xs
xsm
sm
md
lg

“แกรมมี่ ไท หับ” รวมตัวสู้ “สหมงคล” เข็นหนังตลาดชนแหลก !!

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


หลังยุบจีเอ็มเอ็ม พิคเจอร์ไปไม่ทันไร “แกรมมี่” ก็เดินหมากเด็ด ประกาศรวมตัวกับ “หับ โห้ หิ้น” และ “ไท เอ็นเตอร์เทนเม้นท์” จัดตั้งบริษัท GTH ขึ้นเพื่อผลิตหนังไทยป้อนตลาด โดยแกรมมี่จะเป็นผู้ดูแลด้านสื่อ ไทดูแลด้านการตลาด ส่วนหับโห้หิ้นรับหน้าที่สร้างสรรค์ผลงาน โดยวิสูตร พูลวรลักษณ์ ผู้บริหารไท เอ็นเตอร์เทนเม้นท์ ได้เปิดเผยถึงแผนการทำงานว่า

“แผนตรงนี้มันเริ่มต้นมาจากการที่เราเคยร่วมทุนกันชั่วคราวเมื่อตอนที่ทำแฟนฉัน พอทำแล้วดังมันทำให้เราเห็นส่วนที่ต่างคนต่างมี และต่างคนต่างขาด เราก็เลยคิดว่าน่าจะเอาส่วนที่แข็งแรงมารวมกัน เพื่อให้การทำงานมีการกลั่นกรองมากขึ้น”

“อย่างจีเอ็มเอ็มจะมีความแข็งแกร่งทางด้านสื่อ มีดารามีศิลปินอยู่ในค่ายจำนวนมาก ส่วนหับฯ เป็นบริษัทที่ผลิตหนังจริงๆ เวลาที่ทำหนังแต่ละเรื่อง ทำด้วยความที่เป็นคนทำหนังจริง ๆ ส่วนของบริษัทไทฯ เราก็มีประสบการณ์ในการทำหนังค่อนข้างนาน และจะดูแลในส่วนของการตลาด”

การรวมตัวกันของทั้งสามบริษัทแม้จะทำให้บริษัทใหญ่ขึ้นก็จริง แต่มองในแง่ของรายได้ที่จะต้องหารสาม ทางเลือกของการทำเองรวยเอง จึงน่าจะเป็นเหตุผลที่น่าสนใจกว่า
“ถ้าเราทำคนเดียวเราก็ไม่เดือดร้อน แต่ว่ามันไม่โตกว่านี้ สำหรับไทผลิตหนังปีนึงก็ประมาณ 2 เรื่อง บางปีก็มีโดดเด่น บางปีก็เฉยๆ เราอยากจะขยายก็ทำไม่ได้เพราะศักยภาพจำกัดด้านเงินทุน การมาเมิร์สกันทำให้เราสามารถขยายได้อย่างใจที่ต้องการ และมันก็เป็นแบบก้าวกระโดดด้วย จากหนึ่งไปสาม จากสามโดดไปสิบได้เลย”

รายละเอียดในการรวมตัวครั้งนี้ คุณวิสูตรกล่าวว่าอยู่ในสัดส่วนที่น่าพอใจ แม้ว่าตัวเองจะถือหุ้นน้อยกว่าแกรมมี่ก็ตาม
“เราคุยเรื่องนี้กันประมาณ 3 เดือน แต่ในส่วนของรายละเอียดคุยกันประมาณ 6 เดือน ทุกอย่างอยู่บนพื้นฐานความแฟร์ ไม่มีใครเอาเปรียบใคร ทุกอย่างมีขั้น ถ้ามันเวิร์คก็เวิร์คด้วยกัน โดยจีเอ็มเอ็มถือหุ้น 51 ไทฯ 30 หับฯ 19”

“ตรงนี้เป็นจุดที่เราพอใจแล้ว 30 เปอร์เซ็นต์อาจจะน้อยกว่า แต่ถ้าเทียบกับการผลิตต่อปีก็ไม่น้อยเลยนะ ถ้าให้ไทฯ ได้ 100 เปอร์เซ็นต์แล้วทำหนังออกมาได้แค่ปีละเรื่อง มันก็แค่นั้น แต่ตรงนี้ต้นทุนมันมีกว่านั้น”

ที่ผ่านมาหนังของแกรมมี่ไม่ค่อยประสบความสำเร็จมาก ส่วนไทกับหับโห้หิ้นก็นานๆ จะมีทีเด็ดออกมาสักเรื่อง ต่างกับค่ายบิ๊กเบิ้มของวงการหนัง “สหมงคลฟิล์ม” ที่ผลิตมากี่เรื่อง ๆ ก็โดนตลอด ดังนั้นการมารวมกันทั้งสามบริษัทจึงเป็นที่น่าจับตาว่า อาจจะเป็นการรวมพลังเพื่อต่อกรกับสหมงคลฯที่ครองตลาดหนังไทยมาหลายปีแล้ว

“สหมงคลฯ เขาเป็นแบบนี้มา 2 ปีแล้ว เขาผลิตหนังออกมาเยอะและมีบริษัทในเครือป้อนมาอีกที ผมไม่ได้มองว่าการรวมตัวของพวกเราจะส่งผลอะไรต่อเขานะ แต่พวกเราตั้งใจต่อสู้กับภาพรวมของหนังไทย ซึ่งตอนนี้เราปฎิเสธไม่ได้เลยว่า ภาพหนังไทยเราของเราตอนนี้คนเข้ามาเยอะมากๆ คนทำหนังดีมันก็ดี แต่ถ้าใครทำไม่ดีก็จะทำให้เกิดความรู้สึกว่าหนังไทยมันขึ้นๆ ลงๆ ฉะนั้นตรงนี้เราไม่ได้เข้ามาเพื่อต่อสู้กับสหมงคล แต่ต่อสู้กับคนดูหนังไทย”

ส่วนแนวทางในการทำตลาดเพื่อที่จะได้กลับไปครองใจคอหนังอีกครั้งนั้น GTH ใช้สูตรเน้นหนังตลาดป้องกันการเจ็บตัว
“สองปีแรกเราจะทำหนังในแบบความพึงพอใจมวลชน ถามว่าตลาดไหมมันก็ตลาด จะทำให้ถูกใจคนเยอะๆ มันก็ทำหนังแนวนี้ โดยในสองปีแรกเราจะไม่ทำหนังทางเลือกหรือที่เรียกว่าหนังอินดี้ เนื่องจากเราต้องการความแข็งแรงให้บริษัทอยู่ได้ก่อน และถ้ามันเป็นไปตามแผน เราจะผลิตหนังอินดี้ในสัดส่วน 20 เปอร์เซ็นต์ แต่ถ้ายังไม่เข้าเป้าเราก็ต้องเลื่อนไปอีก”

“โดยในปีนี้เราตั้งใจว่าจะทำหนังออกมา 9 เรื่อง และตั้งเป้าไว้ที่ตัวเลข 400 ล้านบาท ถือว่าเป็นจุดที่อยู่ได้ ซึ่งถ้าดูจากสถิติที่ผ่านมาของทั้งสามบริษัท ตัวเลขเหล่านี้ค่อนข้างใกล้เคียง”

แม้ตอนนี้ผลงาน GTH จะยังไม่ออกฉาย แต่ด้วยความเป็นยักษ์ใหญ่มารวมกันก็ทำให้ผู้คนในวงการบันเทิง วิ่งมาเสนอโปรเจ็กต์หนังกันเพียบ
“ตอนนี้เรามีบทหนังอยู่ในมือ 40 – 50 เรื่อง ซึ่ง 9 เรื่องที่เลือกไปแล้วนี่อยู่ในล็อตแรก ถือว่ามีคนสนสนใจเข้ามาเสนอโปรเจ็กต์ค่อนข้างเยอะ ไม่แน่ใจว่าเนื้อหอมหรือเปล่า แต่ของใหม่มันน่าลองเป็นเรื่องปกติ แต่ก็มีบางคนนะที่บอกว่า พวกเราไม่ใช่ของใหม่เป็นแค่เหล้าเก่าเอามารวมกัน อย่างไรก็ตามผมว่า เหล้าที่ผสมให้ดี ๆ มันก็อร่อยได้เหมือนกัน”

สำบัดสำนวนใช่เล่น...
กำลังโหลดความคิดเห็น