กำลังขยายงานอย่างใหญ่โตเลยทีเดียวสำหรับ แมทชิ่ง สตูดิโอ ทั้งผลิตภาพยนตร์ รายการทีวี หรือโปรเจ็กต์ยักษ์อย่างมูวี่ทาวน์ เฮีย “ตี๋ แมทชิ่ง” หรือ สมชาย ชีวสุทธานนท์ เจ้าพ่อวงการโฆษณาก็เอาหมด ล่าสุดก็มีข่าวว่ากำลังจะดอดไปเปิดค่ายเพลงอีกต่างหาก
“ตอนนี้มันกำลังอยู่ในรูปแบบของความคิดการพูดคุยเรียกว่า มันอยู่ในสมองซีกซ้ายของผม แต่ถามว่าสนใจไหม....สนใจ เพราะว่าธุรกิจเพลงเป็นอีกธุรกิจหนึ่งที่จะมาซัพพอร์ทงานโฆษณาที่เราทำอยู่ แต่คงยังไม่ทำในตอนนี้ ผมอยากจะให้ทุกอย่างมันเป็นไปตามสเต็ป”
เกิดจากวงการโฆษณา การที่จะเข้ามาจับธุรกิจเพลงจึงไม่ใช่เรื่องง่ายนักหากขาดผู้เชี่ยวชาญด้านนี้มาช่วยเสริมทีม งานนี้ก็เลยมีข่าวลือแพร่สะพัดว่าแมทชิ่งกำลังเจรจาซื้อตัวนักร้องและปรมาจารย์เพลงทั้งหลายมาเข้าสังกัดเพียบ ที่เห็นเป็นข่าวใหญ่โตก็คือ “โอม ชาตรี” กับ “โจอี้ บอย”
“ปกติผมก็คุยกับโอม ชาตรีและก็ไปกินข้าวกับโจอี้บอยอยู่แล้ว พวกเรารู้จักมักคุ้นกันมาตั้งนานแล้ว ก็ไปไหนด้วยกันตามปกติ ผมไม่เคยทาบทามโจอี้ แต่เค้าก็มาคุยกับผมบ้าง ส่วนคุยกันเรื่องอะไรนั้นยังบอกไม่ได้”
แต่ถ้าจะทำจริงๆ ตี๋ แมทชิ่งบอกว่า จะเน้นความแปลกเป็นที่ตั้ง...
“ถ้าจะทำจริงผมก็อยากทำให้แปลก ค่ายเพลงของผมจะไม่ใช่แค่ค่ายเพลง ไม่ใช่แค่นักร้องมาร้องเพลง การเอนเตอร์เทนเม้นท์จะต้องครบ และต้องพัฒนารูปแบบใหม่ๆ ให้เกิดขึ้น อันนี้ผมไม่ได้ว่าคนที่ทำอยู่ก่อนแล้วนะ เพียงแต่ว่าถ้าผมจะทำ ผมจะทำให้เอนเตอร์เทนเม้นท์มันเชื่อมไปกับการโฆษณาด้วย”
ส่วนโปรเจ็กต์มูวี่ทาวน์ที่แมทชิ่งคุยนักคุยหนาว่าจะทำให้เสร็จ แต่จนแล้วจนรอดก็ยังไม่เห็นข่าวความเคลื่อนไหวของโปรเจ็กต์ยักษ์นี่เลย ผิดกับกันตนาที่ชิงเปิดตัวมูวี่ทาวน์ไปเรียบร้อยแล้ว
“มูวี่ทาวน์ตอนนี้กำลังอยู่ในช่วงของการทำเฟสแรก ซึ่งเราตั้งใจจะทำ 4 เฟส อยากจะให้เป็นฮอลลีวูดแห่งเอเชีย อันนี้ผมไม่อยากจะให้เอาไปเปรียบเทียบกับใคร เพราะเวลาทำงานผมพูดมาตลอดว่าผมแข่งกับตัวเอง”
“ผมอยู่วงการโฆษณา ผมเป็นที่หนึ่งแห่งประเทศไทย เป็นที่หนึ่งของเอเชีย และติดหนึ่งในสิบของโลก เรารู้ว่าเรากำลังทำอะไรอยู่ อย่าเอาไปเปรียบเทียบกันใคร ถ้าใครทำขึ้นมาแล้วสร้างสรรค์ผมก็ยินดีด้วย ทำกันไปเหอะ ทำให้เยอะๆ ธุรกิจมันจะได้โต อย่าไปว่าอันนี้ของจริง อันนี้ของปลอม ไปวัดกันที่ผลงานดีกว่า”
เรียกว่าธุรกิจงานเพลงกับมูวี่ทาวน์คงต้องรอกันไปอีกซักหน่อย เพราะทุกอย่างกำลังอยู่กระบวนการความคิดและการผลิต แต่ที่ผลิตแล้วอย่างภาพยนตร์ “ซีอุย” นี่สิ ไหงเฮียตี๋ไม่เอามาออกโชว์ซักกะที...
“ซีอุยทำเสร็จตั้งนานแล้ว แต่มันมีบางอย่างที่มันต้องแก้ไขให้สมบรูณ์ขึ้น แต่สื่อกับเอาไปลงว่าหนังเรื่องนี้มีปัญหาอย่างโน้นอย่างนี้ ซึ่งตรงนี้ผมอยากจะให้เปลี่ยนแนวคิดกันใหม่ คุณเห็นหนังเมืองนอกไหม เค้าทำกันตั้งปีสองปี แต่หนังไทยทำ 3 – 4 เดือนก็ถามแล้วว่าปิดกล้องหรือยัง”
“การทำหนังของผมมันเหมือนการสร้างบ้านน่ะ คือมันอาจจะสร้างเสร็จแล้ว หิ้วกระเป๋าเข้าไปอยู่ได้ แต่บางทีหลังบ้านมันอาจจะหลังคารั่วก็อยู่ไม่สบาย ผมอยากจะให้บ้านผมสร้างเสร็จสมบรูณ์เรียบร้อยแล้วเข้าไปอยู่”
แม้จะยืนยันชัดเจนว่าต้องการทำหนังหนังให้ออกมาสมบรูณ์แบบมากที่สุด แต่กระนั้นก็ยังมีคนตั้งข้อสงสัยในความล่าช้าอยู่ดีว่าส่วนหนึ่งน่าจะมาจากความไม่ชำนาญซะมากกว่า เพราะแมทชิ่งมาจากวงการโฆษณาไม่ใช่บริษัทผลิตหนัง
“ใครบอกว่าคนทำโฆษณาทำหนังไม่เป็น หนังดังๆ อย่างแฟนฉันใครเป็นคนทำ อุ๋ย นนทรีย์ ก็มาจากโฆษณา ต้อม เป็นเอก ก็มาจากโฆษณา เก้ง จิระ ก็มาจากโฆษณา แม้แต่สปิลเบิร์กก็มาจากโฆษณาทั้งนั้น”
“อันนี้ผมไม่ได้บอกว่าคนทำโฆษณาเก่งกว่าคนทำหนังนะ แต่คนที่ทำโฆษณามีดีตรงที่มีมุมมองทางด้านการตลาด ส่วนคนทำหนังก็ดีตรงที่โปรดักชั่น แต่ของเราค่อนข้างมีการวางแผนการตลาดที่รัดกุม และมีความคิดแปลกใหม่”
แต่หนังแปลกใหม่ส่วนใหญ่นั้นมักจะขายไม่ค่อยได้ในไทย จนผู้ผลิตบางรายถึงกับประกาศว่า ไม่หวังยอดในประเทศแต่มุ่งจะขายเมืองนอกซะกว่า งานนี้นักโฆษณาที่มีแนวคิดการตลาดชั้นเซียนอย่างตี๋ แมทชิ่งให้ความเห็นว่า...
“ไม่จริงใครที่บอกว่าไม่คาดหวังตลาดที่เมืองไทยนะ บอกได้เลยว่าตอแ-ล คนทำหนังอย่างแรกเลยเค้าก็หวังจะขายในประเทศก่อนทั้งนั้นแหละ แต่ว่าจะขายในประเทศไทยกี่เปอร์เซ็นต์ เมืองนอกกี่เปอร์เซ็นต์ก็ว่ากัน แต่ไอ้ที่พูดไว้ก่อนก็เป็นเพราะว่ากลัวเจ๊งล่ะสิ”
“ใครที่ทำออกมาแล้วคิดแบบนี้ เตรียมตัวเจ๊งไว้ได้เลยเพราะการที่ไปพูดว่าไม่หวังขายในเมืองไทย คุณคิดว่าคนดูเค้าจะรู้สึกว่ายังไง เค้าต้องคิดว่าดูถูกไปหาว่าเค้าดูหนังไม่รู้เรื่อง คนก็พาลจะบอยคอต ไม่มีใครไปดู”
มิน่าล่ะเห็นเจ๊งกันหลายเจ้า....