สร้างความฮือฮาเป็นอย่างมากกับข่าวการรวมทุนกันของสองพี่น้องตระกูล "พูลวรลักษณ์" ที่กุมธุรกิจโรงหนังยักษ์ใหญ่อย่าง "เมเจอร์ ซิเนเพล็กซ์" โดย "วิชา พูลวรลักษณ์" และโรงภาพยนตร์ในเครือ "อีจีวี" ของ "วิชัย พูลวรลักษณ์" ทั้งๆ ที่ผ่านมาทั้งสองนั้นแทบจะไม่มองหน้ากัน
จากการรวมตัวกันดังกล่าวก็ได้ส่งผลให้ทั้ง "เมเจอร์" และ "อีจีวี" นั้นมีส่วนแบ่งทางการตลาดในธุรกิจโรงหนังกว่า 70 เปอร์เซ็นต์ซึ่งถือว่าเป็นเจ้าใหญ่ที่สุดในตลาดธุรกิจทางด้านโรงภาพยนตร์ไปในทันทีเลยทีเดียว
เมื่อเป็นเช่นนี้หลายฝ่ายจึงเกิดอาการ "อดเป็นห่วง" ขึ้นมาไม่ได้ว่าจะเกิดภาวะการผูกขาดของธุรกิจในตรงนี้ซึ่งจะส่งผลเสียในหลายๆ ทาง โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับบรรดาผู้สร้างหนังไทยทั้งหลายเนื่องจากที่ผ่านมาอำนาจในการต่อรองของผู้สร้างหนังกับทางโรงภาพยนตร์ในการที่จะนำหนังของตนเองเข้าไปฉายนั้นก็แทบจะไม่มีอยู่แล้ว
"จริงๆ ถ้าโรงหนังรวมตัวกันก็ไม่น่ามีอะไรหรอกแต่ว่ามันขึ้นอยู่กับนโยบายของธุรกิจนั้นๆ ขึ้นอยู่กับเจตนาของการรวมตัวกันมากกว่า..." อังเคิล อดิเรก วัฏลีลา ผู้บริหาร "เฉลิมไทย สตูดิโอ" แสดงความคิดเห็นแบบมองในแง่ดี
"มันก็ต้องดูว่าเขารวมกันขึ้นมาเพื่ออะไร เพื่อสร้างประโยชน์ให้แก่เรา หรือว่าเพื่อกดดันผู้สร้าง คือถ้าเป็นแบบหลังแน่นอนอำนาจการต่อรองของผู้สร้างก็จะน้อยลงไป คือมันขึ้นอยู่กับนโยบายนะว่าจะเข้ามาเปลี่ยนแปลงอะไรบ้าง ถ้าผู้บริหารเขามีอำนาจแล้วใช้ในทางที่ผิดมันก็จะไม่เกิดประโยชน์แน่นอน"
"ตรงนี้ทางเมืองนอกเค้าจะมีกฎหมายมารองรับในเรื่องนี้เลยนะ แต่เมืองไทยมีความเป็นอิสระมากไม่มีกฎหมายมารองรับมันก็เลยเป็นเรื่องลำบาก แต่ถ้าใช้ในทางที่ถูกก็ดีไป"
ผู้บริหาร "เฉลิมไทย สตูดิโอ" ยังได้บอกต่อไปด้วยว่าตอนนี้ทางผู้สร้างเองยังไม่มีการรวมกลุ่มอะไรกันแต่อย่างใดเพราะยังเร็วเกินไปที่จะไปมองว่าการรวมตัวของเมเจอร์และอีจีวีนั้นจะก่อให้เกิดผลเสียมากกว่าผลดีแม้แนวโน้มของมันจะเป็นไปในทิศทางนั้นก็ตาม
"ณ วันนี้ทางกลุ่มผู้สร้างยังไม่มีการตกลงหรือพูดคุยอะไรกัน แต่ถ้ามีผลเสียมากกว่าผลดีก็คงต้องดูกันต่อไปว่าหลังจากนี้จะมีอะไรเกิดขึ้น คือที่ผ่านมามันก็มีตัวอย่างบ้างแล้วนะ ดูจากตอนที่หนังเรื่องแฮร์รี่ฯ เข้าโรง หนังเรื่องอื่นที่ฟอร์มใหญ่ไม่แพ้แฮร์รี่ พอตเตอร์ อย่าง Killbill หรือ เชร็ค ใน 3 วันแรก ศุกร์-อาทิตย์ ถูกถอดออกจากโรงหมดเลย แต่พอวันจันทร์ก็เอากลับมาเข้าโรงใหม่ ก็ไม่ทราบอะไรจะเกิดขึ้นไปอีกหรือกับหนังไทยก็ไม่รู้เค้าจะเอาอย่างไง"
"ทางโรงหนังเขามีโรง 14-15 โรง ในแง่ของระบบโรงเป็นสิ่งที่ดีที่คนดูจะได้ดูหนังที่หลากหลาย แต่ทุกวันนี้มันไม่ได้เป็นอย่างนั้น 14 - 15 โรงแต่มีหนังฉายแค่ 2 เรื่องมันเป็นการบังคับคนให้ดู ซึ่งในการที่มีมัลติเพล็กซ์ที่ดีมันคือความหลากหลาย แต่ไปบังคับคนให้ดูหนังเพียงเรื่องเดียวมันก็ไม่มีประโยชน์อะไร หนังเรื่องอื่นที่ฟอร์มเล็กต้องเข้าโรงแค่ 3 วันก็ต้องถูกถอดไป"
"กรณีนี้ผมว่าก็คงต้องดูกันไปก่อนครับว่าจะเป็นอย่างไร"