xs
xsm
sm
md
lg

MEAN GIRLS : ผู้หญิง...กับบางสิ่งชวนหัว

เผยแพร่:   โดย: ธีปะนันท์ เพ็ชร์ศรี


เพื่อนรุ่นน้องคนหนึ่งที่เร่ร่อนไปร่ำเรียนเสียไกลถึงอเมริกาบอกกับผมเมื่อ 2-3 อาทิตย์ก่อนว่า “พี่รู้ไหม ว่าคนอเมริกันกำลังเห่อหนังแบบ Chick Flicks กันใหญ่เลย” ผมตอบไปว่า “เหรอ” แล้วก็ถามต่อว่า “ทำไมล่ะ?”

เหตุผลที่มันนำมาอ้างก็ดูมีน้ำหนักพอสมควร เพราะหนังเรื่อง Mean Girls กำลังกวาดรายได้โดยไม่มีทีท่าว่าจะแผ่วแรง ทั้งๆ ที่เข้าฉายมาเกือบ 10 สัปดาห์แล้ว ถือได้ว่าเป็นม้ามืดของซัมเมอร์นี้อย่างแท้จริง

ผมอยากดู Mean Girls มาตั้งแต่ตอนนั้น ไม่ใช่เพราะมันทำเงินมากมายที่อเมริกาเท่านั้น แต่คำวิจารณ์ส่วนใหญ่จากสื่อต่างๆ ก็ออกมาเป็นบวกแบบเอกฉันท์

Chick Flicks หรือที่แปลง่ายๆ สั้นๆ ว่า “หนังหญิงๆ” นั้นกินความหมายกว้างขวาง หนังอะไรที่ผู้หญิงชอบและรักนั้นก็ดูเหมือนจะเหมาให้อยู่ในกลุ่มนี้ได้หมด

แต่ผู้หญิงก็ไม่ได้รักหนังทุกประเภทหรอก และขั้วตรงกันข้ามของ Chick Flicks เขาก็มีศัพท์เรียกเหมือนกัน คือ Macho Movies ซึ่งเป็นหนังที่สร้างขึ้นมาเพื่อตอบสนองกลุ่มคนดูเพศชายโดยเฉพาะ

แน่นอน ผู้ชายส่วนใหญ่ย่อมหลีกเลี่ยงที่จะเข้าชมหนังแบบที่มีบาร์บร่า สไตรแซนด์ หรือ เบตต์ มิดเลอร์ แสดงนำ เช่นกัน, ผมก็เชื่อว่ามีผู้หญิงไม่เยอะนัก ที่จะรู้สึกตื่นเต้นเมื่อเห็นหนังใหม่ของสตีเวน ซีกัล หรือ ฌอง คล้อด แวน แดมม์ กำลังจะเข้าโรง - ไม่ต้องสาธยายมาก เราก็พอจะแยกแยะกันได้เองอยู่แล้ว

มีคนพยายามให้คำจำกัดความกับหนังผู้หญิงๆ อยู่บ้างเหมือนกันว่า มันต้องเป็นหนังที่เน้นอารมณ์มากกว่าการกระทำ (Action) หนังจะเรียกน้ำตาและเสียงหัวเราะหรือไม่ - ไม่สำคัญเท่ากับต้องสร้างความอิ่มเอิบต่อการใช้ชีวิต ส่วนประกอบหลักของหนังประเภทนี้ (นอกจากนางเอกผู้แสนดี และพระเอกสุดหล่อ) คือการหยิบยื่นปัญหาให้กับตัวละคร และบอกวิธีแก้ไขให้ จนท้ายสุดเรื่องราวจะจบลงอย่างมีความสุข

ฉากไคลแม็กซ์ของ Chick Flicks จะออกมาในรูปของการสารภาพและยอมรับความจริงของตัวละคร แตกต่างจากวิธีการคลี่คลายของหนังแบบ Macho ที่จะต้องอาศัยพละกำลังและการต่อสู้ แล้วจบลงด้วยการตายของผู้ร้ายและชัยชนะของพระเอก

โดยรวมแล้วทั้ง 2 ประเภทก็เป็นหนังในแบบเดียวกัน ที่มุ่งพาผู้ชมหลีกหนีความเป็นจริง (Escapism) สร้างตัวละครประหนึ่งว่าเป็นผู้ชมเองแต่อยู่ในโลกสมมติ เข้าต่อกรกับผู้ร้ายและเอาชนะมันอย่างที่ทำไม่ได้จริง (หรือไม่มีวันทำได้) ในชีวิตประจำวัน

ผมไม่แน่ใจว่าคนอเมริกันรู้สึกเครียดกับชีวิตมากกว่าแต่ก่อนหรือเปล่า ที่ Mean Girls ได้รับการตอบรับขนาดนี้ และคำตอบก็น่าจะออกมาว่า “เปล่า ผมคิดมากไปเอง” เพราะหนังอะไรที่ดี ดูสนุกและไม่ต้องคิดอะไรมากมาย ใครๆ ก็ชอบกันทั้งนั้น ขนาดตัวผมเองก็ยังชอบเลย

ผมดู Mean Girls แล้วก็ชอบมากครับ หนังทั้งเรื่องอาจไม่มีอะไรใหม่ แต่บทเขียนได้สนุกสนาน และนักแสดงก็เล่นกันดีแทบทุกคน มันเป็นตัวเลือกที่ไม่เลวเลย ในช่วงที่โรงหนังทุกโรงพร้อมใจกันฉาย Spider-Man 2 แบบไม่ลืมหูลืมตาอย่างนี้

Chick ในหนังเรื่องนี้เป็นเด็กสาววัย 16 แสนน่ารักที่ดูธรรมดา ชื่อ เคดี แฮรอน (ลินด์เซย์ โลแฮน) แต่เธอก็แตกต่างกับเด็กสาววัยเดียวกันตรงที่เธอไม่เคยเข้าโรงเรียนมาก่อน (ตั้งแต่เด็กมาจนอายุป่านนี้ เธอเรียนกับพ่อแม่มาตลอด) ฉะนั้นสิ่งที่เธอขาดอย่างหนักก็คือ การเข้าสังคม และการเพิ่งมาเรียนรู้เอาในตอนอายุ 16 นั้น มันก็ยิ่งยากเข้าไปใหญ่

โลกของเด็กไฮสกูลนั้นมีหลากหลาย ฉากที่ เจนิส เพื่อนใหม่ของเธออธิบายแผนที่โรงอาหารน่าจะเป็นตัวอย่างได้เป็นอย่างดี แต่ละโต๊ะมี “บุคลิก” ของมันเอง และไม่ง่ายเลยที่จะสุ่มสี่สุ่มห้าเดินเข้าไปนั่งโดยไม่ทำความรู้จักกับมันหรือกับตัวเราเองให้ดีเสียก่อน - มันเป็นฉากที่นอกจากจะบอกเงื่อนไขกับผู้ชมแล้ว ยังบ่งบอกถึงสาระสำคัญของหนังได้ด้วย

เคดีได้ที่นั่งครั้งแรกในโต๊ะกลุ่มพลาสติก ซึ่งเป็นแก๊งสาวสวยที่สุดในโรงเรียน เจนิสคนเดิมบอกว่า ทั้งเรจิน่า เกรตเชน และ คาเรน สวยก็จริง แต่ก็โง่และสารเลวอย่างร้ายกาจ เธอยุให้เคดีคบกับสามสาวนั้นต่อไป เพื่อนำความลับที่น่าอับอายของแก๊งแสบนั้นมาเผยแพร่ แต่นับวัน แทนที่จะได้แก้เผ็ด เคดีกลับกลายร่างเป็นสาวพลาสติกไปอีกคน

ส่วนตัวผมคิดว่าหนังกล้าหาญมากที่เปิดโอกาสให้เคดีได้ปรับปรุงตัวเองหลายครั้ง และก็ยอมให้เธอปล่อยมันผ่านเลยไป จนกระทั่งเธอมีดีกรีความร้ายกาจเท่าเทียมกับเรจิน่า - คนที่เธอเกลียดที่สุด - และพอเป็นอย่างนั้น เคดีก็ต้องรับผลที่ตามมาสำหรับการเป็นเรจิน่าด้วย นั่นก็คือ คนรอบข้างทุกคนเกลียดเธอ และบางช่วงบางตอนคนดูก็รู้สึกว่าสิ่งที่เธอเจอนั้นก็สาสมดีแล้ว

แต่อะไรๆ ก็ไม่ได้เลวร้ายไปเสียทุกอย่าง ในเวลาที่ย่ำแย่ที่สุดของเคดี ทำให้เธอได้นั่งทบทวนตัวเอง มองความผิดพลาด เรียนรู้ที่จะยอมรับและแก้ไขมันอย่างยุติธรรม

หนังอาจให้เคดีเอาตัวรอดจากสถานการณ์นี้ง่ายไปสักหน่อย จากฉากที่เธอต้องไปแข่งคณิตศาสตร์และมัวแต่วิจารณ์คู่แข่งว่าขนคิ้วหนาเกินไป จนคิดได้ว่า “การมองข้อด้อยของคนอื่น ไม่ทำให้เธอชนะได้หรอก” แต่ก็ถือว่าไม่น่าเกลียด หนังเบาๆ แบบนี้ไม่ต้องการความสมจริงไปทุกเรื่อง เช่นเดียวกับฉากที่เคดีขึ้นไปรับมงกุฎในงานเลี้ยงจบการศึกษาและกล่าวสุนทรพจน์ เป็นฉากที่ซ้ำซาก แต่ก็ไม่ใช่ความผิดร้ายแรง

นอกเหนือจากความสนุกสนานของเนื้อเรื่องและตัวละครอย่างที่ผมได้กล่าวไว้แล้ว สิ่งที่ทำให้ผมชอบ Mean Girls คือการบอกให้ผู้หญิงเป็นตัวของตัวเอง บทสรุปตอนท้าย ไม่มีใครเปลี่ยนแปลงไปมากมาย แต่เหล่าสาวๆ เธอหาที่ทางอันเหมาะเจาะแก่ตนเอง โดยไม่เดือดร้อนใคร

ผมนึกไปถึงเวลาดูการประกวดนางงาม แล้วหงุดหงิดกับคำถามประเภท “คุณคิดว่าอะไรสำคัญกว่ากันสำหรับผู้หญิง, ความสวยหรือความฉลาด?”

ผู้เข้าประกวดร้อยทั้งร้อยมักตอบว่า “ความฉลาดสำคัญที่สุด” ชวนให้คิดไปว่า ถ้าใครสักคนเกิดมาโง่ พร้อมๆ กับที่หน้าตาขี้เหร่ นั่นหมายถึง ต้องจบชีวิตจากโลกนี้ไปเลยหรือเปล่า

Mean Girls บอกว่า ไม่มีใครต้องจบชีวิตทั้งนั้น คนสวย ไม่สวย เก่ง หรือโง่ หากรู้จักและหาที่ทางของตัวเองได้ ก็น่าจะมีความสุขทั้งนั้น

อันนี้ไม่ใช่เฉพาะกับผู้หญิงนะครับ ผมว่ากับผู้ชายก็น่าจะใช้ได้เหมือนกัน



กำลังโหลดความคิดเห็น