Rainbow God เป่าคาถาสระอวยยย... จงมา!
Happy Pride Month VOL 2
เรื่อง นรวัชร์ พันธ์บุญเกิด
“Pride Month” เดือนแห่งความภาคภูมิใจของชาว LGBTQIAN+ การสลับเพศ มีอยู่ในวรรณคดีต่างๆ , เทวปกรณ์ , นิทานพื้นบ้าน เลือกเพศแล้ว อยากมูให้ปัง! เลือกตามจริตว่า ชอบเรื่องของเทพสายไหน องค์ไหน แล้วมูให้ตรงจริตที่เราชอบ ย้ำว่า ไม่จำเป็นต้องมูเทพที่ผู้ดูแลชาว LGBTQIAN+ อย่าง เจ้าแม่พหุชระ และ ทู่เอ๋อเสิ่น เทพกระต่าย ก็ได้ เพราะ ทุก “ศรัทธา” จะพาทุกคนไปสู่เป้าหมายของการร้องขอ บุคลิกทางเพศที่หลากหลาย ในเรื่องเล่าของคนหลายชาติ หลายภาษา ชวนสนุก ยังมีอีกมาก ขอยกมาเป็นน้ำจิ้มเท่านั้นเอง
‘พระอรรธนารีศวร’ ครึ่งชาย - ครึ่งหญิง ส่วนหนึ่งของกันและกัน
เหมือนจะเป็นรูปลักษณ์เพื่อสนับสนุน LGBTQIAN+ นิยามของความก้ำกึ่งนี้ เป็นรูป“ครึ่งหญิง-ครึ่งชาย” หรือ “ครึ่งบุรุษ-ครึ่งสตรี” เกิดมาตั้งแต่ยุคสร้างโลก ! เมื่อพระพรหม สร้างแต่มนุษย์ผู้ชายแต่ไม่เพียงพอ ไม่มีกำลังมากพอในการขยายเผ่าพันธุ์มนุษย์บนโลก สุดปัญญาจึงไปเข้าเฝ้า มหาเทพแห่งจักรวาลทรงทราบ ! จึงปรากฏกายในรูป “ครึ่งศิวะ- ครึ่งอุมา” เรียกปางนี้ว่า “พระอรรธนารีศวร” เพื่อให้พระพรหมได้จดจำรูปไปสร้าง “เพศหญิง” ให้เป็นกำลังสำคัญเสริมในการขยายเผ่าพันธุ์ เพราะชาย-หญิงเป็นส่วนหนึ่งของกันและกัน ที่จะทำให้เกิดชีวิตใหม่ๆ เป็นความอุดมสมบูรณ์ของครอบครัวและโลก ! เทวประติมาปางนี้ ในกรุงเทพฯ ตั้งอยู่ที่ตึกจัสมิน สุขุมวิท 23 (อโศก) ส่วนสายพระวิษณุก็มีปางครึ่งนารายณ์ - ลักษมี เรียก “พระไวกูณฐกมลาจ”
‘อรชุน’ ถูกสาปเป็นกะเทยชื่อ ‘พฤหันนลา’ !
ในมหากาพย์ “มหาภารตะ” (อายุราว 800-900 ปีก่อนคริสตกาล) - ท้าวปาณฑุต้องคำสาปของฤาษีที่แช่งให้เป็นหมัน ไม่สามารถมีลูกได้ และต้องตายมื่อเกิดอารมณ์ทางเพศกับเมีย ท้าวปาณฑุมีเมีย 2 คน เมียเอกชื่อ นางกุนตี รู้มนตร์ขอบุตรกับเทวดา ได้ลูก 3 คนจากเทวดา 3 องค์ , ส่วนเมียรองชื่อนางมาทรี มีลูกแฝดคู่หนึ่ง ทั้งหมด 5 คนพี่น้อง ตัวอรชุน ลูกคนที่ 3 เป็นลูก “พระอินทร์” เลื่องชื่อในเรื่องฝีมือการยิงธนูได้แม่นยำ
เมื่อพี่ชายคนโต “ยุธิษฐิระ” แพ้พนันสกา เหล่าพี่น้องต้องเดินป่าเป็นเวลา 14 ปี และในปีที่ 13 นางฟ้าชื่อ อุรวศี หลงรูปรักใคร่ในตัวอรชุนมาก โถ พ่อหล่อแบบตะโกนซะขนาดนี้ ! นางจึงโฉบพาอรชุนไปสวรรค์ชั้น 7 ลอบเข้าห้องหวังกินรวบตอนผู้ชายหลับ แต่อรชุนปฏิเสธนาง เพราะรู้ว่า มีพ่อคนเดียวกัน สาวสวย “อุรวศี” ขี้วีน เอาแต่ใจ เมื่อเจอผู้ชายเมินกี เทซึ่งหน้า ก็โมโหและสาปแช่ง ให้ “อรชุน” เป็นนังกอ มีนม ผมยาว ห่มสาหรี ระทมทุกข์เพราะผิดเพศจนวันตาย ! พระอินทร์เห็นว่า เกิดศึกสายเลือด จึงไปแก้เกม! คำสาปแช่งไปแล้ว แก้ไม่ได้ แต่ยักย้ายผ่อนปรนได้ โทษของการเมิน “กี” นางอุรวศีให้สิทธิ์ลดหย่อนแก่อรชุน เหลือแค่ปีเดียว!
ในปีที่ 14 ซึ่งเป็นปีสุดท้ายของการเนรเทศ พี่น้องทั้ง 5 ต้องแปลงเป็นคนอื่นที่ไม่มีผู้ใดจำได้ ! ฝ่ายอรชุน จึงเป็นฮิจรา (กะเทย) ชื่อ “นางพฤหันนลา” เป็นครูสอนดนตรีและการเต้นรำ ให้กับนางอุตตรา ลูกสาวของท้าววิราฎ จะเห็นว่า ฮิจรา นั้นเป็นเรื่องที่ถูกพูดถึงมานานแล้ว ตั้งแต่ยุคมหากาพย์ “มหาภารตะ” โน่น !
กะเทยมีฤทธิ์เพราะ ‘พระราม’ !
เกิดเป็นชายแต่แต่งกายเป็นหญิง เขียนคิ้ว ทาปาก ห่มส่าหรี คนอินเดียเรียก “ฮิจรา” (ฮิชระ) หรือ บ้านเรารู้จักและใช้คำนี้ที่ดูเหยียดว่า กะเทย ! แต่สมัยนี้ถือว่าเป็นคนข้ามเพศ เรียก Transgender สมัยก่อนจะเป็นฮิจราไม่ง่าย ต้องเสี่ยงทายกับพระเทวีเพื่อสับงู เฉือนจู๋ อย่าง “ขันที” จีน เจ็บปวด สยดสยอง ใช่ว่า ฮิจราทุกคนจะมีชีวิตรอดจากการเฉือนกล่องดวงใจ !
มหากาพย์ “รามายนะ” ซึ่งมีอายุราว 400 ปีก่อนคริสตกาล ฉบับอินเดียใต้ เล่าถึงตอนที่พระรามต้องเดินทางจากเมืองอโยธยาไปบำเพ็ญพรตในป่าเป็นเวลา 14 ปี เหล่าพสกนิกรมาส่งพระองค์ หลังออกนอกเมืองได้ระยะหนึ่ง องค์รามตรัสว่า “เหล่าชาย-หญิงทั้งหลายจงกลับเข้าไปในเมือง หาเลี้ยงชีพตามปกติเถิด” .... ผ่านเวลา 14 ปีจนเมื่อองค์รามกลับเมือง
บริเวณนอกเมืองอโยธยา ณ จุดเดิม กลายเป็นหมู่บ้านของชุมชนเล็กๆ คนกลุ่มนี้รอคอยการกลับมาขององค์ราม ! ถึง 14 ปี เพราะพระรามตรัสให้ชาย-หญิงกลับเข้าเมือง แต่พวกเธอคือ ฮิจรา “ไม่ใช่ชายและหญิง” ! จึงอยู่ตรงนั้น พระรามยกย่องความซื่อสัตย์ ยึดมั่นในคำตรัสของพระองค์ จึงอวยพรให้เหล่าฮิจรามี “วาจาสิทธิ์และเป็นจริงเสมอทั้งการให้พรและสาปแช่ง” !
เดิมที ชาวฮิจราในสังคมอินเดียโบราณเป็นแค่คนชายขอบ นอกวรรณะ ไม่ได้รับการยอมรับจากสังคม แต่แสงจากนารายณ์อวตารทำให้คนกลุ่มนี้ เริ่มมี “ตัวตนและศักดิ์ศรี” พอที่จะขยับมายืนในสังคม ในวาระต่อมา ! เธอเริ่มทำหน้าที่ “ให้พร” กับเด็กที่เกิดใหม่ ! หวังจะได้เงินทองตอบแทนเป็นสินน้ำใจ แต่พ่อแม่เด็กบางรายพูดว่า “ไม่” คำเดียว คำพรหลังๆก็กลายเป็นคำสาปแช่ง!
กะเทยน่ะ ไม่เชื่ออย่าลบหลู่ ! ฤทธิ์เยอะมาแต่โบราณแล้ว เชื่อกันว่า พวกเธอสามารถร่ายรำเพื่อขอพรและสาปแช่งคนอื่นได้ .... อ้าว ...เริ่ม !
ศิวะหลง ‘โมหินี’ นารายณ์แปลงรูปจนมีลูกชาย!
ในคราวกวนเกษียรสมุทรได้บังเกิดของวิเศษ 14 อย่าง ลำดับที่ 13-14 คือ ธันวันตริ นายแพทย์ของเหล่าเทวดา ที่ผุดขึ้นจากทะเลน้ำนมพร้อมทูนหม้อน้ำอมฤต ช่วงนี้ อสูรและเทวดาชุลมุนกันมาก ต่างหมายปองความเป็นอมตะจากการได้ดื่มน้ำอมฤต ! พระนารายณ์เห็นท่าไม่ได้การ ต้องหยุดความวุ่นวาย และให้ฝ่ายเทวดาได้ประโยชน์สูงสุด จึงอวตารเป็นร่างหญิงแพศยา ชื่อ “นางโมหินี” มีจริตยั่วยวน ให้ผู้อยู่ใกล้คลั่งไคล้ ราหูที่ซ่อนตัวในก้อนเมฆรู้กลฝ่ายเทวดา จึงแปลงกายเป็นเทวดาไปนั่งรวมอยู่ในกลุ่ม ครั้งนางโมหินีแบ่งน้ำอมฤต ราหูก็รีบดื่ม ฝ่ายพระอาทิตย์กับพระจันทร์ก็ตะโกนว่า “เจ้านั่นเป็นอสูรแปลง ไม่ใช่เทวดา!” นางโมหินีจึงกลับร่างเดิมเป็นพระนารายณ์ ใช้จักรสุทรรศน์ ตัดหัวอสูร แต่พระราหูดื่มน้ำอมฤตไปแล้ว จึงมีชีวิตเป็นอมตะ ไม่ตาย ! ท่อนหัวเรียกราหู ท่อนหางเรียกเกตุ พระศิวะมีเทวโองการ ให้ราหูสามารถอมพระอาทิตย์และพระจันทร์เพื่อแก้แค้นตามกาลที่เหมาะสม จึงเป็นที่มาของ “สุริยุปราคา – จันทรุปราคา” ที่เรารู้จักกัน
ผ่านพิธีกวนเกษียณสมุทรไปแล้ว พระศิวะก็กินไม่ได้นอนไม่หลับ ไม่สนใจทำการบ้านกับพระอุมา เอาแต่มัวเมาหลงรูปนางโมหินี ! ว่ากันว่า นี่คือ นิทานที่สร้างขึ้นเพื่อข่ม “นิกายศักติ” (ผู้หญิงเป็นใหญ่) ให้มหาเทพชายทั้ง 2 พระองค์ได้เสียเป็นเมียผัว ! สร้างเรื่องมารองรับว่า ลูกชายของมหาเทพทั้งสองจะทำหน้าที่พิทักษ์โลก ด้วยการฆ่าอสูรควายตัวเมีย! สืบเนื่องจาก “พระทุรคาเทวี” ได้สังหาร “มหิงสาสูร” อสูรควายไปแล้ว นางมหิงสี อสูรควายตัวเมียผู้เป็นน้องสาวได้บำเพ็ญตบะถึงพระพรหม ขอพร “ให้ตายด้วยลูกของพระศิวะและพระนารายณ์” มหาบุรุษจะสมสู่กันจนติดลูกได้ยังไง ยังไง ชีวิตนางอสูรไม่ตุยแน่นอน !
ต่อมา พระนารายณ์ ต้องอวตารเป็นนางโมหินีอีกครั้ง เพื่อแก้กำหนัดให้มหาเทพ ! ให้น้ำเชื้อพระศิวะแล่นทะลุทะลวงเป้าหมายจนติดลูกชายสมใจ ซึ่งเป็นเทพท้องถิ่น ชื่อ “อัยยัปปัน” ผู้สังหารอสูรมหิงสี เสร็จกิจก็ถือพรหมจรรย์ตลอดชีวิต
ความสัมพันธ์ของบุรุษเทพคู่นี้ ส่วนใหญ่มักสร้างรูป”ชายคู่” แบ่งครึ่งพระศิวะและพระนารายณ์ มีชื่อเรียกเป็นทางการว่า “พระหริหระ” แสดงความปรองดอง และสามัคคีของเทพฝ่ายชาย นิยมบูชาในหมู่นักธุรกิจ ชาว LGBTQIAN+ แนวเกย์ ชายรักชายควรรู้จักหรือจะนับถือก็ย่อมได้ ! แต่ไม่ได้เป็นเทพอุปถัมภ์โดยตรงนะ
‘วินายกีเทวี’ พลังสตรีในพระคเณศ!
“ในชายมีหญิง ในหญิงมีชาย” พระคเณศ เทพเจ้าผู้ขจัดอุปสรรค หลายคนคุ้นเคยกับรูปร่างหน้าตาอยู่แล้ว , ปางสตรีนี้ได้รับกำลังและประทานพรจากพระแม่ทั้งสาม คือ พระแม่ศักติ, พระลักษมี, พระสุรัสวดี ดังนั้น พระคเณศ ตุ้ยนุ้ยฝ่ายชายจึงมีรูปที่เปลี่ยนไป พระพักตร์เป็นช้าง มีหน้าอกอย่างหญิง อกใหญ่ เอวเล็ก ปางสตรีนี้มีชื่ออื่นๆว่า พระวินายกี , วิฆเณศวรี, คเณศวรี มีคุณสมบัติเรื่อง ขอความรัก ขอลูก ขอความร่ำรวยและสติปัญญา
เจ้าแม่พหุชระ เทวีอุปถัมภ์ LGBTQIAN+ ของแทร่!
“ความเชื่อ” เป็นเรื่องเฉพาะส่วนบุคคล จริตของแต่ละคนไม่เหมือนกัน ซึ่งอาจจะนับถือ บูชา “เทพ-เทวี” ในลักษณะใดก็ได้ เพราะแต่ละคนย่อมมีเหตุผลต่างกัน แต่ “พระพหุชระ” ได้รับการประทับตรา ยืนยันว่า เทวีคือ ผู้ดูแลชาว LGBTQIAN+
พระพหุชระเป็นเทวีท้องถิ่นทางอินเดียใต้ ถูกอ้างอิงให้เป็นปางหนึ่งของพระอุมา แห่งนิกายศักติ (นับถือสตรีเป็นใหญ่) ผู้ที่มีความรักและรสนิยมทางเพศที่ไม่ได้เป็นไปตามครรลองของสังคมปกติ จะนับถือพระแม่อุมาเป็นส่วนใหญ่ ไม่เชื่อดูงานแห่พระแม่ศรีอุมาเทวีแล้วกัน ... บริวาร LGBTQIAN+ เพียบ! ปีนี้ แห่องค์พระแม่ วันเสาร์ทื่ 12 ตุลาคม นะจ๊ะ
เล่าว่า พระอุมา เทวีผู้เข้าใจในมนุษย์ เห็นว่า เพศภาวะของมนุษย์นั้นมีความหลากหลาย ไม่ได้มีแค่คู่รัก ชายจริง หญิงแท้เท่านั้น แต่ยังมี “ชาย-ชาย , หญิง-หญิง” และแตกแยกย่อยอื่นๆอีกมากมาย เพราะ ทุกคนมีเพศภาวะ และวิถีที่แตกต่างกันไป “ทุกคนต้องเลือกเพศเอง”! แต่ด้วยพระเมตตา จึงแบ่งภาคมาเกิดเป็น “เทวีพหุชระ” ในรูปสตรีประทับบน ไก่แจ้ จะมี 4 หรือ 8 กรก็ได้ ถือของวิเศษและอาวุธต่างๆ เช่น ตรีศูล , ดาบ , คัมภีร์ , ดอกบัว, ระฆัง บางทีมือหนึ่งนิยมในท่าประทานพร ข้างกายของพระเทวี มีบริวาร ชาย-หญิง ทั้งคู่รักในเพศเดียวกัน พระแม่จะให้การอุปถัมภ์ คุ้มครอง และเป็นกำลังใจให้กับผู้หลากหลายทางเพศเป็นพิเศษ
เจ้าแม่พหุชระ เล่ากันหลายตำนาน เช่น พระอุมา เห็นชาวฮิจรา ถูกกีดกันออกจากสังคม จึงเกิดความสงสาร หลั่งน้ำตาออกมาเป็น “พระเทวีพหุชระ” เพื่อทำหน้าที่ช่วยเหลือคนกลุ่มนี้
ตำนานหนึ่งว่า ราชาพระองค์หนึ่งไม่มีลูกจึงไปกราบไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์เพื่อขอลูก จนมีลูกชายนามว่า “เจ้าชายเจโธ” แต่พ่อไม่รู้ว่า ลูกคนนี้เสื่อมสมรรถภาพทางเพศตั้งแต่เด็ก เจอหญิงแท้แล้วจู๋ไม่แข็ง จนเข้าสู่วัยหนุ่ม พ่อบีบบังคับให้แต่งงานกับหญิงนางหนึ่งชื่อ “พหุชระ” หลังแต่งงานเจ้าชายไม่ได้ประกอบกามกิจกับเมียเลย กลับควบม้าเข้าไปในป่าทุกคืน กว่าจะกลับตำหนักก็รุ่งสาง นานวันเข้า เมียก็สงสัย คืนหนึ่งจึงแอบตามไป พบว่า เจโธ เมื่อไปถึงกลางป่าก็ถอดชุดเจ้าชายออก เปลี่ยนเป็นห่มส่าหรี เดินบิดกายอย่างอิสตรี ที่แท้ เจโธ มาเสพสุขกับชายกลัดมันในป่าลึก ! เรื่อง Out Door สุข สนุก กลางแจ้งมีมานาน คนแต่งช่างเข้าใจมุมที่ใช่จริงๆ !
นางเรียกเจโธมาถามความจริง เพราะอยากรู้ว่า ทำไมถึงไม่ให้เกียรติคนที่เป็นเมีย ปล่อยให้นอนตบยุงอยู่ที่ตำหนักทุกคืน เจ้าชายเจโธยอมรับผิด บอกว่า เป็นคนเสื่อมสมรรถภาพทางเพศ แต่งงานเพราะถูกพ่อบีบบังคับ แล้วก้มกราบขอให้นางยกโทษ นางได้ยินเรื่องราวก็เห็นใจสามี จึงยกโทษให้...
เมื่อพระอุมาทราบเรื่อง ซาบซึ้งในผัว-เมียคู่นี้ แต่งตั้งให้ “นางพหุชระ” เป็นส่วนหนึ่งของพระองค์ ให้ดูแลคนไร้สมรรถภาพทางเพศโดยตรง ! ส่วนสามีที่ยอมศิโรราบ นางพหุชระแต่งตั้งให้เป็นบริวารเพื่อติดตามและช่วยเหลือชาว LGBTQIAN+ ซึ่งก็คือ “ไก่” สัตว์พาหนะที่พระนางประทับ นั่นเอง !
อีกตำนาน ว่า เจ้าแม่พหุชระ มาเข้าฝันเจโธ บอกให้ “เฉือนจู๋ แต่งหญิง มาเป็นคนรับใช้และบูชานาง” ! ถ้าไม่ทำตาม ก็จะต้องเสื่อมสมรรถภาพและเป็นฮิจราอีก 7 ชาติ !
อีกหนึ่งตำนานว่า นางพหุชระเกิดในวรรณะสูง แต่ถูกโจรร้ายฉุดหมายจะข่มขืน นางใจเด็ด ไม่ยอมให้พรหมจรรย์ต้องเปรอะเปื้อน จึงคว้ามีดมาเฉือนที่เต้านมตัวเอง และสาปแช่งโจร “นับจากวินาทีนี้ ไอ้โจรใจบาป จงห่มส่าหรี ใช้ชีวิตอย่างสตรี” นับจากนั้น โจรร้ายผู้นี้ก็ต้องเปลี่ยนจากเพศบุรุษเป็นฮิจราไปตลอดกาล” !
เชื่อกันว่า ชาว LGBTQIAN+ ที่บูชาและเชื่อมั่นในพระเทวี จะได้รับพรให้มีตัวตน ไม่ถูกกีดกันให้เป็นคนนอกวรรณะ ได้รับการยอมรับและมีที่ยืนในสังคม !
จากอินเดียข้ามฟากไปฝ่ายจีนกันบ้าง
นรกประทานพร “ทู่เอ๋อเสิ่น เทพกระต่าย” ชายรักชายของจีน!
คำสอนแบบจารีตของขงจื้อหยั่งรากคู่กับคนจีนมานาน เชื่อกันว่า “ชายรักชาย” ขัดต่อศีลธรรมอันดี เป็นพวกนอกรีต และทำลายชีวิตลูกชายของครอบครัว เล่าว่า เมื่อปี ค.ศ. 1765 หรือราว 2 ร้อยกว่าปีก่อน “ศาลเจ้าทู่เอ๋อเสิ่น” เทพเจ้ากระต่ายซึ่งอุปถัมภ์ความรักแบบ “ชายรักชาย” แห่งเดียวในมณฑลฝูเจี้ยน (ฮกเกี้ยน) สาธารณรัฐประชาชนจีน ได้ถูกทำลายลง และต่อมา จีนแผ่นดินใหญ่ได้ปกครองในระบอบสาธารณรัฐ เท่ากับ“เทพกระต่าย ทู่เอ๋อสิน” และความรักแบบชายรักชายถูกปิดตาย แต่ความหลากหลายทางเพศในไต้หวันกลับได้รับการยอมรับมากกกว่า “ศาลเจ้าทู่เอ๋อเสิ่น” มีอยู่ที่นั่น ในไทย เท่าที่ทราบ “มูลนิธิเต๋าธรรมมะสยาม” นครปฐม ได้ตั้งแท่นบูชาไว้ และสอนไหว้อีกต่างหาก !
วรรณกรรมที่เกี่ยวข้องกับเรื่องลึกลับของเหล่าเทพ เทวดา ปีศาจ ทั้งหลาย ชื่อ “ จื่อ ปู้ อวี่” ได้กล่าวถึงที่มาของ “ทู่เอ๋อเสิ่น” หรือ เทพกระต่าย !
เล่าว่ามีขุนนางหน้าตาดีคนหนึ่ง ถูกส่งตัวมารับราชการที่ฝูเจี้ยนเพื่อกินตำแหน่งผู้ตรวจการแผ่นดิน แล้วบังเอิญว่า หนุ่มชาวบ้าน ชื่อ “หูเทียนเป่า” มาทำหน้าที่เด็กรับใช้ ! เมื่อ หูเทียนเป่า เห็นหน้าไอ้ต้าวหนุ่มขุนนางนะหน้าทองผู้นี้ ก็หลงใหล ใจฟู ทันที อยากเห็นหน้าทุกวินาที ทำงานอย่างเอาเป็นเอาตาย ขอให้ได้ตามติดไปสูดกลิ่นขุนนางหนุ่มเท่านั้นเป็นพอ แต่อีนี่มันแน่ ! ลอบตามไปถ้ำมองขุนนางหนุ่มแก้ผ้าอาบน้ำซะด้วย แหม ! นิทานนี่เขียนถึงจริงๆ หงเทียนเป่า ถูกจับได้! เพราะผู้ตรวจการคิดว่า มีคนส่งเจ้าหมอนี่มาสอดแนม คุกคามชีวิต เมื่อจับแล้วก็ให้สารภาพ ... ความจริงที่ทำให้ผู้ตรวจการอับอายยิ่งกว่า คือ นางรำพึงรำพันถึงชายที่เขาหลงรัก แล้วไอ้หล่อก็ไม่เมตตาปรานีสั่งโบยจนตาย ! ชีวิตเศร้าชาวเกย์จริงๆ
เมื่อวิญญาณหนุ่มผู้นี้ลงไปในยมโลก สารภาพความผิด ! ยมบาลเห็นว่า เป็นเรื่องปกติสำหรับคนย่อมแตกต่างกันไป ไม่มีทางที่คนจะเหมือนกันหมด แม้ในเรื่องเพศรส ความรัก-ความใคร่ การที่หูเทียนเป่ามองชายรูปงามไม่ได้เป็นความผิดอาญาในยมโลก ดังนั้น “นรกประทานพร” ยมราชผู้ทรงความยุติธรรมจึงแต่งตั้งให้ “วิญญาณหูเทียนเป่า” เป็น “เทพกระต่าย” เพื่อดูแล “ชายรักชาย” ในโลก !
หูเทียนเป่า ผู้อาภัพรักในโลกมนุษย์จึงมาเข้าฝันเพื่อนสนิท บอกเล่าเรื่องราวในยมโลก และกำชับว่า ช่วยตั้งศาลเจ้า “เทพทู่เอ๋อเสิ่น” มีรูปสัญลักษณ์ให้เป็น “เทพกระต่าย” เพื่อให้ “ชายรักชาย” และคนทั่วไปได้สักการะบูชา เพื่อให้ ชาว LGBTQIAN+ เป็นที่ยอมรับในสังคม ไม่ถูกรังเกียจอีกต่อไป
“รูปที่เพศหลากหลาย” ยังพบเห็นได้จากเทพอื่นๆ อีกหลายองค์ของจีน
กวนอิม จาก ‘มหาบุรุษ’ เป็น ‘สตรี’ ตลอดกาล!
“กวนอิมโพธิสัตว์ – เจ้าแม่กวนอิม” ได้รับการยอมรับทั่วโลก มีภารกิจยิ่งใหญ่เพื่อปลดทุกข์ให้สัตว์โลก เปลี่ยนรูปจากชายเป็นหญิง และนิรมาณกายอื่นๆอีกมากมาย เป็นกุศโลบายผ่านรูปของความหลากหลาย
พระประติมาของ “กวนอิมเนี้ย” ไม่นิยม “ปั้นถัน” ให้นูนเด่นอย่างผู้หญิง ! หน้าอกที่แบนราบเป็นอย่างเดียวที่คงความเป็นชายบนเรือนร่างและเสื้อผ้าอย่างอ่อนช้อยและกรุยกรายอย่างสตรี หลังรวมเข้ากับ “เมี่ยวซ่าน” นิทานพื้นบ้าน ! เพราะรูปลักษณ์ของสตรี มีความอ่อนโยนและเมตตา ปรานี มากกว่าบุรุษ และนิทานพื้นบ้าน เรื่องเมี่ยวซ่านได้เสริมให้พระโพธิสัตว์ดูเป็นหญิงได้อย่างแนบเนียนและสมบูรณ์ที่สุด
คนส่วนใหญ่นิยมเรียก “เจ้าแม่กวนอิม” มากกว่าชื่ออื่น
พุทธศาสนาฝ่ายมหายานของอินเดีย “พระอวโลกิเตศวรโพธิสัตว์” เป็นเอกอุให้การขจัด- บำบัดทุกข์ และภัยต่างๆแบบ “ครอบจักรวาล” ด้วยการนิรมาณกายในหลายรูป // “อวโล (= ตรวจดู/ตรับฟัง) + กิต (=บำบัด) + อิศวร (= ผู้เป็นใหญ่)” รวมความแล้วคือ ผู้ตรวจเสียงร้องทุกข์ของชาวโลก
คนจีน เรียก “กวนอิม (กวงซีอิม) ผ่อสัก” คือ กวนอิมโพธิสัตว์ // กวง (มอง/พิจารณา)+ ซี (สังคม) + อิม (กระแสเสียง) หมายถึง ผู้เพ่งเสียงของโลก
บทสวดมนต์ “มหาธารณีสูตร” (ไต่ปุยจิ่ว) สรรเสริญนิรมาณกาย 84 ปางของพระโพธิสัตว์กวนอิม
เชื่อกันว่า ที่ประทับของพระองค์คือ เกาะกลางทะเลทิศใต้ของอินเดีย คือ ภูเขาโปตละ นิทานเสริมว่า พระสงฆ์ญี่ปุ่นท่านหนึ่งมาจาริกธรรมที่เมืองจีนเพื่อศึกษาพระธรรม ตอนกลับได้นำพระอวโลกิเตศวรไปด้วย กลางทะเลเจอมรสุม จนต้องขึ้นไปพักบนเกาะบ้วนงิ้ม ไปต่อไม่ได้ คิดว่า พระกวนอิมไม่ยอมไป ! จึงสร้างอาศรม ประดิษฐานพระโพธิสัตว์ไว้บูชา ผู้คนมาสักการะกันมาก เกาะนี้ ภายหลังเปลี่ยนชื่อเป็น “โปตละ” คนจีนเรียก “โพท้อซัว” (ผู่กัวซาน) ปัจจุบัน โพท้อซัว คือแหล่งท่องเที่ยวของจีน แต่นักวิชาการชาวญี่ปุ่น ชู ฮิโกซากะ (Shu Hikosaka) ได้เสนอว่า เขาโปตาลกะตามที่อธิบายไว้ใน คัณฑวยูหสูตร และ บันทึกราชวงศ์ถังอันยิ่งใหญ่ว่าด้วยภูมิภาคทางตะวันตก ของ สวนจ้าง ในโลกความเป็นจริงน่าจะเป็นเขาโปติยัมทางใต้ของประเทศอินเดีย
ทางทิเบต ว่า นิรมาณกายมากถึง 33 ปาง และปางสำคัญอีก 6 ปาง “นางตารา” ของทิเบต มีนิทานเล่าว่า พระอวโลกิเตศวร เห็นความทุกข์ของชาวโลกมากมายเหลือคณานับ จึงหลั่งน้ำตาออกมาหยดหนึ่ง เป็น “นางตารา” เพื่อช่วยเหลือภารกิจของพระองค์ !
ในคัมภีร์สัทธรรมปุณฑริก พูดถึง พระพุทธเจ้า ทรงไขข้อข้องใจของ พระอักษยมติโพธิสัตว์ ความตอนหนึ่งว่า “ดูก่อนอักษยมติ ! พระอวโลกิเตศวรทรงคุณธรรมให้สำเร็จสมบูรณ์ ด้วยประการเช่นนี้ ทรงแบ่งภาคออก เป็นลักษณะต่างๆ ท่องเที่ยวโปรดสัตว์ในโลกธาตุทั้งหลาย ฉะนั้น จึงเป็นการสมควรที่พวกเธอทั้งหลายจักมี เอกจิตบูชาสักการะ พระอวโลกิเตศวรโพธิสัตว์ ฯลฯ...”
การนิรมาณกายจากมหาบุรุษเป็นสตรีในประเทศจีน ถูกสนับสนุนโดยนิทานพื้นบ้าน เรื่อง “เมี่ยวซ่าน” ต่อมาเป็นหนังของชอว์ บราเดอร์ส เมื่อปี 1967 (2510) ชื่อ “กำเนิดเจ้าแม่กวนอิม” (The Goddess of Mercy) แสดงโดย ลีลี่โห , ต่อมาในปี 2528 ทีวีบี ทำเป็นภาพยนตร์โทรทัศน์ระดับมาสเตอร์พีช ชื่อ “กำเนิดเจ้าแม่กวนอิม” (Reincarnated Princess 1985) รับบทโดยจ้าวหย่าจือ และแพร่ภาพทางช่อง 3 มาแล้ว
‘หน่าไฉฮั้ว’ ผู้ชายอะไร๊? หิ้วตะกร้าดอกไม้
“หน่าไฉฮั้ว” (หลันไฉ่เหอ) เซียนลำดับที่ 5 ในกลุ่ม “โป้ยเซียน” บางคนว่า เป็นชาย! แต่ยังมีคนอีกจำนวนมากที่ตั้งข้อสังเกตว่า เซียนผู้นี้น่าจะเป็นผู้หลากหลายทางเพศมากว่า การสร้างภาพยนตร์โทรทัศน์หลายๆครั้งก็นิยมเอา “ผู้หญิง” มาเล่นบทนี้
เซียนหนุ่มผู้นี้ เป็น วณิพกหน้าอ่อน! มัดผูกผมจุกสองข้าง เดินเท้าเปล่าข้างหนึ่ง อีกข้างเดินลากรองเท้าเก่าโทรม หน้าหนาวจะสวมเสื้อผ้าขาดรุ่งริ่ง หน้าร้อนสวมเสื้อหนา ถือตะกร้าใส่ดอกไม้ มือถือกรับ ขับร้องเพลงแฝงปรัชญา ได้เงินจากการบริจาคก็เอาไปซื้อเหล้ามาดื่ม บางทีก็เอาเงินเหล่านั้นแจกให้กับคนยากคนจน บางทีก็เอาเหรียญร้อยเชือก เงินตกเรี่ยราดตามทาง โดยไม่สนใจ
วันที่สำเร็จเซียน นั่งดื่มในร้านเหล้า เกิดเสียงดนตรีในอากาศ ผู้คนวิ่งจากทุกสารทิศมากลางแจ้งเพื่อดูความแปลกมหัศจรรย์นี้ วณิพกน้อยก็เหมือนคนอื่นวิ่งออกจากร้านเหล้า สนุกสนาน กระโดดโลดเต้น โยนกรับขึ้นไปบนอากาศ พลันกลายเป็นนกกระเรียน บินโฉบลงมารับ นางบอกให้สลัดขน 108 เส้น เสกเป็นแหวน กำไล ทิ้งให้ประชาชนป้องกันอันตราย แล้วนกกระเรียนก็บินตามเซียนทิกวยลี้เข้ากลีบเมฆ ! ในร้านเหล้า เห็นแต่กองเสื้อขาดและรองเท้าข้างเดียววางอยู่ แล้วจู่ๆ ของทั้งหมดก็กลายเป็นหยกและหายไป นางเป็นเซียนที่ไม่ยอมแก่เฒ่า ชอบเรื่องสนุกสนานเป็นที่สุด
บุคลิกของน้าไช่ฮั้ว ให้คนอ่านนิทานได้ตีความกันเองว่า ตัวตนและเพศสภาพของเซียนองค์นี้เป็นอย่างไร! วณิพกน้อยคนนี้เป็นสัญลักษณ์ของความอุดมสมบูรณ์ ป้องกันและรักษาโรคภัยไข้เจ็บ ผู้ที่มีอาชีพที่เกี่ยวกับดอกไม้ บูชาไว้ดีนักแล เขาว่าอย่างนั้น !
ไหนๆ ขอตำนานกรีก-โรมันซึ่งมีเรื่องสนุกๆ ยกตัวอย่าง 3 เรื่อง ก่อนปิดท้าย
‘Hermaphroditus’ (เฮอร์มาโฟรไดทัส) Intersex
ขอเริ่มต้นที่ “เฮอร์มาโฟรไดตัส” (Hermaphroditus) ผู้ชายที่มีสองเพศอยู่ในคนเดียวกัน ! เขาเป็นลูกชายของเฮอร์มีส (Hemes) กับอไฟไดที (Aphrodite) หลังคลอดถูกนำไปให้เหล่านางไม้ ที่ภูเขาไอด้า เกาะครีทส์ช่วยดูแล ผ่านเวลา15 ปี โตเป็นหนุ่มหน้าตาดี สาวไหนเห็นเป็นต้องหลงรัก!
วันหนึ่ง หนุ่มละอ่อนออกเดินทางท่องเที่ยวมาถึงบึงน้ำแห่งหนึ่งที่มีพรายน้ำอาศัยอยู่ นางพรายชื่อ “ซัลมาชิส” เห็นหน้าก็ตกหลุมรักอยากได้มาทำผัว! จึงจู่โจมวิ่งไปสารภาพรัก ฝ่ายชายตกใจและปฏิเสธ เมื่อพรายน้ำหนีไป... หนุ่มน้อยวัย 15 จึงเปลื้องผ้าอาบน้ำ นางพรายน้ำที่แอบซ่อนตัวอยู่ใกล้ๆแถวนั้น ก็วิ่งลงน้ำเข้าประกบทันที ยังไงนางก็ไม่ยอม แถมอ้อนวอนให้เหล่าเทวดามาช่วยให้นางสมหวัง ให้เธอกับเขาเป็นหนึ่งเดียวกัน ! แรงปรารถนาอันรุนแรงนี้ ทำให้ “เฮอร์มาโฟรไดทัสกับนางซัลมาซิส” ต้องหลอมรวมเป็นร่างเดียวกัน เป็นผู้ชายมี “จู๋” แต่มีรูปร่าง หน้าอก แขน ขา ขาวเนียนอย่างผู้หญิง
ทางชีววิทยา มีคำว่า “Hermaphrodite” มาจากชื่อของ “Hermaphroditus” ซึ่งหมายถึง “กะเทย” อันได้แก่ คน พืช และสัตว์บางชนิดที่มีอวัยวะสืบพันธุ์ทั้ง 2 เพศในคนๆเดียว จัดเป็น “Intersex” ในปัจจุบัน
‘Teiresias’ (เธเรเซียส) Transgender !
‘เธเรเซียส’ เป็นเรื่องราวของ Transgender (คนข้ามเพศ) ที่เพศภาวะไม่สัมพันธ์กับเพศสภาพ ! ‘เธเรเซียส’ มีชื่อเสียงในการพยากรณ์ ทำนายทายทัก พ่อเป็นคนเลี้ยงแกะ แม่เป็นนางพราย เขาเป็นผู้พยากรณ์ของเทพอพอลโล สมัยเป็นหนุ่ม เพศชายครบ 32 เดินทางเข้าป่าแถบภูเขาชิลีน เห็นงูคู่หนึ่งกำลังปี้กันนัวเนีย เห็นแล้วไม่สบอารมณ์ จึงเอาไม้ทุบตีจนงูผัวเมียสู่ขิต ‘เทพีฮีรา’ ซึ่งดูแลการสมรสทนไม่ได้ เลยสาปจากชายให้กลายเป็นหญิงอยู่ 7 ปี ระหว่าง 7 ปีต้องทำหน้าที่สาวกในวิหาร จนเริ่มคุ้นเคยกับเพศที่เปลี่ยนไป จึงแต่งงานมีผัว มีลูก ! จนวันหนึ่งได้มีโอกาสกลับไปที่เขาชิลีนอีกครั้ง และพบงูกำลังสังวาสกันอยู่ ดูหนนี้เพลินตา ใจฟูกับธรรมชาติของสัตว์โลก เทวีฮีราเห็นว่า นางเปลี่ยนไป จึงแก้คำสาป คืนเพศชายแท้ให้กับนาง , อีกคราวหนึ่ง เทพีสติปัญญา ‘อาเธนา’ สรงน้ำอยู่ บังเอิญเขาเข้าไปในบริเวณนั้น จึงโดนสาปให้ตาบอด ! แม่ของเขารีบของโทษพระเทวี สาปไปแล้วแก้ไม่ได้ แต่ให้พรสวรรค์ว่า ให้เป็นผู้สามารถดูอดีต ทายอนาคต รู้แจ้งในสามโลก หยั่งรู้แม้ชีวิตหลังความตาย! และให้ไม้เท้าวิเศษไว้นำทาง จะไปไหนก็ได้ ทุกคนมักจะให้เขาทำนายเรื่องโน้นเรื่องนี้ แม้เมื่อเขาตายไปอยู่ในยมโลก คนก็ยังอุตส่าห์ดั้นด้นไปหา
‘นาร์ซิสซัส’ (Narcissus) ผู้หลงรักตัวเอง !
นายพรานหนุ่ม หน้าหล่อ รูปงาม นิสัยหยิ่งทะนง ชื่อ ‘นาร์ซิสซัส’ เป็นลูกของเทพแม่น้ำกับนางไม้ เมื่อเกิดผู้เป็นแม่ไปขอคำทำนายชีวิตของลูกจาก ‘เธเรเซียส’ นักพยากรณ์ว่า “ไอ้เด็กคนนี้ ชีวิตดี๊ดีตั้งแต่แรกเกิด เจริญวัยจะรูปงามเป็นหนึ่งในหล้า ตราบเท่าที่ยังไม่รู้จักตัวเอง!” ... ผ่านเวลาจนเติบโตเป็นพรานหนุ่ม จนมาเจอกับนางไม้ชื่อ “เอคโค” (Echo) นางผู้นี้ถูก ‘เทพีฮีรา’ สาปให้ไม่สามารถพูดเป็นประโยคได้ พูดได้แต่คำสุดท้ายของประโยคที่ได้ยินเท่านั้น ทั้งสองเจอกันแทนที่จะได้จีบให้สมรัก แต่พรานหนุ่มก็รำคาญที่นางพูดย้ำแต่คำสุดท้ายในประโยคของเขาเท่านั้น จึงไล่นางไปในพ้น นางใจสลายหนีไปร้องไห้ในถ้ำและตรอมใจตาย ร่างเป็นฝุ่นผง มีแต่เสียงสะท้อนในถ้ำเท่านั้น ที่ยืนยันว่า นางยังอยู่ !
วันหนึ่งพรานป่านาร์ซิสซัส หิวน้ำ จึงก้มหน้าลงหมายจะวักน้ำในลำธารมากินแก้กระหาย แต่กลับได้สบตากับชายหนุ่มรูปงามผู้หนึ่งที่อยู่ในน้ำนั้น พรานหนุ่มได้แต่ตะลึง โลกหยุดเคลื่อนไหว เมื่อเขาเอามือจะไปสัมผัสกับใบหน้าเนียนของชายผู้นั้น กลับไม่มีผลตอบรับใดๆ นาร์ซิสซัสได้แต่หลงรักเงาตัวเอง ไม่ยอมลุกไปไหน เพราะเกรงว่า ชายผู้นั้นจะหายไป! เขาอยู่ในท่านั้นจนตัวตาย กลายเป็น ‘ดอกนาร์ซิสซัส’ ที่ชอบขึ้นตามแอ่งน้ำ
จากตัวละครนี้ เป็นที่มาที่วงการแพทย์เรียก “อาการหลงตัวเอง” ว่า นาซิซีติส (Narcisistic) หรือ นาร์ซิสซัสซินโดรม (Narcissus Syndrome) ปมจากบุคลิกตัวละครที่นำมาใช้และวิเคราะห์นิสัยยังมีอีก เช่น ปมอิดิปุส (Oedipus Complex) จิตวิเคราะห์ถึงปมที่ลูกชายหวงแม่, ผู้ชายที่รักหญิงอายุมากกว่า (ตามเนื้อเรื่อง อิดิปุสคือ ฆ่าพ่อเอาแม่ทำเมีย) หรือ นักรักที่แวดล้อมด้วยสาวๆ อย่าง “ดอนฮวน” ลึกลงไป อาจจะตีความไปถึง “ผู้ที่ไม่มั่นใจในความเป็นชายของตัวเอง” ก็ได้ !? ของไทยเราไม่มี “เทวดา” แต่ถ้าได้อ่านวรรณคดี จะมีเรื่องแทรกอยู่ในนั้น อย่างอิเหนา หรือแม้แต่ พระอภัยมณี ! สัตว์วิเศษ อย่าง “ม้านิลมังกร” ก็เป็นกะเทย ที่สุนทรภู่ว่าไว้ในบทกลอน!
สัปดาห์หน้า จบเรื่องสุดท้ายสำหรับ Happy Pride Month 2024
LGBTQIAN+ หมายถึง
L = lesbian (เพศหญิงที่สนใจเพศหญิง)
G = Gay (เพศชายที่สนใจชายด้วยกัน)
B = Bisexual (ชอบมากกว่าหนึ่งเพศ)
T = Transgender (ข้ามเพศ)
Q = Queer (ไม่จำกัดว่าต้องรักกับเพศใด)
I = Inter Sex (ไม่เป็นชาย-หญิงที่ชัดเจน)
A = Asexual (ไม่มีแรงดึงดูดทางเพศกับเพศอื่น)
N = Non Binary (ไม่คิดว่าเป็นชายหรือหญิง)
+ = Plus (ฯลฯ – เผื่อไว้ต้องมีอีกแน่)
ล่าสุด ในปีนี้ + ได้ขยายเพิ่มความหลากหลายเป็น “LGBTQQIP2SAA” แล้ว
บันทึกเพิ่มเติมว่า วันนี้ อังคารที่ 18 มิถุนายน 2567 เมืองไทยผ่านกฎหมายสมรสเท่าเทียม หลังการต่สู้มายาวนานถึง 23 ปี
#เพศเลือกเอง #สมรสเท่าเทียม
ติดตามทุกข่าวสารเกี่ยวกับละครและวงการบันเทิง ได้ที่
FB : https://www.facebook.com/lakornonlinefan/
ยูทูป : https://www.youtube.com/channel/UCQAR4HLhUFJhx_-rRbaZXGA
IG : https://www.instagram.com/lakorn_online/
TikTok : https://vt.tiktok.com/ZSJCY5xQa/
#ยืนหนึ่งข่าวละคร #ละครออนไลน์