มีหนังเกี่ยวกับสงครามโลกครั้งที่ 2 อยู่หลายเรื่องที่ผมชอบและยัง “รู้สึก” กับมันทุกครั้งที่นึกถึง
เรเน่ เคลมองต์ กับหนัง Forbidden Game ทำให้เห็นว่าสงครามสร้างเหยื่อขึ้นมาในหลายรูปแบบ และประเภทที่น่าสงสารที่สุด คือเด็ก - ผู้ไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรด้วย, หนังเรื่อง Europa, Europa ของ แอ็กเนียสก้า ฮอลแลนด์ ก็เป็นหนึ่งในหนังที่ชวนให้เกิดความรู้สึกกดดันมากที่สุดตั้งแต่ผมเคยดูหนังมา
แม้แต่หนังสงครามของ สตีเวน สปีลเบิร์ก ที่นักวิจารณ์ส่วนมากค่อนข้างดูแคลน เพราะเต็มไปด้วยการปรุงแต่ง อย่าง Schindler’s List และ Saving Private Ryan ก็พาผมไปพบกับค่ายกักกันและสมรภูมิที่ดูน่ากลัวและรุนแรงอย่างที่ผมเองก็ไม่เคยนึกถึง
วันที่6 มิถุนายนที่ผ่านมา เป็นวันครบรอบ 60 ปี ของวันดีเดย์ มีการจัดงานรำลึกไปแล้วในหลายที่ คำพูดที่ว่า สงครามไม่เคยให้อะไร อาจดูไม่ถูกต้องนัก อย่างๆ น้อยมันก็ให้บทเรียนอันเจ็บปวดแก่ประวัติศาสตร์ มันทำให้คำว่า สันติ ดูมีความหมายและมีความสำคัญขึ้นอีกเยอะเลย โดยเฉพาะในยามที่เราๆ มักหลงลืมมันไปแล้ว
เราจะยังคงพูดถึงสงครามอยู่เรื่อยๆ ตราบใดที่เรายังใฝ่สันติกันอยู่ อย่างที่ผมได้กล่าวไปข้างต้นว่า วงการหนังเองก็ยินดีจะ “เล่น” กับสงครามซ้ำแล้วซ้ำอีก มีผู้กำกับเก่งๆ หลายคนที่ทำหนังสงครามดีๆ ซึ่งแตกประเด็นและมุมมองออกไปอย่างที่คนดูได้แต่ตกใจ
Amen. ของ คอสต้า-กาฟรัส ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่อยู่ในข่ายนั้น น่าเสียดายที่หนังออกจะเงียบเชียบเกินไปเมื่อเทียบกับคุณค่าของมัน สำหรับผมแล้ว แม้จะไม่ดีเท่า แต่ผมก็ชกกชอบ Amen. พอๆ กับงานชิ้นเยี่ยมของโรมัน โปลันสกี้เรื่อง The Pianist เลยทีเดียว
แต่ก่อนที่จะอธิบายว่า Amen. มีดีอะไร ก็ควรจะต้องอธิบายก่อนว่า มันต่างจากหนังสงครามอื่นๆ อย่างไร ในขณะที่หนังสงครามหลายๆ เรื่อง (ที่ใช้ฉากหลังเป็นสงครามโลกครั้งที่ 2) จะมีฉากการสู้รบในสมรภูมิ, การฉายให้เห็นความทุกข์ทรมานที่คนยิวประสพ หรือไม่ก็อาจจะชี้ให้เห็นชะตากรรมของชีวิตซึ่งต้องมาพลิกผันเพราะสงคราม
Amen. กลับเล่าส่วนนั้นออกมาโดยภาพอย่างผ่านๆ ไม่ได้เน้นย้ำให้คนดูรู้สึกอึดอัดหรือสะอิดสะเอียน กาฟรัส ใช้ภาพขบวนรถไฟที่ว่างเปล่าวิ่งไป และมันก็วิ่งกลับมาในลักษณะลงกลอนอย่างแน่นหนา - อยู่หลายครั้ง แทบจะไม่ต้องสงสัยเลยว่า มันแทนภาพชาวยิว - ที่ยืนร้องไห้อยู่ในนั้นเพราะหวาดหวั่นกับอนาคต
กาฟรัสใช้รูปแบบการเล่าเรื่องเช่นนั้นอยู่หลายตอน (ในส่วนของความรุนแรง) กล่าวคือ จะไม่มีการพูดหรือแสดงออกมาอย่างตรงไปตรงมา แต่จะอ้างถึงเป็นนัยอย่างไม่ซับซ้อน ที่เป็นอย่างนั้นเพราะแก่นของมันไม่ได้พูดถึงความโหดร้ายของสงคราม แต่พยายามชี้ให้คนดูเห็นว่า แม้ในสถานการณ์ที่เลวร้าย โลกนี้ก็ไม่ได้สิ้นหวังเสียทีเดียว
หนังสร้างจากเรื่องจริงของ ร้อยโท เคิร์ต เกิร์ชไตน์ (อุลริค ทุเคอร์) นายทหารเยอรมันคนหนึ่งที่แขวนคอตายในคุกทหาร ชื่อของเกิร์ชไตน์อาจถูกลืมไปแล้ว ถ้าไม่ใช่เพราะการดิ้นรนก่อนหน้านี้ของตัวเขาเอง - - - เพื่อยับยั้งไม่ให้สงครามขยายตัวไปมากกว่าที่เป็นอยู่
เดิมเกิร์ชไตน์ เป็นนายทหารที่ดูแลด้านการทดลองทางวิทยาศาสตร์ แม้จะทราบอยู่ในใจลึกๆ ว่า ฮิตเลอร์ตั้งแผนกนี้ขึ้นมาเพราะหวังผลในแง่อาวุธยุทโธปกรณ์เพื่อใช้ในสงคราม แต่เกิร์ชไตน์ก็ยังเลือกมองในด้านที่สดใส สนุกสนานกับการคิดเครื่องกรองน้ำซึ่งเอาไว้ใช้ในสนามรบ
แต่ที่ทำให้นิ่งนอนใจไม่ได้อีก ก็เนื่องมาจากเขากลายเป็นนายทหารกลุ่มแรกๆ ที่ได้เป็นสักขีพยานในการทดลองการใช้แก๊สกับมนุษย์ แน่นอนว่ากาฟรัสไม่ได้ใช้กล้องแทนสายตาของเกิร์ชไตน์เพื่อให้คนดูทราบว่า เขาเห็นอะไร มีเพียงสีหน้าของเขาเท่านั้นและมันก็เกินพอแล้ว
แต่เงื่อนไขรายรอบในการช่วยเหลือผู้บริสุทธิ์ของเกิร์ชไตน์มีมากมาย กาฟรัสแจกแจงว่า ถ้ามองกันผิวเผินแล้ว การที่เขาจะทำตัวเป็นวีรบุรุษมีแต่เสียกับเสีย เขาคงได้รับการเลื่อนขั้นแน่ๆ หากร่วมมือการนายทหารคนอื่นๆ เพื่อไปเป็นหัวหน้าควบคุมในค่ายกักกัน หนำซ้ำ เขายังมีภรรยา ยังมีลูกเล็กๆ มีอะไรที่ต้องดูแลอีกโข
อย่างไรก็ตาม เส้นทางของเกิร์ชไตน์เหมือนจะถูกขีดไว้แล้ว เขาทำทุกวิถีทางที่จะยับยั้งการสังหารหมู่ แต่ไม่สำเร็จ จนกระทั่งตัดสินใจว่า ควรจะเข้าหาพระคาดินัล ซึ่งเขาคิดเอาเองว่าน่าจะส่งเรื่องไปถึงวาติกัน พระสันตะปาปาอาจมีอำนาจพอในการเจรจากับฮิตเลอร์ หรืออย่างน้อยๆ พระองค์น่าจะทรงเตือนพสกนิกรถึงอันตรายที่กำลังคืบคลานมาได้บ้าง
อย่างไรก็ดี แผนการนั้นดูเหมือนจะล้มเหลว แต่มันก็พลิกไปอีกทางเมื่อเขาได้รู้จักกับหลวงพ่อริคาร์โด (มาติเออ คัสโซวิตส์) บาทหลวงหนุ่มเกิดอุดมการณ์แบบเดียวกัน และอาสาที่จะไปร้องขอกับวาติกันให้
เรื่องที่คิดว่าจะง่ายแล้วดันกลับตาลปัตร วาติกันเองก็มีเงื่อนไขอีกมากมาย ถึงแม้ใครจะบอกว่า การช่วยเหลือไม่น่าจะมีข้ออ้างอะไร แต่ความจริงไม่ใช่ นักวิจารณ์บางคนถึงกับบอกว่า ที่หนังนำให้ตัวละครมาพบกับความยุ่งยากแบบนี้ เป็นแนวที่กาฟรัสวางไว้ (ถึงแม้มันจะมาจากเรื่องจริง) เขาถนัดนักในการเล่นไม้นี้กับคนดู
คอสตา กาฟรัส (หรือชื่อเต็ม คอนสแตนติน คอสตา-กาฟรัส, เขาเป็นชาวกรีก แต่ปัจจุบันถือสัญชาติฝรั่งเศส) เป็นหนึ่งในคนทำหนังการเมืองคนสำคัญ เขาโด่งดังมากๆ กับงานในยุค 70-80 อย่าง Z (ได้รับรางวัลภาพยนตร์ภาษาต่างประเทศยอดเยี่ยมในปี 1969) และ Missing (1982)
หนังของกาฟรัสอาจจะไม่ได้เต็มไปด้วยอารมณ์สมจริง (แบบ Realistic) และไม่ได้เรียกร้องความตั้งใจของคนดู เหมือนกับคนทำหนังการเมืองรุ่นใกล้ๆ กันที่โด่งดังอย่าง อันด์เจ ไวดา หรือ ฟรานเชสโก โรซี แต่งานของเขาออกมาในตระกูลของหนังระทึกขวัญ (Thriller) อย่างชัดเจน
ถึงอย่างนั้น Thriller ของกาฟรัสก็ปรุงแต่งน้อย เขามักเน้นไปที่ตัวละคร (และความตื่นเต้นก็จะมาจากจุดนั้น) ตัวละครในหนังของเขามักตกเป็นเบี้ยล่างของอำนาจอะไรบางอย่างที่ผูกโยงกันซับซ้อน และบ่อยครั้งที่เขาจะไม่ได้รับชัยชนะแบบที่เห็นชัดเจน กาฟรัสเห็นว่า สิ่งที่สำคัญมากสำหรับคนเราไม่ได้อยู่ตรงถ้วยรางวัล แต่มันอยู่ที่อุดมการณ์
นั่นเป็นเหตุผลที่ย้ำเตือนอีกครั้งว่า เหตุใด Amen. จึงลงเอยในลักษณะที่ไม่เอาใจคนดู อันที่จริงถ้าเรายังไม่ลืมว่าเหตุการณ์ในหนังอยู่ในช่วงการเริ่มต้นของสงครามเท่านั้น - ก็น่าจะช่วยในการทำใจรับมือกับความเศร้าได้ในระดับหนึ่ง
การกระทำของเกิร์ชไตน์และหลวงพ่อริคาร์โด อาจไม่ส่งผลอะไรเลยในแง่ของการคลี่คลายหรือระงับความรุนแรง แต่การรับรู้ในภายหลัง มันช่วยให้เราตระหนักได้ว่า แม้ในอยู่ช่วงที่ยังมองไม่เห็นเส้นชัย แต่ก็ไม่ใช่ข้ออ้างที่จะขอยอมแพ้.