เจอร์รี บรัคไฮเมอร์ อาจจะเป็นที่รู้จักในฐานะโปรดิวเซอร์หนังบล็อคบัสเตอร์ล้างผลาญของฮอลลีวูดก็จริงอยู่ แต่ถ้าหากลองมองลึกเข้าไปในเนื้องาน (ที่บ่อยครั้ง - ค่อนข้างเบาโหวง) ก็จะพบว่ามันพอจะมี "จุดร่วม" อยู่เหมือนกัน
ตัวบรัคไฮเมอร์เคยให้สัมภาษณ์อยู่หลายหนว่า เขาหลงใหลเรื่องราวของวีรบุรุษ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ไม่ได้เป็นไปในแง่ของการลุ่มหลงความรุนแรง ตรงข้าม, บรัคไฮเมอร์ศรัทธาพลังของความดี และเขาก็เชื่อมั่นอยู่ลึกๆ ส่วนตัวว่า สังคมจะน่าอยู่ขึ้นมาก หากทุกคนรู้จักผิดชอบชั่วดี
ฉะนั้นไม่ว่าหนังที่เขาสร้างจะเต็มไปด้วยความวินาศสันตะโรสักเพียงใด ลงท้ายแล้ว หนังของบรัคไฮเมอร์ก็พยายาม "จัดระเบียบศีลธรรม" ให้คนดูได้เห็นกันอย่างชัดเจนว่า ความถูกต้องชอบธรรมมีลักษณะหน้าตาอย่างไร และที่สำคัญ เราๆ ท่านๆ ควรจะเลือกยืนอยู่ตำแหน่งไหน
Veronica Guerin เป็นงานขนาดเล็กของเขาที่สร้างออกมาในปีที่แล้ว หนังใช้งบไปแค่ 17 ล้านเหรียญ ซึ่งถือว่าน้อยกว่ามาตรฐานงานในยุคหลังๆ ของเขา หนังไม่มีฉากระเบิดใหญ่โต แทบจะไม่มีดาราระดับซูเปอร์สตาร์ และแน่นอนว่า ไม่ใช่หนังที่โปรดิวเซอร์อย่างเขาจะหวังเอากำรี่กำไร - ส่วนหนึ่งมันเป็นงานที่ทำขึ้นมาตอบโจทย์ในใจของบรัคไฮเมอร์เอง
ตัวหนังเล่าถึง นักข่าวสาวชาวไอริช ที่ชื่อ เวโรนิกา เกริน เธอถูกฆาตกรรมโดยกลุ่มผู้ค้ายาเสพติด เมื่อวันที่ 26 มิถุนายน ปี 1996 หลายคนอาจไม่รู้จักชื่อของเธอเลย แต่หนังก็อธิบายความสำคัญของเธอไว้ด้วยประโยคสั้นๆ ที่ว่า “ทุกคนในไอร์แลนด์จำได้ดีว่าตัวเองอยู่ที่ไหน ตอนที่ได้ข่าวว่า เวโรนิกา เกริน เสียชีวิต”
ฟังดูคล้ายกับประโยคที่อ้างถึงความสำคัญของประธานาธิบดีจอห์น เอฟ เคนเนดี กับชาวอเมริกัน แต่เกรินเองก็ไม่ได้มีความโด่งดังถึงเพียงนั้น เธอเป็นแค่นักข่าวของ “ซันเดย์ อินดิเพนเดนต์” และก่อนหน้าที่เธอจะเสียชีวิตสัก 2-3 ปี ก็แทบจะไม่มีใครรู้จักเธอเลย
ชีวิตในดับลินของเวโรนิกา (เคต แบลงเชตต์) คือนักข่าวที่บ้างาน (และทุกๆ คนใน “ไอริช อินดิเพนเดนต์” ก็เป็นอย่างนั้น) อีกด้านหนึ่ง, เธอเป็นแม่ของลูกชายวัย 5 ขวบ เป็นภรรยาที่ร่าเริงของแกรห์ม เทอร์ลีย์ ฟังดูน่าจะเป็นชีวิตเรียบง่าย แต่ก็ไม่ใช่
เวโรนิกาบ่นกับสามีของเธอว่า สังคมในไอร์แลนด์ชักจะเสื่อมลงทุกวัน โดยไม่มีใครสักคนที่เอะใจ ถ้าลองขับรถออกจากตัวเมืองดับลินไปหน่อยก็จะเห็นแล้วว่า มัน “โทรม” และ “ทราม” ขนาดไหน เธอเห็นด้วยตาของเธอเองว่า มีเข็มฉีดยาหล่นเกลื่อนกลาดตามถนนหนทาง เด็กในวัยที่ยังพูดออกมาเป็นคำไม่ได้หยิบของอันตรายเหล่านั้นมาเล่นหน้าตาเฉย นี่ยังไม่นับว่า มีหลักฐานปรากฏเป็นสถิติให้ได้เห็นว่า คดีอาชญากรรมเพิ่มขึ้นในปริมาณที่น่าตกใจ
อะไรบางอย่างทำให้เวโรนิกาเชื่อมโยงกับการเห็นอันธพาลบางกลุ่มขับเมอร์ซิเดสคันโก้ และถ้ามันเป็นอย่างที่เธอคิดจริงๆ ก็ชวนให้ตั้งคำถามขึ้นมาอีกว่า รถราคาแพงหนึ่งคันจะต้องแลกกับเข็มฉีดยากี่เข็มที่มอมเมาวัยรุ่นในดับลิน?
ผู้กำกับ โจเอล ชูมักเกอร์ ไม่รอช้าที่จะพาคนดูไปพบการตามล่าหาความจริงของเวโรนิกา และขณะเดียวกันก็ให้ภาพว่าอีกด้านหนึ่งนั้น ขบวนการค้ายาก็ไม่อยู่นิ่งเฉย พวกมันไม่เพียงแต่หลบหลีกอย่างมืออาชีพ แต่ทว่าพร้อมทุกเมื่อที่จะกำจัดใครก็ตามที่มาขวางทาง
หนังเสียหลักอยู่สักหน่อยที่จู่ๆ ก็ดันเรื่องให้มาเข้าสูตรแมวไล่จับหนู ซึ่งเป็นสิ่งที่นักดูหนังคุ้นเคยกันจนไม่เห็นว่ามันเป็นสิ่งแปลกใหม่ แต่กระนั้นมันก็ทดแทนด้วยการที่เรื่องราวดูสนุกสนานขึ้น แทนที่จะเป็นหนังสารคดีอาชญากรรมแบบที่เราเห็นกันทางโทรทัศน์
ปฏิเสธไม่ได้ว่า สิ่งที่ทำให้หนังดูเข้มข้นและตื่นเต้น มาจากบุคลิกของเวโรนิกาเอง (ส่วนนี้แบลงเชตต์น่า
จะรับไปเต็มๆ) เธอขับรถสีแดง (ที่ตัดกับทุกสิ่งทุกอย่างในเฟรม) ร่อนหาข่าวไปมา แต่เธอไม่ใช่แค่สืบเสาะข้อมูลอย่างแมวสูดกลิ่นและเฝ้ามองเหยื่อ หลายหนที่เวโรนิกาเบนเส้นขนานระหว่างตัวเองกับอาชญากรให้มาบรรจบกันแบบไม่เกรงกลัวหน้าอินทร์หน้าพรหมที่ไหนทั้งสิ้น จนได้รับบทเรียนที่เจ็บปวดในท้ายที่สุด
Veronica Guerin อาจเป็นได้ทั้งหนังเชิดชูวิชาชีพสื่อที่ทำหน้าที่ “หมาเฝ้าบ้าน” ให้กับสังคมอย่างน่าปรบมือให้ และเช่นกัน หนังก็ไม่ลืมที่จะยกย่องความแข็งแกร่งของสตรีเพศคนหนึ่งที่ “เลือก” ที่จะสู้ในสถานการณ์ที่ขมุกขมัวเกินกว่าจะเห็นชัยชนะ
เวโรนิกา เกรินเป็นเพียงผู้หญิงธรรมดาๆ คนหนึ่ง เธอตัวสั่นเทาแบบควบคุมตัวเองไม่ได้ หลังจากโดนทำร้ายร่างกายหนแรง แกรห์มบอกกับภรรยาว่าต้องหยุดทำข่าวนี้เสียที แต่คำตอบของเวโรนิกาก็คือ ความจริงเธอไม่ได้อยากทำ แต่เธอจำเป็นต้องทำต่างหาก
ฉากที่อธิบายตัวตนของเวโรนิกาได้ดีที่สุดอยู่ในตอนท้ายของเรื่อง เธอกับแม่คุยกันระหว่างกำลังเลือก
ชุดที่จะใส่ไปขึ้นศาล แม่เป็นคนเริ่มขึ้นก่อนว่า มีอยู่หนหนึ่งที่เวโรนิกาเล่นฟุตบอลกับเพื่อน แล้วบังเอิญลูกบอลลอยไปตกในรั้วบ้านของชายชราปากร้ายคนหนึ่ง
ในขณะที่เด็กผู้ชายทั้งหมดยืนเฉย เวโรนิกาเป็นคนเดินไปเคาะประตูบ้านของตาเฒ่าแคลนซี่เพื่อขอลูกบอลคืนอย่างไม่สะทกสะท้าน แล้วเธอสารภาพว่าความจริงตอนนั้นเธอกลัวแทบตาย แต่ถ้าไม่ทำ ก็หมายถึงการสูญเสียของเล่นไปตลอดกาล
แม่ตอบกลับมาว่า บางครั้งเดินถอยห่างออกมาก็เป็นความกล้าหาญประเภทหนึ่งเหมือนกัน และการยอมเสียลูกบอลไป ก็ไม่ได้หมายความว่ามันเป็นความพ่ายแพ้
เวโรนิกายิ้มแล้วพูดว่า “แต่สุดท้ายหนูก็ได้บอลนะ”
ในการเล่นเกมครั้งสุดท้าย เวโรนิกาจำเป็นต้องออกมาจากสนาม ก่อนที่กรรมการจะเป่านกหวีดหมดเวลา อย่างที่ทราบกันว่าเธอถูกฆาตกรรมในวันที่ 26 มิถุนายน ปี 1996 ขณะที่เธอกำลังจะสาวไปถึงผู้ค้ายาคนสำคัญ
แต่การลาจากสนามในครั้งนี้ไม่สูญเปล่า ประชาชนในไอร์แลนด์ร่วมกันรณรงค์เรื่องยาเสพติด คนผิดก็
โดนกฎหมายเข้าเล่นงานในที่สุดอย่างสาสม
ปีนั้นสถิติของคดียาเสพติดลดลงกว่า 15 เปอร์เซ็นต์ และก็มีแนวโน้มว่าจะดีขึ้นเรื่อยๆ.