หากย้อนเวลากลับไปแก้ไขเรื่องราวในอดีตได้ เชื่อแน่ว่าวันเวลาที่หนุ่ม "โจ้ ศรยุทธ เสนามงคล” จะย้อนกลับไปคงจะเป็นวินาทีก่อนที่เขาจะกด Enter ส่งภาพนักแสดง "ตั๊ก บงกช" เข้าสู่เว็บไซต์พันทิปดอทคอมอย่างไม่ต้องสงสัย
เหตุก็เพราะนับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา เรื่องราวอันสุดแสนจะเลวร้ายก็เข้ามาเยือนชีวิตของชายหนุ่มคนนี้ถึงขนาดที่ตัวของเขาเองเกิดความรู้สึกขึ้นมาว่าความตายเท่านั้นคือทางออกที่ดีที่สุด
วันนี้แม้เรื่องราวต่างๆ ดูเหมือนจะคลี่คลายลงไป แต่ใครจะกล้าการันตีได้บ้างว่าสภาพจิตใจของคนที่ถูกตราหน้าว่า "ไอ้โรคจิต" คนนี้จะกลับมาดีเหมือนเดิม...อย่างน้อยๆ ประสบการณ์ที่ประหนึ่งว่าตัวเขาเป็นอาชญากรร้ายแรงของแผ่นดิน, สภาพของความกดดันต่างๆ ภายในคุก รวมทั้งความเลวร้ายที่เกิดจากความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ก็คงจะตามหลอกหลอนหนุ่มโจ้ไปอีกนาน
“ผมไม่คิดเลยว่าชีวิตนี้จะได้ติดคุก ตอนตัดสินใจมอบตัวก็ไม่คิดว่าจะต้องติดคุก คิดว่าคดีแค่นี้เดี๋ยวก็ได้ประกันตัวออกมา ก็ยังคุยกับคุณพ่ออยู่เลยว่าให้เตรียมหาหลักทรัพย์ไว้ประกันตัวผมด้วย”
แต่ดูเหมือนทุกอย่างจะไม่ง่ายอย่างที่คิดเพราะแค่หลักทรัพย์ 1 แสนที่ต้องหามาประกันตัว ก็เป็นเรื่องที่ยากเอาการสำหรับครอบครัวที่ไม่ค่อยจะมีเงินมีทองมากนักอย่างครอบครัวของโจ้
“ตอนนั้นผมก็ไม่รู้ว่าต้องใช้หลักทรัพย์เท่าไหร่ เงินทางบ้านเราก็ไม่ได้มีเก็บมากมาย พอไปมอบตัวเค้าบอกเอาหลักทรัพย์แสนนึง บ้านผมก็วิ่งกันวุ่นเลยเพราะเงินแสนนึงถือว่าเยอะมากสำหรับบ้านผม ก็วิ่งยืมเพื่อนยืมญาติพี่น้องมาจนครบ คิดว่ายังไงคืนนี้ผมไม่ได้นอนที่คุกแน่ๆ”
“แต่พอสอบสวนเสร็จตำรวจก็จับผมเข้าห้องขังเลยเพราะเค้าบอกว่าตอนนี้ผมเป็นผู้ต้องหาแล้วต้องอยู่ในห้องขัง วินาทีแรกที่ก้าวขาเข้าไปข้างในนะบอกตรงๆ ว่าผมเฉย ๆ ไม่รู้สึกอะไรเพราะคิดว่าเดี๋ยวต้องได้ประกันตัวแน่นอน แต่พอผ่านไป 2 – 3 ชม.ผมเริ่มแน่ใจแล้วแหละว่าต้องได้นอนที่นี่แน่เพราะมันเลยเวลาเยี่ยมแล้ว ตำรวจก็ไม่เห็นว่าไง ก็ได้แต่ปลอบใจตัวเองว่าไม่เป็นไรเดี๋ยวพรุ่งนี้เราต้องได้ออกไปแน่”
จากคนธรรมดาเดินที่ต้องระเห็จเข้าไปในห้องขัง โจ้บอกว่ามันเป็นอะไรที่เลวร้ายที่สุดในชีวิต
“ผมว่าการที่คนเรามีอิสระเสรีไม่ติดคุกนั่นเป็นสิ่งที่โชคดีที่สุดแล้ว ใครก็ตามที่ไม่เคยเข้าไปอยู่ในวังวนนั้น ได้โปรดอย่าหาเรื่องใส่ตัวเลยนะครับเพราะถ้าใครได้เข้าไปในคุกจะรู้จะสัมผัสได้เลยว่ามันเป็นสิ่งที่เลวร้ายที่สุดในชีวิตแล้ว”
“นี่ขนาดห้องขังที่โรงปราบดีกว่าโรงพักอื่นๆ ผมก็ยังนอนไม่ได้เลยเพราะข้างในมันเหม็นมาก ผมจะต้องเดินออกมานอนต้องทางเดินข้างนอก แต่ก็โชคดีอยู่อย่างที่ผมเจอเพื่อนๆ ผู้ต้องหาที่ดีมากๆ ทุกคนช่วยกันปลอบว่าไม่ต้องคิดมาก บางคนก็เอาเสื้อใส่ถุงมาให้ผมหนุนเป็นหมอน แล้วก็ถามว่าผมไปโดนอะไรมา ผมก็บอกว่าไปโพสต์รูปคุณตั๊ก พวกเค้าก็อ๋อกันแต่ผมก็ไม่กล้าพูดอะไรมากเพราะถึงเค้าจะพูดกับผมดีแต่ผมก็กลัว บางคนโดนดคียาบ้า คดีอิทธิพลปล่อยเงินกู้ โชคดีนะไม่มีพวกฆาตกรรวมอยู่ด้วย”
แม้ว่าโจ้จะโชคดีที่เจอร่วมห้องขังเป็นคนดี แต่การที่จะข่มตาให้หลับในคุกก็เป็นเรื่องที่ยากน่าดู…
“คืนนั้นมันเป็นอะไรที่สุดๆ ในชีวิต ผมนอนไม่ค่อยหลับ มันหลับๆ ตื่นๆ คือตื่นมันทุกหนึ่งชม. แต่มีครั้งหนึ่งที่ตื่นขึ้นมาแล้วอึ้งมากเลยเพราะมันมีน้องแมงสาบมานอนชักกระแด่วอยู่ข้างๆ หนูก็วิ่งกันเพ่นพล่าน นี่ขนาดทำใจไว้แล้วแต่มันก็เป็นอะไรที่ทรมานมากๆ อยากจะให้เช้าไวๆ จะได้ประกันตัวซักที”
“แต่พอถึงตอนเช้าเค้าก็บอกว่าถ้ายื่นประกันตัวต้องรอหลัง 24 ชม. ถึงจะออกไปได้ ซึ่งมันก็เท่ากับว่าถึงยื่นผมก็ต้องได้ออกวันจันทร์อยู่ดี ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจริงๆ กฎหมายมันเป็นยังไงเพราะผมก็เห็นคนอื่นเค้าก็ทำได้ แต่ตรงนี้ผมไม่อยากจะพูดมาก ก็คิดซะว่าไม่เป็นไรอดทนอีกครั้งเดี๋ยววันจันทร์เราต้องได้ออกไปแน่ๆ”
“สงสารก็แต่ครอบครัวของผมมากกว่าเพราะกว่าเค้าจะหาเงิน 1 แสนมาได้นี่ไม่ใช่ง่ายๆ เลยนะครับ แต่พวกเราก็ได้พยายามกันเต็มที่แล้วจะให้ผมออกมาตีโพยตีพายมันก็ไม่ได้เรื่อง ฉะนั้นสิ่งที่ผมทำได้ตอนนั้นก็คือเงียบและก็ทำใจอยู่ในห้องขังอีกวัน”
“พอเช้าวันจันทร์เค้าก็พาผมไปศาล พี่ประสิทธิ์ที่เป็นทนายก็ยื่นประกันตัว แต่ตำรวจคัดค้านประกัน เค้าขอเวลาอีก 2 วัน ผมก็ต่อรองเค้าว่าเป็นวันเดียวได้ไหม ผมไม่ไหวแล้ว ผมจะตายอยู่แล้ว เค้าก็บอกว่าไม่ได้เพราะเค้าไม่มีเวลาที่จะเอาตัวผมมาส่งศาลทุกวัน ไหนๆ ก็มาวันนี้แล้วก็ขอไปเลยสองวันเผื่อเหลือเผื่อขาด”
“เสร็จแล้วตอนบ่ายเค้าก็พาผมไปที่ทำงานเพื่อไปชี้เครื่องคอมพิวเตอร์ที่ผมใช้ส่งรูปคุณตั๊ก ตอนที่เดินเข้าไปนะผมอายมาก ๆ ไม่กล้ามองหน้าใครเลยเพราะผมกลัวว่าคนจะชี้ว่านั่นไง ไอ้ลามก ไอ้โรคจิต ไอ้บ้า ไอ้บอ ผมก้มหน้าอย่างเดียวเลย ไม่ได้ยินเสียงไม่เห็นหน้าใครเลยนอกจากตำรวจกับนักข่าว”
“พอชี้เครื่องเสร็จก็มีพี่ๆ ที่สนิทกันประมาณ 10 คนเค้าเขียนจดหมายส่งมาให้ผม เค้าบอกว่าเค้าเห็นใจเค้าเข้าใจเรื่องที่เกิดขึ้นและจะเป็นกำลังใจให้ผมสู้ต่อไป ผมอ่านแล้วร้องไห้ออกมาทันที ผมตื้นตันใจที่มีคนมายืนอยู่ข้างผม ผมไม่รู้ว่าเพื่อนพนักงานคนอื่นคิดยังไง แต่อย่างน้อยก็ยังมีพี่ๆ กลุ่มนี้ที่เข้าใจและเป็นกำลังใจให้ผม ทุกวันนี้ผมก็ยังเก็บจดหมายฉบับนั้นไว้อยู่และกะว่าจะเอาไปใส่กรอบเก็บไว้ชั่วชีวิต”
โดนคัดค้านประกันตัวนั่นก็ว่าเป็นเรื่องที่ช็อกแล้ว แต่พอมาเจอศาลเรียกหลักทรัพย์เพิ่มเป็น 3 แสนในวันยื่นประกันตัวอีกรอบ ก็ยิ่งทำให้โจ้แทบจะล้มทั้งยืนเลยทีเดียว
“พอครบกำหนดฝากขังตำรวจก็พาผมไปขึ้นศาลอีก คราวนี้ตำรวจไม่คัดค้านประกันตัวแต่เค้าเพิ่มหลักทรัพย์ผมจาก 1 แสนเป็น 3 แสน โอ้โหพี่ ! ขนาดแสนเดียวผมยังวิ่งหากันแทบตาย พอบอก 3 แสนผมเข่าอ่อนเลย นี่ผมต้องอยู่ต่ออีกเหรอ ผมไม่เข้าใจว่าทำไมเค้าไม่บอกผมก่อนว่าจะขึ้นค่าประกันหรือว่าเค้าจะยุ่งเกินไปหรือเปล่าก็ไม่รู้”
“แต่ก็โชคดีที่พี่ประสิทธิ์เค้าเตรียมเงินมาเผื่ออีกหนึ่งแสนเพื่อที่จะมาช่วยผมโดยเฉพาะ คือพี่เค้าเป็นทนายความมานาน เค้าคิดอยู่แล้วว่าต้องเจอแบบนี้ แต่ยังไงก็ยังขาดอีกแสนนึงอยู่ดี คุณพ่อคุณแม่ครอบครัวญาติพี่น้องก็วิ่งหาเงินกันวุ่นไปหมด แต่สุดท้ายก็หาไม่ได้ เราก็เลยต้องเช่าหลักทรัพย์ 3 หมื่นบาท ซึ่งวิธีการนี้ผมไม่ค่อยอยากทำซักเท่าไหร่เพราะเราจะไม่ได้เงินคืน แต่ถ้าเราหาเงินสดได้ครบ 3 แสนเราก็จะได้เงินคืนหมด”
“แต่ในเมื่อมันหาไม่ได้ก็ต้องเช่า พี่ประสิทธิ์ก็ใจดีมากๆ พี่เค้าควักเงิน 3 หมื่นบาทจ่ายให้ผมเลย แล้วเค้าก็บอกให้ผมเอาเงินหนึ่งแสนที่ยืมมาไปคืนทุกคนให้หมด ผมตื้นตันใจมากเลย ไม่คิดว่าคนที่ไม่ใช่ญาติพี่น้องกันจะยอมมาช่วยเหลือเราได้มากขนาดนี้”
คิดว่าโดนแกล้งหรือเปล่า…?
“ผมพูดตรงๆ เลยนะ ณ ตอนนั้นผมไม่ได้คิดอะไร ผมไม่ได้คิดว่าตำรวจจะแกล้งเพราะเท่าที่ผมได้คุยกับนายตำรวจผู้ใหญ่เค้าก็โอเคดีกับผม พูดดีตอบคำถามดี คอยช่วยให้กำลังใจอยู่เหมือนกัน แต่ผมก็ยังสงสัยอยู่ดีนั่นแหละว่าทำไมต้องคัดค้านประกันผมด้วย”
โจ้ค่อนข้างมองตำรวจในแง่ดี แต่ก็ยังมีตำรวจบางท่านที่ตั้งข้อสงสัยว่า ทำโจ้มอบตัวช้า มัวไปทำอะไรอยู่ เจตนาปกปิดซ่อนเร้นทำลายหลักฐาน หรือมีเจตนาไม่ดีหรือเปล่า?
“เค้าพูดแบบนี้ก็อึ้งไปเลยครับ ข่าวออกวันพฤหัสผมมอบตัววันเสาร์นี่มันยังช้าไปอีกเหรอ เค้าพูดเหมือนกับว่า ผมจนมุมแล้วค่อยไปมอบตัว ซึ่งจริงๆ แล้วคดีของผมนี่มันไม่ได้รุนแรงอะไรเพราะผมไม่ได้มีเจตนาจะทำความผิด การโพสต์ข้อความในเว็ปพันทิป ผมต้องใช้เลขที่บัตรประชาชน เค้าสามารถตรวจสอบได้ตลอดเวลา และภาพที่โพสต์ผมก็คาดหน้าอกไว้ด้วย ผมคิดว่ามันไม่ใช่เรื่องใหญ่โตจนต้องหนีหรือหลบหน้า”
มาถึง ณ ตรงนั้นไอ้เรื่องคาดไม่คาดคงไม่ใช่ประเด็นแล้วแหละ เพราะดันมีรูปตัดต่อคนอื่นอยู่ในเครื่องคอมพิวเตอร์ของโจ้ งานนี้ก็เลยซวยหนัก
“ภาพโป๊เปลือยภาพตัดต่อที่มีอยู่ในคอมพิวเตอร์ผม ผมกล้าพูดได้เลยว่า 80 เปอร์เซ็นต์เป็นภาพญี่ปุ่นและเป็นซีดีที่มีขายตามพันทิป ซึ่งซีดีอันนึงนี่มันจะมีภาพทั้งหมดประมาณ 3 พันภาพ ซีดี 3 อันก็เป็นหมื่นภาพแล้ว แต่ข่าวก็ไปลงว่าผมเป็นไอ้โรคจิตมีภาพโป๊เป็นหมื่นๆ ภาพในคอมฯ แม้แต่รูปคุณสุดารัตน์ คุณระเบียบรัตน์ก็บอกว่ามี ตรงนี้ผมยืนยันได้เลยว่า ไม่มี ผมไม่เห็น”
“แต่พูดไปมันก็ไม่มีประโยชน์เพราะผมรู้สึกว่าทุกอย่างมันกำลังถูกชี้นำโดยสื่อ คดีของผมมันเป็นไปตามกระแส เค้ากำลังตามหาคนมาลงโทษ พอผมหลุดมาเป็นคนแรกทุกอย่างก็เลยมาลงที่ผมหมด ผมไม่เข้าใจเลยว่า ทำไมพอมีคนกล้าเดินออกมามอบตัวปุ๊บคุณก็จะจับทุกอย่างยัดมาที่เค้าหมดเลยเหรอ”
“ผมเคยคิดนะว่าถ้ารู้ว่ามอบตัวแล้วต้องโดนแบบนี้ ผมไม่ออกมาดีกว่า ทำไมเราจะต้องออกมาขอโทษเพื่อให้คนรู้ว่าเป็นเรา ทำไมเราต้องออกมาให้คนอื่นย่ำยี รู้งี้ผมน่าจะลบข้อมูลทุกอย่างเลยดีกว่า เรื่องนี้ไม่เกินความสามารถของผมหรอก ผมทำงานด้านคอมผมรู้ดีและผมคิดว่าถ้าผมทำจริงๆ ไม่มีใครสามารถกู้มันกลับมาได้หรอก”
แสดงว่ารู้สึกว่าตัวเองเป็น “แพะ”?
“คดีนี้ก็ถือว่าเป็นความซวยของผมด้วย แต่บางครั้งก็อดคิดไม่ได้ว่านี่ผมกำลังตกเป็นแพะหรือเป็นเครื่องมือให้ใครบางคนหรือเปล่า ทุกวันนี้เพื่อนๆ ผมก็ยังบอกเลยว่าผมหน้าเหมือนแพะ คือทุกอย่างมันสอดคล้องกันหมด ตอนที่ผมอ่านหนังสือพิมพ์อยู่ในคุกผมเห็นโฆษณาวีซีดีไอ้ฟัก ซึ่งจะจงใจหรือเปล่าไม่รู้แต่พอเห็นแล้วก็ทำให้เราอดคิดไม่ได้”
ในทางคดีนั้นบางคนอาจจะบอกว่าโจ้เป็นแพะ แต่ในความเป็นจริงของชีวิตนั้น ดูเหมือนว่าแพะตัวจริงกลับตกเป็น “น้องสาว” ของโจ้เพราะรับบาปจากคดีของโจ้ไปเต็มๆ
“ผลกระทบกับตัวผมมันต้องเกิดขึ้นอยู่แล้ว ซึ่งผมก็ต้องยอมรับเพราะผมเป็นคนผิด ผมเป็นคนทำทุกอย่างขึ้นมาเอง นี่ก็คาดว่า 90 เปอร์เซ็นต์ผมจะต้องโดนออกจากงานแน่ นอกเสียจากว่าศาลจะตัดสินว่าผมไม่ผิด แต่กว่าจะถึงวันนั้นเค้าก็คงให้ผมออกไปแล้ว ”
“ซึ่งเรื่องนั้นผมรับได้เพราะถือว่าเป็นกฎของบริษัท แต่เรื่องที่น้องผมที่พึ่งจะสอบบรรจุงานได้เมื่อวันที่ 1 กลับโดนเชิญออก ผมว่ามันยังไงอยู่และผมก็คิดว่า ข่าวของผมคงมีผลกับน้องอย่างแน่นอนเพราะเห็นที่ทำงานน้องถามว่า เป็นพี่ชายหรือเปล่าทำไมนามสกุลเหมือนกัน พอเค้าบอกว่าใช่ไม่กี่วันก็โดนเชิญออกเลย”
“แต่พอผมถามน้องว่าทำไมโดนออกเค้าก็บ่ายเบี่ยงบอกว่า พอดีกรรมการชุดเก่าหมดวาระ ซึ่งผมไม่เชื่อหรอกคิดว่าเป็นเพราะผมมากกว่า ผมว่ามันไม่ยุติธรรมเลยน้องผมไม่ได้ทำผิดอะไรทำไมจะต้องมาเจอแบบนี้ ใจผมนะอยากจะเข้าไปเคลียร์ แต่ก็ไม่รู้จะทำยังไง”
ตัวเองก็กำลังจะตกงาน น้องที่พึ่งจบพอจะเป็นหลักให้ครอบครัวได้บ้างก็กลับมาโดนไล่ออก สถานภาพครอบครัวของโจ้ในตอนนี้จึงค่อนข้างน่าเป็นห่วง
“ก็คงต้องเดือดร้อนอยู่แล้วแหละครับเพราะบ้านผมไม่ได้มีฐานะร่ำรวยอะไรคุณแม่เปิดร้านขายของชำที่บ้าน ส่วนคุณพ่อก็รับเหมาทำหินขัด ก็พอมีเงินหมุนเวียนบ้างแต่ไม่มีเงินเก็บเพราะพ่อแม่มีลูก 5 คน พี่สาวคนโตผมก็ออกจากบ้านไปแล้ว ผมเป็นคนรองก็มาเจอเรื่องแบบนี้ น้องคนถัดมาที่พึ่งจบก็โดนเชิญออกจากงาน ก็ยังเหลือน้องอีกสองคนที่กำลังเรียนมัธยมอยู่ ก็ไม่เป็นไรครับ ถ้าต้องออกจริงๆ ผมก็ต้องไปหางานใหม่ทำ”
แต่งานใหม่ก็ใช่ว่าจะหาได้ง่ายๆ โดยเฉพาะผู้ที่เคยโดนปั๊มมือตกเป็นผู้ต้องหาอย่างโจ้ ก็ยิ่งยากเข้าไปใหญ่
“ผมเชื่อว่า ณ ตอนนี้หลายๆ คนคงจะเข้าใจมากขึ้น โดยเฉพาะบริษัทที่ทำงานเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ก็คงจะเข้าใจเรื่องที่เกิดขึ้นกับผมได้ดี แต่ผมกลัวตอนที่กรอกใบสมัครเพราะเค้าต้องให้บอกด้วยว่า เราเคยเป็นคดีหรือต้องโทษอะไรมาบ้างหรือเปล่า ก็ยังคิดอยู่ว่าจะทำยังไงต่อไป”
กับครอบครัวตัวเองยังได้ผลกระทบไปเต็มๆ ฉะนั้นคงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร หากครอบครัวของแฟนโจ้จะแอนตี้
“ผู้ใหญ่ทางแฟนเค้าไม่ค่อยชอบผมอยู่แล้วเพราะบุคคลิกผมตัวเล็กๆ มันไม่แมน พ่อแม่แฟนเค้าเป็นคนมีหน้ามีตาในกระทรวง เค้าก็อยากได้คนที่เหมาะสมกับลูกค้า พอเกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้นมันก็ยิ่งแย่ แต่เค้าก็ไม่ถึงกับห้ามพวกเราคบกัน แต่เค้าก็บอกแฟนผมว่าไม่ต้องไปอะไรกับผมมาก”
“แต่แฟนผมเค้าไม่มีปัญหา เค้าค่อนข้างเข้าใจในตัวผม ตรงนี้ถือเป็นความโชคดีของผมที่มีแต่คนเข้าใจและเห็นใจ เพื่อนๆ ในพันทิปก็ให้กำลังใจผมมาก ผมติดคุกวันเสาร์เช้าตรู่วันอาทิตย์เค้ามาหาผมเลย พอเค้าแนะนำตัวว่าเป็นเพื่อนมาจากเว็ปพันทิป เท่านั้นแหละผมร้องไห้เลย ร้องไห้จนผมเองก็ยังตกใจตัวเองว่าทำไมเราต้องร้องไห้มากมายขนาดนี้ ทั้งๆ ที่เมื่อก่อนผมไม่ใช่คนที่ขี้แยเลยนะ”
“เท่านั้นยังไม่พอเพื่อนในเว็ปพันทิปก็ยังช่วยกันโอนเงินคนละร้อยสองร้อยเข้าบัญชีคุณพ่อผมเพื่อให้เอาเงินไปประกันตัว ซึ่งตอนนี้ยอดบัญชีทั้งหมดมี 6 หมื่นบาทแล้ว ผมต้องขอขอบคุณทุกคนมากๆ“
ในขณะที่น้ำใจผู้คนมากมายหลั่งไหลมาที่โจ้ แต่คู่กรณีอย่าง “ตั๊ก บงกช” กลับได้รับเสียงตอบรับที่ตรงกันข้าม ในเว็ปต่างๆ มีการตั้งกระทู้วิพากษ์วิจารณ์ตั๊กอย่างมากมาย ทั้งๆ ที่ผู้ถูกกระทำอย่างตั๊กน่าจะได้รับความเห็นใจจากสังคม
“ที่ผ่านมาก็เคยอ่านข่าวเค้ามาบ้าง รู้ว่าเค้าเป็นดาราดังและตกเป็นข่าวเยอะ และบางครั้งก็มีข่าวออกมาว่ามีคนไม่ชอบเค้าบ้าง ตรงนี้ผมไม่แปลกใจเพราะถ้าใครได้ไปอ่านโพสต์ในพันทิปก็จะรู้ดีว่าถึงไม่มีเรื่องผมเกิดขึ้น ก็จะมีคนบางประเภทที่ชอบว่าพวกดารา ก็จะออกมาโพสต์เรื่องแบบนี้อยู่แล้ว แต่ถ้าถามว่าผมรู้สึกอย่างไรกับเค้า ผมบอกตรงๆ ว่าไม่ได้รู้สึกอะไรเพราะผมไม่ค่อยดูหนังดูละครซักเท่าไหร่”
“ผมไม่มีปัญหากับคุณตั๊ก และถ้าศาลจะตัดสินให้ผมต้องติดคุกจริงๆ ผมก็ไม่โกรธไม่เกลียดคุณตั๊ก อันนี้เรื่องจริงผมสาบานได้เลย ผมไม่เคยอาฆาตใคร ผมเองก็ผิดที่ไปทำเค้า แต่ที่ผมรับไม่ได้เลยก็คือสื่อ ทั้งที่เมื่อก่อนเวลาที่ผมอ่านข่าว ผมคิดว่าข่าวเป็นสิ่งที่เชื่อถือได้เพราะผมอ่านหลายๆ ฉบับเค้าก็ลงเป็นแนวทางเดียวกัน”
“พอผมตกเป็นข่าวเอง สื่อทุกเล่มก็ยังลงเป็นแนวทางเดียวกัน แต่มันเป็นคนละอย่างที่เกิดขึ้นกับตัวผม
ข้อเท็จจริงต่างๆ มันค่อนข้างเปลี่ยนไปเยอะ อันแรกเลยก็คือเค้าลงว่าผมเป็นคนโพสต์รูปคุณตั๊กในทุกๆ เว็ป ซึ่งมันไม่จริง”
“อย่างที่สองก็คือเค้าเขียนเหมือนกับว่าผมรู้จักกับคนตัดต่อหนังเรื่องนี้ ตำรวจไปค้นบ้านผมกวาดซีดีไปหมดห้อง เค้าก็ลงว่าผมมีภาพโป๊เกือบร้อยแผ่นสามารถเอาไปประกอบธุรกิจได้ ทั้งๆ ที่ผมมีซีดีโป๊แค่ไม่กี่แผ่นนอกนั้นเป็นซีดีเพลง ซีดีวันรับปริญญาและซีดีอื่นๆ มันเหมือนกับทุกอย่างได้ถูกปูเอาไว้เรียบร้อยแล้วก่อนผมจะมอบตัว”
“พอผมมอบตัวปุ๊บ ! เหมือนเข้าล็อคเค้าเลย เช้ามาสื่อก็ลงเลยว่า ผมเป็นไอ้มือมืดเป็นอาชญากรตัวจริง เป็นไอ้โรคจิต เป็นไอ้ลามก ตามไปสัมภาษณ์พ่อผมถึงบ้านแล้วก็เอามาลงว่า ผมเป็นคนไม่พูดไม่จาชอบอยู่คนเดียว ซึ่งพ่อผมไม่เคยพูดคำๆ นี้ แต่พอข่าวลงแบบนี้ ผมก็ยิ่งดูเป็นไอ้โรคจิตเป็นคนเก็บกดเข้าไปใหญ่”
“จากวันนั้นผมก็ไม่อยากพูดกับสื่อเลย สื่อจะสัมภาษณ์ผมก็บอกว่าผมจะแถลงข่าว แต่เอาเข้าจริง ๆ ผมก็ไม่แถลงหรอกเพราะผมไม่อยากพูดกับสื่อ แต่ที่ไปออกถึงลูกถึงคนก็เพราะผมต้องการให้ทุกคนได้ยินจากปากของผมเอง”
สรุปว่าไม่พอใจสื่อมากที่สุด…?
“นั่นส่วนหนึ่ง แต่ที่ผมไม่ชอบมากที่สุดเลยก็คือเรื่องที่เค้าว่าผมเป็นไอ้โรคจิตเพราะมันเป็นสิ่งกระทบจิตใจผมมากที่สุด บางคนอาจจะบอกว่าผมเว่อร์ แค่เค้าว่าเป็นโรคจิตจะไปอะไรนักหนา ก็ลองมาเป็นผมบ้างสิครับ จะกล้าสบตากับใครได้อีกหรือเปล่า”
“วันก่อนผมขับรถมอเตอร์ไซค์ออกไปหน้าปากซอย ปรากฎว่ามีคนมองผมเต็มเลย บางคนก็มีการชี้ด้วย ผมถามว่าถ้าเป็นพี่ พี่จะกล้ามองหน้าเค้าหรือเปล่า พี่จะยิ้มให้เค้าแล้วบอกว่า สวัสดีครับเหรอ”
“คิดถึงเรื่องนี้ทีไรทำให้ผมรู้สึกแย่มาก ๆ พี่เชื่อไหมว่าเพราะคำว่า ไอ้โรคจิตนี่แหละที่ทำให้ผมเกือบจะฆ่าตัวตายในห้องขัง ไอ้คืนแรกที่นอนให้คุกยังไม่เท่าไหร่เพราะคิดว่ายังไงก็ต้องได้ออก แต่พอวันจันทร์ตำรวจคัดค้านการประกันตัวทุกอย่างมันวูบเลย ผมรู้สึกกดดันไม่อยากมีชีวิตอยู่ ผมคิดไม่ออกเลยว่าต่อไปจะอยู่ในสังคมยังไง ทุกอย่างมันบีบรัดไปหมด ผมเป็นผู้ต้องหา ผมไม่ได้รับการประกันตัว แล้วยังจะมีคนมาว่าผมเป็นไอ้โรคจิตไอ้ลามกอีก”
“สื่อทำให้ผมตาย ผมคิดว่าจะผมจะผูกคอตายให้มันรู้แล้วรู้รอดไปเลย แต่พอคิดถึงคำพูดที่คุณนัทเพื่อนสมาชิกในพันทิปที่มาเยี่ยมเค้าบอกว่า เค้าเป็นเพื่อนมาจากเว็ปพันทิป และวันนี้จะมีเพื่อน ๆ มาเยี่ยมอีกเพียบให้เตรียมตัวรับแขกไว้ได้เลย มันทำให้ผมมีกำลังใจอยากจะสู้ต่อไป ก็ต้องขอบคุณคุณนัทด้วยที่ทำให้ผมมีสติผมเป็นหนี้ชีวิตเค้ามากๆ เลย”
น่าแปลกที่คนที่ฉุดให้โจ้พ้นจากความตายไม่ใช่พ่อแม่ หากแต่เป็นเพื่อนๆ ชาวพันทิปที่ไม่เคยรู้จักไม่เคยแม้จะเห็นหน้ากันมาก่อน
“มันอาจจะดูแปลกที่ทำไมผมไม่นึกถึงคุณพ่อคุณแม่ ขนาดไปออกรายการถึงลูกถึงคนผมยังไม่ค่อยพูดถึง คือสัมพันธภาพของเราอยู่กันแบบไม่ค่อยแสดงออกทางด้านความรัก เราเจอกันทุกวันเราคุยกันทุกวัน จนมันเป็นความเคยชินเลยไม่ค่อยจะมาสนใจเรื่องที่จะแสดงความรักต่อกัน”
“วันที่ผมถูกจับนั่นเป็นครั้งแรกที่เราจับมือกัน ผมรู้เลยว่าท่านรักผมมาก และพอออกมาจากคุกผมก็ได้บอกท่านว่า โจ้รักป๊ะนะ แต่ก็ยังไม่กอดกันอยู่ดี(ยิ้ม) แต่ก็โอเคนะรู้สึกว่ากำแพงมันลดลงบ้าง”
แม้ว่าเหตุการณ์ครั้งนี้จะทำให้สัมพันธภาพในครอบครัวของโจ้ดีขึ้น แต่มันก็ดูจะไม่คุ้มเอาซะเลยที่สิ่งเหล่านี้มันจะต้องแลกมาด้วยคำว่า “ไอ้โรคจิต”
“เหตุการณ์ครั้งนี้ก็อาจจะมีข้อดีอยู่บ้างตรงที่ทำให้ความสัมพันธ์ผมกับครอบครัวดีขึ้น เราเข้าใจกันมากขึ้น และทำให้ผมได้รู้ว่าสังคมนี้มันไม่ได้ไร้น้ำใจอย่างที่เราคิด แต่ในขณะเดียวกันยังมีบางคนที่อาจจะคิดและเชื่อว่าผมเป็นไอ้โรคจิตอย่างที่สื่อบอก เพราะหนังสือพิมพ์ทุกเล่มลงเป็นแนวทางเดียวกันหมด ขนาดเมื่อก่อนผมอ่านข่าวผมก็ยังเชื่อสื่อเลย”
แล้วจริงๆ แล้วเราเป็นโรคจิตจริงเปล่า…?
“ผมไม่ได้เป็นโรคจิต ไม่เคยมีประวัติทางด้านประสาท ญาติพี่น้องผมก็ไม่เคยมีใครเป็นโรคจิต ผมไม่มีพฤติกรรมทางเพศที่รุนแรง ไม่เคยสอยกางเกงในคนข้างบ้าน ไม่เคยโทรศัพท์ไปเซ็กซ์โฟนใคร ไม่เคยไปแอบดูใครอาบน้ำ ถ้าใครคิดว่าผมยังเป็นโรคจิตไปให้คุณหมอมาตรวจเลยก็ได้”
“ผมว่าใครที่อยู่กับสังคมคอมพิวเตอร์ทุกคนจะรู้ดีว่าการมีภาพโป๊ ภาพตัดต่ออยู่ในเครื่องเป็นสิ่งที่ปกติ ปัจจุบันนี้เราสามารถหาซื้อภาพอย่างนี้ได้ง่าย บางทีไม่ต้องซื้อก็มีคนส่งเมล์มาให้ เพียงแต่ว่าพอได้รับภาพแล้วจะเก็บไว้หรือจะลบทิ้งเท่านั้นเอง”
“ผมมองว่าเรื่องแบบนี้มันเป็นเรื่องธรรมดาของคนวัยนี้ พอแต่งงานไปแล้วเรื่องพวกนี้ก็หมด แต่ถ้ายังไม่แต่งก็คงจะดูแบบนี้ไปเรื่อย ผมดูตังแต่สมัยเรียนมหาวิทยาลัย มันเป็นเรื่องธรรมดาของผู้ชายใครๆ เค้าก็ดูกัน แต่ถ้าเกิดว่าผมไปถ่ายรูปโป๊ตัวเองเก็บไว้ นั่นน่ะโรคจิตชัวร์”
ตกเป็นผู้ต้องหาก็แล้ว โดนว่าเป็นโรคจิตก็แล้ว และเร็วๆ นี้ก็คาดว่าจะต้องตกงานอีก ทุกอย่างมันถูกบั่นทอนจนแทบจะหมดสิ้น ไม่ทราบว่าชีวิตนี้โจ้จะยังพอมีความหวังอะไรได้อีก
“ที่ผมหวังมากที่สุดตอนนี้เลยก็คือ หวังอยากจะให้คุณตั๊กถอนแจ้งความ ซึ่งตอนนี้ก็มีผู้ใหญ่ในวงการท่านหนึ่งไปเจรจาให้แล้ว แต่ก็ไม่เห็นว่าเค้าจะติดต่อกลับมา ผมไม่รู้ว่าคุณตั๊กอยากเจอผมหรือเปล่า แต่ผมอยากเจอคุณตั๊กมาก และถ้ามีโอกาสได้เจอกับเค้าจริงๆ ผมก็อยากจะขอโทษเค้า ผมอยากจะพูดแบบนี้ตั้งแต่วันแรกที่เป็นข่าว แต่ถามว่าผมเจตนาไหม ผมไม่ได้มีเจตนา แต่ผมผิดที่เอารูปเค้าไป”
จะเจอหรือไม่เจอก็ยังไม่รู้ แต่เท่าที่โจ้รู้ก็คือ โอกาสที่จะยอมความนั้นค่อนข้างเป็นไปได้น้อย
“เท่าที่คุยกับทนาย เค้าบอกว่าต้องรอให้ได้ตัวคนที่เอาภาพต้นฉบับมาเผยแพร่ก่อนถึงจะสามารถยกฟ้องได้ เพราะถ้ายกฟ้องตอนนี้ก็ต้องยกฟ้องหมดเลย ทั้งคดีที่เค้ามีกับแกรมมี่กับคดีของผมมันโยงถึงกันหมด ฉะนั้นเปอร์เซ็นต์ที่เค้าจะถอนแจ้งความคงเป็นไปได้น้อย แต่ผมก็ยังหวังลึกๆ อยู่”
“อย่างที่สองที่ผมหวังก็คือ ผมอยากให้ตำรวจหาคนที่เป็นคนเอาภาพออกมาให้ได้ เห็นเค้าบอกว่ารู้ตัวแล้ว แต่ก็ไม่รู้ว่าทำไมยังไม่ไปจับซักที แต่อย่างไรก็ตามผมก็ยังเชื่อในคำพูดของตำรวจเพราะเค้ารับปากผมว่าจะจับคนที่เอาภาพออกมาให้ได้”
ซึ่งตอนนี้ตำรวจก็ได้สนองสิ่งที่ได้รับปากกับโจ้ไปเรียบร้อยแล้วด้วยการจับแพะเอ๊ย ! จับผู้ต้องหาโพสต์รูปคนที่สองจากเว็ปอารมณ์ดีคอทคอม แต่ถึงจะมีเพื่อนร่วมแชร์ความผิดอีกคน แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความชีวิตของโจ้จะปลอดภัยจากตะราง เพราะก่อนหน้านี้ก็มีข่าวออกมาว่า ตำรวจกำลังตรวจสอบความผิดเรื่องที่โจ้มีภาพตัดต่อของดาราและคนดังคนอื่นๆ อยู่
“คดีอื่นๆ ก็ว่ามาเลยละกัน จะทำยังไงก็ว่ามา ผมทำใจไว้แล้วถ้าจะต้องติดคุกอีกรอบ”
โจ้สรุปสั้น ๆ ก่อนจะขอตัวไปเดินสายแก้บนเอ๊ย ! ไปสักการะพระนางเจ้าสุนันทาที่คุ้มครองให้รอดคุกรอดตะรางมาได้
แต่ไหน ๆ ก็จะไปไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งที ยังไงก็อย่าลืมภาวนา “ขออย่าให้เจออีกคดีก็แล้วกัน”
ไม่งั้นล่ะแย่เลย…