งดูดาราหน้าไม่คุ้น และเข้าใจว่าเครดิตรางวัลมากมายบนโปสเตอร์นั้น หมายถึง จำนวนขั้นกระไดที่ต้องใช้ปีนดู - เข้าไปชมเถอะครับ หนังเขาดีจริงๆ นี่ผมไม่ได้รับเงินใต้โต๊ะจากค่ายหนังหรอกนะ ผมเองนั้นจ่ายเงินค่าตั๋ว (อันน่าตกใจ) ที่รัชโยธินไป 170 บาท ยังรู้สึกว่าคุ้มค่าเลย
Good bye Lenin! ของผู้กำกับวูลฟ์กัง เบคเกอร์ สร้างปรากฏการณ์ในเยอรมันเมื่อปีก่อน หนังทำรายได้ถล่มทลาย กวาดรางวัลทั้งในบ้านเกิด รวมทั้งในระดับนานาชาติ ถือได้ว่าเป็นหนังที่ทำให้วงการภาพยนตร์ของเยอรมันกลับมาคึกคักอีกครั้ง
ความจริงหนังเยอรมันร่วมสมัยนั้นอยู่ในระดับดีมาตลอด แต่ก็ไม่ถึงขั้นโดดเด่นและกุมหัวใจคนดูได้เท่ากับงานชิ้นนี้ของเบคเกอร์ มองกันอย่างปราศจากอคติ Good bye Lenin! ก็เป็นงานดรามาปนคอมเมดีธรรมดาๆ คล้ายกับงานเอาเถิดเจ้าล่อของบิลลี ไวล์เดอร์อยู่ไม่น้อย (เผลอๆ องค์ประกอบประเภท พ่อแม่แยกทางกันเพราะโชคชะตา การโกหกเพื่อคนที่รัก ความผูกพันระหว่างครอบครัว เหล่านี้ละครหลังข่าวบ้านเราก็มีให้เห็น)
แต่สำหรับสายตาของคนเยอรมัน การที่หนังพูดถึงเบอร์ลินในสมัยที่ยังคงแบ่งแยกเป็นตะวันออกและตะวันตก มันไม่ใช่แค่เรื่องปกติที่จะมองผ่านไปได้ ทว่ามันนำมาซึ่งอดีตที่ชวนให้ทอดถอน เป็นเรื่องน่าเศร้าที่ชวนให้ถวิลหา
คงคล้ายๆ กับหนังเรื่อง แฟนฉัน ของบ้านเรานั่นแหละครับ คือมองลึกลงไปในเนื้องานแล้วอาจจะไม่มีอะไรใหม่เลย แต่คุณค่าทางจิตใจของมันสูงมาก และหนังเองก็ทำในส่วนนั้นได้ดีเยี่ยม
พูดอย่างนี้ก็ไม่ได้หมายความว่า จะต้องเป็นคนมีพื้นฐานประวัติศาสตร์เยอรมันมาก่อนถึงจะดูสนุก หนังอาจเรียกร้องส่วนนั้นอยู่บ้าง แต่ก็ไม่สำคัญใหญ่โต วูลฟ์กัง เบคเกอร์เป็นคนที่ให้รายละเอียดเกี่ยวกับฉากหลัง ตัวละครและความผันแปรของสถานการณ์บ้างเมืองได้เก่งมากๆ กล่าวคือ ทำได้อย่างกระชับ ในขณะเดียวกันก็ค่อนข้างครบถ้วนกระบวนความ
พล็อตของเรื่องถูกผูกขึ้นมาอย่างง่ายๆ ผ่านคำบอกเล่าของเด็กหนุ่มที่ชื่อ อล็กซ์ เขาเกิดในเยอรมันตะวันออก แต่ก็ยังไม่เข้าใจว่า ประเทศแบ่งแยกเป็นสองฝั่งด้วยกำแพงทำไม จนกระทั่งวันที่มีผู้ชายแปลกหน้าสองคนเข้ามาในบ้าน ซักถามถึงพ่อของเขาและแม่ก็เอาแต่ร้องไห้
แม่บอกว่า พ่อหนีไปฝั่งตะวันตกแล้ว โดยทิ้งแม่ ตัวเขาและพี่สาวให้เผชิญหน้ากับโลกเก่าตามลำพัง หลังจากนั้นแม่ก็ล้มป่วย ไม่พูดไม่จา จนต้องหามไปรักษาตัวอยู่โรงพยาบาล ไม่นานนักแม่ก็กลับมาพร้อมกับความสดใสร่าเริงเช่นเคย จนในที่สุดเธอก็กลายเป็นพวกสังคมนิยมเต็มตัว อเล็กซ์เข้าใจว่า แม่ทำไปอย่างนั้นก็เพราะอยากลืมเรื่องพ่อ แต่เขาก็เข้าใจถูกแค่ครึ่งเดียว
ความเปลี่ยนแปลงเริ่มต้นเพราะความเปลี่ยนแปลงจริงๆ อเล็กซ์โตเป็นหนุ่ม และรู้สึกว่าอะไรๆ ที่เคยดีนั้นไม่ใช่อีกต่อไปแล้ว เขาทำเหมือนกับคนอื่นทั่วไปที่ต้องการเรียกร้องเสรีภาพและความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นเหมือนอีกฝั่งของกำแพง
แต่แล้วทุกอย่างก็หยุดชะงัก แม่ของเขาเป็นลมล้มพับไปเมื่อพบว่าลูกชายตัวดีไปเดินขบวนต่อต้านรัฐบาล เธอตกอยู่ในอาการโคม่า หมอบอกว่า คงต้องหวังพึ่งปาฏิหาริย์เท่านั้น ที่จะทำให้เธอฟื้นขึ้นมาได้
ระหว่างที่แม่นอนไม่ได้สติอยู่บนเตียง ความเปลี่ยนแปลงที่หยุดนิ่งก็เริ่มเดินหน้าอีกครั้ง พรรคสังคมนิยมล่มสลาย กำแพงเบอร์ลินพังทลายลงท่ามกลางเสียงโห่ร้องยินดี ความเจริญแบบทุนนิยมหลั่งไหลเข้ามาในฝั่งตะวันออกไม่ต่างจากพายุ อเล็กซ์บอกว่า "ตอนนั้นเราเหมือนเป็นคนที่มีความสุขที่สุด ก็แค่ปล่อยตัวไปตามกระแส โดยไม่ฝืนมัน"
ขณะกำลังเพลิดเพลิน จู่ๆ แม่ก็ลืมตาตื่นขึ้น หมอบอกเงื่อนไขของปาฏิหาริย์หนนี้ว่า จะต้องไม่ทำให้แม่เสียใจหรือตกใจอีก และแผนการตบตาแม่ก็เกิดขึ้นตอนนั้น อเล็กซ์เข้าใจเอาเองอีกครั้งว่า เขาจะไม่ยอมให้แม่รู้เด็ดขาด ว่าโลกของแม่ได้จบลงแล้วอย่างสิ้นเชิง เขาจะสร้างโลกอีกโลกที่ต้องการให้แม่เห็นและอยากให้มันเป็น
การสร้างสถานการณ์ให้แม่เชื่อว่าเยอรมันยังเป็นเช่นเดิม เปิดทางสู่การสอดแทรกมุขตลกมากมาย แต่ความฉลาดของหนังอยู่ตรงเสียงหัวเราะเหล่านั้นมีหน้าที่บางอย่างซ่อนอยู่ ฉากที่อล็กซ์พยายามหาซื้อแตงกวาดองของโปรดให้แม่(ซึ่งไม่มีขายในท้องตลาดแล้ว) จนต้องหาขวดของยี่ห้อที่ว่านั้นในถังขยะ บังเอิญชายแก่คนหนึ่งเดินมาเห็นเข้าและพูดว่า "ดูสิ ว่ามันทำอะไรกับพวกเราบ้าง จนเราต้องมาคุยขยะกิน" - นั้นทั้งขำขันและเจ็บแสบ มันแสดงให้เห็นว่า เรื่องบางเรื่องคนเราก็เห็นอะไรไม่เหมือนกันจริงๆ
หนังยังมีโมเมนต์ดีๆ อีกเยอะเลย ถ้าเล่าไปก็คงเสียอรรถรสแน่ๆ วูลฟ์กัง เบคเกอร์เก่งมากที่เขาไม่ทำให้ช่วงเวลาดีๆ ในหนังเกินเลยไปเพราะการเน้นย้ำ (ซึ่งคนทำหนังหลายคนมักจะพลาด) ที่น่าศึกษาก็คือ บางตอนเขาทำให้คนดูหัวเราะ และหลังจากนั้นไม่กี่นาทีคนดูก็จะรู้สึกเศร้าจับจิตจับใจ
แต่ที่ดีที่สุดในความคิดของผม เห็นจะเป็นการบอกเล่าสาระสำคัญ เมื่อเราได้ทราบว่า ทั้งแม่และอล็กซ์ต่างโกหกซึ่งกันและกัน สร้างและวาดฝันถึงประเทศที่ตัวเองอย่างให้มันเป็น แต่มันไม่สามารถเกิดขึ้นได้จริงในโลก ต่างคนก็เจ็บปวดเพราะยึดติดกับมัน
ฉากโปรยอัฐิแม่ขึ้นไปบนฟ้าด้วยจรวดแล้วแตกตัวเป็นดอกไม้ไฟนั้นเป็นฉากที่งดงามมากครับ อล็กซ์บอกกับคนดูว่า ความจริงมันเป็นข้อห้าม เรื่องที่จะโปรยของบนฟ้า ไม่มีข้อยกเว้นทั้งฝั่งตะวันตกหรือตะวันออก "แต่ผมก็จะทำ"
คนทำหนังเก่งๆ ก็เป็นแบบนี้ล่ะครับ ได้ทั้งอารมณ์ และได้ทั้งความหมายรวมในฉากเดียวเลย.