สายรุ้งต้นรัตนโกสินทร์ “สมร้าก & ตุย” ก่อนปักธง!
#Happy Pride Month 2024 VOL 1
เรื่อง : นรวัชร์ พันธ์บุญเกิด
เรารู้จักผู้หลากหลายทางเพศผ่าน “ขันที” ในสมัยกรุงศรีอยุธยา มีหลักฐานในหนังสือ จดหมายเหตุลาลูแบร์ฉบับสมบูรณ์ : ราชอาณาจักรสยาม โดย ซีมอง เดอ ลู ลาแบร์ แปลโดย สันต์ ท.โกมลบุตร เรื่องราวของคนกลุ่มนี้ ไม่ได้อยู่แค่ในวรรณคดี , นิทานพื้นบ้าน,ตำนานเทพเจ้าที่เล่าสืบกันมาเท่านั้น บุคคลที่ชื่อเสียงในประวัติศาสตร์ ไม่ว่าจะเป็นยุค-สมัย หรือ ชนชั้นใด อยู่ใกล้เราแค่เอื้อม ในยุค “สมบูรณาญาสิทธิราช” ซึ่งเคร่งครัดในระเบียบประเพณี วิธีการปฏิบัติ ก็มีเรื่องราวของคนที่รสนิยมทางเพศแตกต่างจากคนในสังคมปกติ .... ในอดีตมีหลายเรื่องถูกซุกซ่อนไว้ และเลือนหายไปตามเวลา บางเรื่องมีบันทึกไว้เป็นลายลักษณ์อักษร แต่ไม่มาก ในยุคแรก เริ่มต้นที่แวดวงชนชั้นสูง ทุกเรื่องมีบันทึก มากบ้าง น้อยบ้าง แต่ทุกคนมีสีสัน ชวนสนุก ชวนเศร้า น่าติดตามทั้งสิ้น !
บุคคลในประวัติศาสตร์เหล่านี้ เสมือนสิ่งยืนยันที่จดแจ้งให้รู้ว่า โลกนี้ไม่ได้มีแต่เพศชาย-หญิงเท่านั้น ! การแสดงตัวตนผ่านเรื่องราวของเขาและเธอ คือ การประทับรอยเท้าแห่งความแตกต่าง ไม่มีถูก ไม่มีผิด ผู้รู้ซึ้งย่อมเห็นความงดงามในความต่างนี้
‘หม่อมเป็ดสวรรค์’ เลสเบี้ยน สมร้าก สมัยร.3!
ไม่นานจากนี้ เราจะได้ชมละคร “หม่อมเป็ดสวรรค์” ซึ่งสะท้อนความรักในรูปแบบที่หลากหลาย ภายใต้บรรทัดฐานของความไม่เท่าเทียมในสังคมไทยช่วงต้นกรุงรัตนโกสินทร์ เป็นละครพีเรียดอิงประวัติศาสตร์เรื่องแรกของไทยพีบีเอส ที่จะกล่าวถึงคนที่มีตัวตนจริง ในตำหนักพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหมื่นอัปสรสุดาเทพ (พระนามเดิมคือ พระองค์เจ้าวิลาส) พระราชธิดาในรัชกาลที่ 3
บริษัท แม็กซ์ เมจิก เอ็นเตอร์ไพรส์ จำกัด โดย สถาพร นาควิไลโรจน์ เป็นทั้งผู้จัดและผู้กำกับฯ เขียนบทโดย ฐนธัช กองทอง ในละครเรื่องนี้ มี “บุคคลในประวัติศาสตร์” ทั้งหมด 11 ตัว ได้แก่
พระเจ้าราชวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าดาราวดี (สินจัย เปล่งพานิช) : “พระราชธิดา” ของสมเด็จพระบวรเจ้ามหาสุรสิงหนาท ในรัชกาลที่ 1 , พระองค์เป็น “พระชายา” ของสมเด็จวังหน้าในรัชกาลที่ 3 (สมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาศักดิพลเสพ) มีพระโอรสหนึ่งพระองค์คือ “พระเจ้าราชวรวงศ์เธอ เจ้าฟ้าอิศราพงศ์”
หม่อมขำ /หม่อมเป็ด (อัญรินทร์ ธีราธนันพัฒน์) : หม่อมห้ามของสมเด็จเจ้าวังหน้า (สมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาศักดิพลเสพ) ผู้เลือกทำตามหัวใจตัวเอง ยอมสละทุกอย่างเพื่อหญิงที่เธอรัก เป็นคนที่มีเสน่ห์ เก่งงานครัว
หม่อมสุด /คุณโม่ง (เฌอร์ลิษา เสรีวิบูรณ์กิจ) : หม่อมห้ามของสมเด็จเจ้าวังหน้า (สมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาศักดิพลเสพ) อ่านออกเขียนได้ เก่งด้านกวี ท่าทีก๋ากั่นเหมือนผู้ชาย เป็นข้าหลวงใกล้ชิดพระองค์เจ้าวิลาศ (กรมหมื่นอัปสรสุดาเทพ)
พระองค์เจ้าวิลาส / กรมหมื่นอัปสรสุดาเทพ (มณีรัตน์ คำอ้วน) : พระราชธิดาองค์ใหญ่ในรัชกาลที่ 3 เป็นสตรีสูงศักดิ์ที่ทั้งเก่งและทันสมัย พระสิริโฉมงดงาม มีพระทัยโอบอ้อมอารี รักศิลปะทุกแขนง
เจ้าจางวางหมอ / กรมหมื่นวงศาธิราชสนิท (นนทัช ธนวัฒน์ยรรยง) : พระราชโอรสในรัชกาลที่ 2 เป็นหมอถวายพระโอสถเจ้านาย ศึกษาวิชาแพทย์แบบดั้งเดิมและวิชาการแพทย์สมัยใหม่
พระองค์เจ้าสังข์ / พระองค์เจ้าลักขณานุคุณ (กิติกร โพธิ์ปี) : รูปงาม สุขุม อ่อนโยน เป็นน้องชายของพระองค์เจ้าวิลาศ มีพระธิดาซึ่งประสูติแต่หม่อมงิ้วคือหม่อมเจ้าโสมนัส ต่อมาภายหลัง พระธิดาได้รับการสถาปนาเป็นสมเด็จพระนางเจ้าโสมนัสวัฒนาวดี พระอัครมเหสีในรัชกาลที่ 4
หม่อมงิ้ว (ชุติมา สิงห์ใจชื่น) : เป็นหม่อมห้ามในพระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าลักขณานุคุณ พระราชโอรสในพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว และเป็นหม่อมมารดาในสมเด็จพระนางเจ้าโสมนัสวัฒนาวดี พระอัครมเหสีในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
สุนทรภู่ (อนุชิต สพันธุ์พงษ์) : เป็นกวีที่มีชื่อเสียง มีช่วงชีวิตอยู่ตั้งแต่รัชกาลที่ 1-4 ดังคำกล่าวที่ว่า “กวีสี่แผ่นดิน”
คุณสุวรรณ (หัสสยา อิสริยะเสรีกุล) : กวีสมัยรัชกาลที่ 3 มีใจรักการแต่งกลอนมาแต่เด็ก ถวายตัวทำราชการฝ่ายในตามเหล่าสกุล เป็นกวีที่มีฝีปากคมกล้า มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว
ปาน (ณภัค เจนจิตรานนท์) : ใฝ่รู้ หัวดี เรียนรู้ได้ไว มีไหวพริบ เห็นพ่อแม่ตายด้วยโรคระบาด จึงฝันอยากเป็นหมอเพื่อช่วยชีวิตคน
คุณพุ่ม (อริศรา วงษ์ชาลี) : คุณพุ่มเป็นธิดาของพระยาราชมนตรี (ภู่ ภมรมนตรี) ซึ่งเป็นข้าหลวงเดิมของรัชกาลที่ 3 เป็นกวีหญิงโสดฝีปากกล้า มีสำนวนกลอนเด่น มีความสามารถทางการว่าสักวาและเพลงยาว มีคารมคมคายมาก ได้สมญาว่า “บุษบาท่าเรือจ้าง”
เรื่องราวในครั้งกระโน้นมีว่า ...
พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหมื่นอัปสรสุดาเทพ สนใจงานศิลปะ โดยเฉพาะงานกวี ทรงชุบเลี้ยงกวีหลายท่านในตำหนัก เช่น สุนทรภู่ , คุณสุวรรณ งานเด่นๆของคุณสุวรรณ กวีหญิงผู้ไม่เหมือนใครคนนี้ มีไม่กี่เรื่อง เช่น พระมะเหลเถไถ (งานเสียดสี เขียนรู้เรื่องบ้าง ไม่รู้เรื่องบ้าง แต่อ่านแล้วเข้าใจ) , อณุรุทร้อยเรื่อง (นำเรื่องจากวรรณคดี 51 เรื่อง และ 144 ตัวละครมาร้อยเรื่องใหม่) , เพลงยาวหม่อมเป็ดสวรรค์ และ เพลงยาวเรื่อง พระอาการประชวร กรมหมื่นอัปสรสุดาเทพ เพลงยาว 2 เรื่องหลังนี้ เป็นการบันทึกเรื่องราวของวิถีชีวิตของสาวชาววัง รวมถึงการ “เล่นเพื่อน” (เลสเบี้ยน)ไว้ด้วย กรมหมื่นฯ สิ้นพระชนม์ลงเมื่อปี 2388 คุณสุวรรณจึงย้ายออกจากตำหนักตามประเพณี ท่านถูกคนสมัยนั้นกล่าวหาว่า พิกลจริต (วิกลจริต) เข้าทำนองเสียจริต มีสติฟุ้งซ่าน จนปี 2418 สมัยรัชกาลที่ 5 ก็ถึงแก่อนิจกรรม ในวัย 67 ปี
หม่อมเป็ดสวรรค์ เป็นความรักแบบเลสเบี้ยนของ “หม่อมสุด และ หม่อมขำ” เดิมที ทั้งสองเป็น “นางห้าม” ในสมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาศักดิพลเสพ ครั้นท่านสิ้นพระชนม์ ทั้งสองก็ย้ายมารับราชการในพระตำหนักของกรมหมื่นอัปสรสุดาเทพ ในพระบรมมหาราชวัง หม่อมสุดรู้หนังสือ เขียนกาพย์กลอนได้ ท่านจึงให้อ่านบทกลอนถวายตอนบรรทม หม่อมสุดมีบุคลิกอย่างชาย พูดจาไม่เกรงใจใคร ! ส่วนหม่อมขำ เป็นสาวน้อยเรียบร้อย ยามเดินกระมิดกระเมี้ยน เหตุที่นางฟันหลอจึงเอากะลามะพร้าวมาทำเป็นฟันปลอม แล้วเอาเส้นไหมผูกเข้ากับฟันแท้ ฟันหลุดให้เป็นที่อับอายแก่เจ้าตัวเสมอ ยังมีเรื่องเปิ่นๆ ขำๆ ของนางอีกเยอะ!
ทั้งสองผูกจิตเสน่หา... คืนหนึ่งเมื่อหม่อมสุดอ่านกลอนถวายท่านเสร็จ ก็คิดว่า เจ้านายหลับแล้ว ! จึงดับเทียน เอาผ้าคลุมเข้ากอดจูบกับหม่อมขำ ทรงเห็นเหตุการณ์ที่หม่อมสุดเอาผ้าคลุมคล้ายเชิดสิงโตที่ปลายเท้า จึงตั้งชื่อว่า “คุณโม่ง” ส่วนฉายาหม่อมขำเรียก “หม่อมเป็ด” เพราะท่าเดินกระมิดกระเมี้ยน! (อ่านในกลอนเพลงยาว หน้า 9)
ทั้งคู่ บางวันมีเรื่องแง่งอนกัน บางวันทะเลาะเบาะแว้งกัน เมื่อเรื่องเข้าหูท่าน ก็เรียกมาไต่สวนแต่เมื่อยอมรับผิด ท่านก็ให้อภัยไม่ถือโทษ นี่คือเรื่องราวย่อๆของ “เลสเบี้ยน” คู่หนึ่งในประวัติศาสตร์ต้นรัตนโกสินทร์ คู่นี้ “รอด” ! สมร้าก จ้า
...
‘เจ้าหญิงยวงแก้ว’ เลสเบี้ยน น้อยใจ โดดตึก
ตำหนักพระราชชายา เจ้าดารารัศมี เป็นตึกในพระบรมมหาราชวัง ระหว่างที่ทรงประทับอยู่ ณ พระตำหนักแห่งนี้ ทรงโปรดเกล้าฯ ให้พระประยูรญาติและเจ้านายฝ่ายเหนือเสด็จมาประทับอยู่ด้วย โปรดเกล้าฯ ให้ทุกพระองค์แต่งกายด้วยผ้าซิ่นแบบล้านนา ไว้ผมมวย รวมทั้งยังโปรดฯ ให้ศึกษาศิลปะดนตรีไทย ดนตรีสากล การขับร้อง และการฟ้อนรำ ส่วนพระองค์นั้นทรงสีซอและดีดจะเข้ได้ไพเราะมาก
พระประยูรญาติในตำหนัก อาทิ เจ้าหญิงทิพวัน ณ เชียงใหม่, เจ้าหญิงบัวชุม ณ เชียงใหม่, เจ้าหญิงยวงแก้ว สิโรรส, เจ้าหญิงคำเที่ยง ณ เชียงใหม่, แม่นายบุญปั๋น พิทักษเทวี, เจ้าหญิงฟองแก้ว ณ เชียงใหม่, เจ้าหญิงยวงคำ ณ เชียงใหม่, เจ้าหญิงบัวระวรรณ (บึ้ง) ณ เชียงใหม่ และนัดดาน้อยๆอีก 2 ท่านคือ เจ้าหญิงลัดดาคำ ณ เชียงใหม่ , เจ้าหญิงเรณุวรรณา ณ เชียงใหม่
เจ้าหญิงยวงแก้ว สิโรรส อาภัพมาตั้งแต่เด็กเพราะพ่อแม่แยกกัน พ่อคือ เจ้าน้อยคำคง สิโรรส ท่านเป็นผู้อื้อฉาวในตำนาน นักเลงใหญ่แห่งนครเชียงใหม่ จนมีฉายาว่า “เจ้าน้อยค่ำคน” ค่ำคน หมายถึง ข่มเหงชาวบ้าน นั่นเอง!
เมื่ออายุ 7 ขวบโดยเสด็จ "พระราชชายา เจ้าดารารัศมี" เข้ามาประทับในพระบรมมหาราชวัง ... 12 ปีผ่านไป ... เป็นสาวรุ่นวัย 19 หน้าตาดี นิสัย เข้มแข็ง เด็ดเดี่ยว แสนงอน แต่ดุดัน ! ราวกับถอดแบบจาก “เจ้าน้อยคำคง สิโรรส” ผู้เป็นพ่อ
ในปี 2449 เจ้าหญิงยวงแก้ว ไปชอบพอกับ ม.ร.ว. วงค์เทพฯ ซึ่งอยู่ตำหนักใกล้ๆกัน ซึ่งนางสาวหุ่นเป็นอีกคนในเกมรักนี้ และถือโอกาสโพทนาให้ร้ายไปทั่วทุกตำหนักข้างเคียงว่า เจ้าหญิงยวงแก้วเอาของล้ำค่าที่เจ้าดารารัศมีประทานให้ ไปปรนเปรอกับม.ร..ว. วงค์เทพ จนหมดสิ้น!
บรรดาข้าหลวง นางในตำหนักได้ข่าวนี้ ก็รีบแจ้นมากราบทูลเจ้าดารารัศมีว่า “เจ้าหญิงยวงแก้วเจอหลอกต้มตุ๋นแน่ๆ ถึงได้กล้าทำขนาดนี้” พระราชชายาซึ่งรักและเป็นห่วงเจ้าหญิงยวงแก้วมาก เพราะดูแลมาตั้งแต่เด็ก จึงเรียกมาอบรม ดุ เข้ม แอบขู่เล็กๆว่า ให้เอาของที่ให้ไปคืนมาทั้งหมด อีก 7 วันจะมาไต่สวนคดีความกันใหม่ และจะลงโทษให้สมความผิด แล้วส่งกลับไปอยู่เชียงใหม่”! ทำให้นางเสียใจมาก ...
ใครๆก็เชื่อ เรื่องปั้นแต่งของนางสาวหุ่นกันหมด เรื่องรักเพศเดียวกันกลายเป็นเรื่องตลก และนิยายรักต้องห้าม มีคนเดียวที่เชื่อในความบริสุทธิ์ของนางคือ เจ้าหญิงบัวชุม ณ เชียงใหม่ ซึ่งลงมาจากเมืองเหนือในคราวเดียวกันเมื่อ 12 ปีที่แล้ว ตอนนั้น เจ้าหญิงบัวชุมผู้นี้ ได้แต่งงานกับเจ้าอุตรการโกศล (ศุขเกษม)ไปแล้ว คืนนั้นเจ้าหญิงบัวชุมมาพักที่ตำหนักพระราชชายา เจ้าดารารัศมี เนื่องจากสามีไปราชการที่เชียงใหม่ ! เจ้าหญิงบัวชุมคิดว่า คำปลอบใจต่างๆคงให้ข้อคิดกับนางให้ได้คลายความเครียดลงบ้าง โดยหารู้ไม่ว่า ขณะที่เจ้าหญิงบัวชุมหลับสนิท ! เจ้าหญิงยวงแก้วก็ตัดสินใจเด็ดขาดที่จะเอาความตายพิสูจน์ความบริสุทธ์ของตนเอง เพราะไม่มีใครตัดสินให้ความยุติธรรมแก่นาง!
เธอก้าวเท้าขึ้นไปบนตึกชั้นสูงสุดของตำหนัก ... “ข้ามิได้ทำผิด ดังคนแกล้งใส่ความ” ! แล้วนางก็กระโดดจากตึกสู่พื้นเบื้องล่าง! ร่างของนางถูกหามส่งโรงพยาบาล โดยออกมาทางประตูผี สำราญราษฎร์ และสิ้นใจตายก่อนถึงโรงพยาบาล ....
“เลสฯ” รุ่นบุกเบิก ตุยแล้ว หนึ่ง!
พระองค์เจ้าไกรสร ทรงสวาทกับโขนผู้ชาย!
ป้าย “พระประวัติ” ในศาลากรมหลวงรักษ์รณเรศ วัดปทุมคงคาวรวิหาร ซึ่งประดิษฐาน “แท่นสำเร็จโทษ” จารึกว่า
กรมหลวงรักษ์รณเรศ เป็นพระราชโอรส ลำดับที่ ๓๓ ในพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก (ร.๑) และลำดับที่ ๒ ในเจ้าจอมมารดาน้อยแก้ว นามเดิม “พระองค์เจ้าชายไกรสร”
ประสูติ เมื่อวันจันทร์ ขึ้น ๒ ค่ำ เดือนยี่ ปีกุน จุลศักราช ๑๑๕๓ ตรงกับวันที่ ๒๖ ธันวาคม พ.ศ. ๒๓๓๔
ในรัชกาลที่ ๒ โปรดเกล้าฯ ให้สถาปนาเป็น กรมหมื่นรักษ์รณเรศ กำกับกรมสังฆการี
ในรัชกาลที่ ๓ โปรดเกล้าฯ เลื่อนเป็น กรมหลวงรักษ์รณเรศ กำกับกรมวัง
ในรัชกาลที่ ๓ โปรดเกล้าฯ ให้ กรมหลวงรักษ์รณเรศ เป็นแม่กองสร้างป้อม กำแพงเมืองฉะเชิงเทรา และสร้างเมืองฉะเชิงเทราใหม่ เพื่อเป็นเมืองหน้าด่านทิศตะวันออก พร้อมกันนี้ได้สร้างวัด ชื่อ วัดเมือง
ในรัชกาลที่ ๕ ได้พระราชทานนามวัดเมืองใหม่ว่า “วัดปิตุลาธิราชรังสฤษฎิ์” (แปลว่า วัดที่อาว์ของเจ้าแผ่นดินสร้าง) ในคราวเสด็จประพาสเมืองฉะเชิงเทรา พ.ศ. ๒๔๕๑
สิ้นพระชนม์ในรัชกาลที่ ๓ เมื่อวันพุธ แรม ๓ ค่ำ เดือนอ้าย ปีวอก จุลศักราช ๑๒๑๐ ตรงกับวันที่ ๑๓ ธันวาคม พ.ส. ๒๓๙๑ พระชันษา ๕๘ ปี
กรมหลวงรักษ์รณเรศ เป็นต้นสกุล พึ่งบุญ ณ อยุธยา
ก.ศ.ร. กุหลาบ บันทึกไว้ว่า “พระองค์ท่านเป็นจอมปราชญ์ จินตะกระวีบัณฑิตย์ ชาติ์ราชตะกูลสุริยวงศ์อันประเสริฐ” วารสารภาษาอังกฤษชื่อ Siam Repository ว่า “ทรงมีความรู้ด้านพุทธศาสนาอย่างดีเยี่ยม เหนือกว่าพระบรมวงศานุวงศ์อื่นๆ”
เรื่องพระองค์เจ้าไกรสร เป็นเรื่องที่มีสีสัน หลากหลายเรื่องราว แม้ว่า บางมุมของท่านถูกโฟกัสเรื่อง “ทรงสวาทกับโขนผู้ชาย” แต่วาระสุดท้ายที่ท่านถูกประหารชีวิตนั้นทรงมีความผิดอื่นๆอีกมาก เช่น เกลี้ยกล่อมหาไพร่พลซ่องสุม ส่อพิรุธว่าจะขบถ หลังสิ้นรัชกาลที่ 3 ทรงกล่าวว่า "ถ้าสิ้นแผ่นดินไปก็ไม่ยอมเป็นข้าใคร" ,ปัญหาของท่านกับ “พระภิกษุเจ้าฟ้ามงกุฏ” (พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4) มีอยู่เนืองๆ, ชำระคดีของราษฎรไม่ยุติธรรม , รับสินบนจากโจทก์และจำเลย , เบียดบังเงินเบี้ยหวัดและเงินขึ้นวัดพระพุทธบาทปีละหลายสิบชั่ง , นอกจากนี้ ยังมีบ่าวอีกหลายคนถูกลงโทษประหารในคราวเดียวกัน
การตัดสินโทษประหารชีวิตหม่อมไกรสร ก็เพื่อตัดปัญหาการชิงราชบัลลังก์หลังสิ้นรัชกาลที่ 3 และปูทางให้พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้สืบสันตติวงศ์ในเวลาต่อมา
วาระสุดท้าย พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ถอดยศจาก “กรมหลวง” เป็น “หม่อมไกรสร” ลงพระอาญาด้วยการสำเร็จโทษด้วยท่อนจันทน์ที่วัดปทุมคงคาราชวรวิหาร นับเป็นราชวงศ์องค์สุดท้ายที่โดนสำเร็จโทษด้วยวิธีนี้ , พระรูปของท่าน มีประดิษฐานใน ศาลกรมหลวงรักษ์รณเรศ ในฐานะผู้สร้างวัดเมือง (ปิตุลาธิราชรังสฤษฎิ์) จ. ฉะเชิงเทรา
พระองค์เจ้าไกรสรมีหม่อมหลายคน แต่ไม่ปรากฏชื่อ มีเพียงบุตรชาย-หญิงทั้งสิ้น 11 พระองค์ ทรงเลี้ยงโขนผู้ชายไว้มาก ภายหลังไม่ได้ร่วมหลับนอนกับหม่อมในวังเลย รัชกาลที่ 3 จึงโปรดให้เอาพวกโขนละครมาไต่สวน ได้ความว่า ว่า "...ทรงเป็นสวาทกับพวกละคร ไม่ถึงกับชำเรา แต่เอามือพวกละครและมือของพระองค์ท่านกำคุยหฐาน ของทั้งสองฝ่ายจนภาวธาตุเคลื่อน..." พูดง่ายๆก็เหมือนอาการตำน้ำพริก นั่นแหละ ! นี่เป็นรสนิยมทางเพศที่ระบุไว้ในเอกสาร แต่เรื่องนี้ไม่ใช่ความผิดร้ายแรงจนท่านโดนประหารแต่อย่างใด
ตุยไปแล้ว สอง! จากความผิดทางคดีความ แต่นิยมทรงสวาทกับโขนผู้ชาย !
มีชนชั้นสูงอีกหลายคนซึ่งมีความหลากหลายทางเพศ บ้างก็ตกหล่นไปตามกาลเวลา บางคนเราอาจจะได้แค่ เอ๊ะ ! เพราะคำตอบล่องลอยอยู่ในสายลม
หลังเปลี่ยนแปลงการปกครอง ข่าวคราวของประชาชนถูกเสนอผ่านหน้าหนังสือพิมพ์มากขึ้น เกือบ 100 ปี มาพร้อมข่าว และศัพท์แสงต่างๆที่ใช้เรียกคนกลุ่มนี้ แต่ละคำ ล้วนมีความหมายในเชิงลบ-เหยียด ! เช่น ถั่วดำ , ตุ๋ย , ตุ๊ด , ตีฉิ่ง,กะเทย, สาวประเภทสอง, ประเทือง ฯลฯ กลุ่มผู้หลากหลายต้องก้มหน้ารับ “คำเรียก” เหล่านี้ ไม่ว่าจะชอบหรือไม่ก็ตาม ! เวลาเปลี่ยน สังคมเปลี่ยน ปี 2024 ศัพท์ในความหมายเหยียดพวกนี้เริ่มหายไป ชุมชนนี้ขยายตัวมากขึ้นทุกปี จาก “Lesbian, Gay, Bisexual” แต่เดิมขยายเผ่าพันธุ์เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนเป็น LGBTQ+ เป็น LGBTQIAN+ และล่าสุด สังคมก้าวสู่ LGBTQQIP2SAA พร้อมจะเลือกเพศด้วยตัวเอง และมีแนวความชอบเฉพาะตัว !
เราจะขอปิดท้ายกับเขาคนนี้ !
“ประโนตย์ วิเศษแพทย์” สาวประเภทสอง ผู้อาภัพรัก!
ช่วงหนึ่งสังคมใช้และรู้จักคำนี้ “สาวประเภทสอง - กะเทย” แม้จะไม่มีความรู้และความเข้าใจคนกลุ่มนี้ก็ตาม !
เมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม 2481 สมาชิกใหม่ของครอบครัว “วิเศษแพทย์” ของพ่อยงค์ วิเศษแพทย์ และหม่อมหลวงบุนนาค (นามสกุลเดิมคือ ฉัตรกุล) เด็กชายประโนตย์ เกิดในครอบครัวนี้ เป็นลูกคนที่ 2 ในจำนวนพี่น้อง 5 คน (ประนอมนิตย์, ประโนตย์, ปราณี, นิยมพร และ จันทราทิพย์) ครอบครัวเป็นเศรษฐีที่ดินในย่านสวนพลู มีที่ดินให้คนได้อยู่อาศัย เช่าทำกิน สวนพลูสมัยนั้น ไม่ได้ทันสมัยอย่างทุกวันนี้ พื้นที่ส่วนใหญ่เป็นสวน ชาวบ้านนิยมปลูก “ใบพลู” กัน ! บางคนปลูกผัก ผลไม้ และเลี้ยงหมู เป็ดไก่ สมัยก่อน จะขนส่ง เข้า-ออก ต้องใช้เรือ
ประโนตย์ เด็กชายกิริยาเรียบร้อย ซึมซับมาจากพี่น้องที่เป็นผู้หญิง ช่วงอายุ 12 โนตย์ต้องขี่จักรยานออกทางเล็กๆเพื่อไปโรงเรียนในกรมฯ (โรงเรียนนาฏศิลป์ -สถาบันบัณฑิตพัฒนศิลป์) แม่รักลูกชายคนนี้มาก ถึงขนาดต่อเติมบ้านให้เพื่อนๆที่โรงเรียนมาเม้าท์มอยกันที่บ้าน เรียนนาฎศิลป์ ได้ร่ายรำในบท “นางสีดา” ต่อมาได้ใช้ชื่อตัวละครนี้ไปประกวดเวทีสาวประเภทสอง โนตย์เรียนไม่จบ ทางโรงเรียนจับได้ว่าไปลงประกวดจากข่าวหนังสือพิมพ์ แม่ยกรายได้จากค่าเช่าบ้านให้โนตย์เป็นค่าใช้จ่าย สมัยนั้น มีประกวดกันเยอะ ทั้งกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด โนตย์นำเส้นผมจากร้านมาทำวิก หน้าอกหน้าใจก็โกยนมให้เกิดร่อง .... ทุกเวทีคว้ามงกุฎมาเสมอ จนได้ฉายาว่า “สีดา นางงาม 50 มงกุฎ” รางวัลเก็บไว้จนเต็มตู้โชว์ สาวสอง พูดกันว่า “ถ้านังโนตย์ลงประกวด ขอบาย ไม่สู้ด้วย” ภายหลัง โนตย์ตัดสินใจลาเวที สละรางวัลให้กับสาวสองคนอื่นๆได้ชื่นชมกับความสวยกันบ้าง !
ในราวปี 2500 มีการประกวดที่บริเวณท่าช้าง นอกจากขันน้ำ พานรองแล้ว ยังเป็นครั้งแรกในประเทศไทยที่จะได้เงินสดๆอีก 500 บาท เพื่อนของเธอจึงมาชักชวนให้ไปประกวดทิ้งทวนครั้งสุดท้าย แรกๆว่าจะไม่ แต่เจอกล่อมอยู่พักใหญ่ ก็ตกลง! คืนนั้น รางวัลเป็นของเธอ ค่ำคืนนั้น เธอได้รู้จักกับผู้ชายคนหนึ่ง เขาชื่อ “บูลย์” หรือ สมบูรณ์ มีอาชีพรับจ้างเข็นผักอยู่ที่ปากคลองตลาด
เธอไม่ได้รังเกียจที่เขามีฐานะต่ำต้อยกว่าครอบครัวเธอ โนตย์อยากจะครองครองเป็นเจ้าของบูลย์ทุกวินาที ลึกๆแล้ว คงกลัวต้องเสียผู้ชายให้กับผู้หญิงแท้ๆ เธอกลายเป็นคนขี้หึง เขากลับบ้านผิดเวลาไม่ได้เป็นต้องทะเลาะเบาะแว้งกันเป็นประจำ โนตย์ใจร้อน ไม่ไว้หน้า คิดว่าเป็นเจ้าข้าวเจ้าของบูลย์ บางครั้งเข้าทุบตีจนต้องไปเย็บถึง 30 เข็ม บูลย์ทนบทบู๊ล้างผลาญมานานถึง 8 ปี ทุกอย่างก็จบลง บูลย์ตัดสินใจมีผู้หญิงคนใหม่ ไม่ร่ำลาและจากโนตย์ไปอย่างไม่ใยดี
โนตย์ใช้ชีวิตไร้จุดหมายไปวันๆ ผ่านค่ำคืนที่เปลี่ยวเหงาด้วยการเที่ยวและดื่มเหล้า เมากับเพื่อน ถึง 2 ปีเต็ม เพื่อให้ “ลืม” คนรัก !
แล้วผู้ชายคนใหม่ก็ก้าวเข้ามาในชีวิตประโนตย์ วิเศษแพทย์ เพื่อนๆเรียกว่า “ชีพ” ชื่อจริงคือ สมชาติ แก้วจินดา เขารับจ้างขับสามล้อ ฐานะยากจน อาศัยอยู่ในสลัมย่านทุ่งมหาเมฆ วันที่เขาขับรถมาส่งโนตย์กับเพื่อน เขามองกระจกส่องหลัง แม้โนตย์เมา ฟุบหลับ และทรุดโทรมไปมาก แต่ก็ยังเหลือเค้าความงามอยู่
โนตย์ลืมบูลย์ได้ เมื่อชีพก้าวเข้ามาในชีวิต แต่พิษรักแรงหึงก็มาอาละวาดอีกจนได้ หนนี้หนักหนาสาหัสกว่าเก่า เพราะชีพหล่อเหลากว่าบูลย์ ที่เพื่อนตั้งชื่อเล่นว่า “ชีพ” มาจากชื่อพระเอก “ชีพ ชูชัย” ในภาพยนตร์เรื่องเล็บครุฑ ที่ลือชัย นฤนาถ เล่นเป็นพระเอก ! ชีพในสมัยนั้น เป็นไอ้ต้าวหนุ่มสุดฮ็อต ขวัญใจแม่ค้าย่านตลาดบางรัก พร้อมประเคน “มาลัย” ถึงหน้ารถให้โดยไม่ต้องซื้อเลย
พอโนตย์รู้เรื่อง “หัวร้อนไฟลุกทันที” อยู่บ้านใส่ชุดไหนไปชุดนั้น บุกตลาดบางรักด่าอาละวาด... แม่งหมด “ไอ้ อี ทุกตัว อย่ามายุ่งกับผัวกู!” จนต้องไปจบคดีกันที่โรงพัก อันที่จริง ... ชีพรักโนตย์มาก หาเงินได้ก็ให้เมียเก็บหมด เพื่อป้องกันข้อครหาว่า มาเกาะเมียกิน ! ต่อมา โนตย์ เช่ารถแถวให้ชีพขับส่งผู้โดยสารแทนรถสามล้อ โดยตัวเธอนั่งคู่เป็นแม่ย่านางคอยเก็บค่าโดยสารและคุมผัวทุกฝีก้าว นับวันชีวิตของชีพเหมือนถูกล่ามด้วยโซ่ตรวน กระดิกไปไหนแทบไม่ได้ ! ทั้งคู่เคยสาบานรักที่วัดพระแก้ว
“ถ้าเราไม่ซื่อสัตย์ต่อกันก็ขอให้ตายด้วยกัน สีดาตายก่อน ชีพจะต้องตามไป แต่ถ้าชีพตายก่อน สีดาจะตามไป”
ระยะหลัง โนตย์เริ่มเรียกร้องความสนใจหนักขึ้น เธอดื่มยาฆ่าแมลงหมายจะฆ่าตัวตายหลายครั้ง หลายวาระ เบื่อหน่ายกับชีวิต อยากตายให้พ้นๆ ! ทั้งที่ชีพไม่เคยนอกใจ แต่กลับบ้านช้าเพราะมีงานต่อเนื่อง
ในที่สุด การกินยาฆ่าแมลงครั้งสุดท้ายก็มาถึง วันนั้น บ้านสวนพลูวุ่นวายกันมาก เพราะต้องเอาโนตย์ไปล้างท้องโรงพยาบาล “ปราโมทย์ คชสุนทร” นักหนังสือพิมพ์ สามีของปรานี น้องสาวของโนตย์ หยิบขวดยาในห้องนอนไปซ่อนไว้บนศาลพระภูมิ ประโนตย์ วิเศษแพทย์ เสียชีวิตที่โรงพยาบาล ศพตั้งที่วัดหัวลำโพง เมื่อ 2 พฤษภาคม 2510 ชีพรู้ข่าวในคืนนั้น ร้องไห้อย่างหนักรีบมาที่วัดจะตรงเข้าไปกอดศพ แต่ศาลาปิดแล้ว ทางบ้านตั้งใจไว้ศพโนตย์ 100 วันก่อนเผา
รุ่งขึ้น ซีพบวชเณรอุทิศส่วนกุศลให้โนตย์ ผ่านงาน 3 วันเก็บศพแล้ว ในช่วงเย็น สามเณรชีพได้เดินขึ้นกุฏิบอกหลวงตาว่า อยากสึกคืนนี้ !? หลวงตามองไปเห็นไม่มีเงาหัว เลยบอกว่า “อยู่อีกสักคืนเถอะ พรุ่งนี้เช้าจะสึกให้ มานอนที่กุฏิหลวงตาก่อนก็ได้” สามเณรชีพเดินกลับกุฏิ และปลดจีวรด้วยตัวเอง เดินออกจากวัดหัวลำโพงไปที่บ้านซอยสวนพลูอีกครั้ง
ชีพคงตัดสินใจและเตรียมการบางอย่างในใจแล้ว เขาบอกพี่ๆให้ช่วยนำ พัดลม โทรทัศน์ ไปจำนำ ตอนกลางคืนนอนสะอึกสะอื้นกอดรูปบานใหญ่ที่โนตย์ถ่ายที่ “ห้องภาพฉายาจิตรกร” สมัยที่เป็น “สีดา สาวสวยประเภทสอง”
13 วันต่อมา วันที่ 15 พฤษภาคม อยู่ดีๆ สายตาของชีพคงจะเหลือบไปเห็นขวดยาฆ่าแมลงที่ศาลพระภูมิ จึงนำไปดื่มต่อ โดยเขียนจดหมายสั่งลาทุกคนว่า “ให้ช่วยนำเงินจากการจำนำของไปทำศพผม และให้พี่ๆ ช่วยเป็นภาระดูแลแม่ด้วย”
ณ โรงพยาบาล เขานอนตายบนเตียงที่โนตย์เคยนอนตายเมื่อ 13 วันที่แล้ว
ศพของโนตย์และชีพ ถูกนำมาตั้งไว้คู่กัน ณ ศาลาวัดหัวลำโพงเพื่อทำพิธี หนังสือพิมพ์ได้ลงข่าวนี้เมื่อ 17 พฤษภาคม 2510 หลังงานศพ ครอบครัวของชีพก็ย้ายออกจากสลัมย่านทุ่งมหาเมฆ และไม่พบอีกเลย
ความรักของเขาและเธอเป็นที่มาของเพลง “สีดา” ที่ขับร้องโดย “แจ้” ดนุพล แก้วกาญจน์
ตุยอีกหนึ่ง ! เป็นโศกนาฏกรรมรายที่ 3... ในยุคแรกๆ ขอจบแต่เพียงนี้ ! เพราะหลัง 2510 เรื่องราวของคนในชุมชนนี้เริ่มอยู่ในสายตาของผู้คนในสังคม จากรุ่นสู่รุ่น ! ...
ภาพ - ข้อมูล บางส่วนจากอินเทอร์เน็ต
(สัปดาห์หน้า พบกับ Happy Pride Month 2024 VOL 2)
หมายเหตุ - ข้าหลวง-นางใน (ในรูป) ประกอบด้วย
เจ้าดารารัศมี พระราชชายาในรัชกาลที่ 5 ทรงฉายพระรูป พร้อมด้วยข้าหลวงนางใน
(นั่งล่างสุด นับจากซ้าย)
: คุณบุญปั๋น (คุณหญิงบุญปั๋น ราชไมตรี สิงหลกะ)
: เจ้าทิพวัล ณ เชียงใหม่
: เด็กหญิงแอ๊ว ลูกช่างทำพระเกศา
: เจ้าเรณุวรรณา ณ เชียงใหม่ (นั่งเกาะขา)
: เจ้าฟองแก้ว ณ เชียงใหม่
(บนแถว ๒ นับจากซ้าย)
: เจ้าบัวชุม ณ เชียงใหม่
: เจ้าเครือคำ ณ เชียงใหม่ (ท่ายืนซ้าย)
: เจ้าคำเที่ยง ณ เชียงใหม่
: พระราชชายาดารารัศมี
: เจ้าลดาคำ ณ เชียงใหม่
: เจ้าบัวระวรรณ ณ เชียงใหม่ (ท่ายืนขวา)
(ยืนกลางบนสุด)
: เจ้ายวงแก้ว สิโรรส
ขอขอบพระคุณเจ้าของภาพ / ลงสี
Cr. S.PHORMMAS COLOURLZATIONS
Cr. ชมรมล้านนาประเทศ
เรียบเรียงโดย : Yung Yung
“LGBTQQIP2SAA” หมายถึง
L – Lesbian (เลสเบี้ยน) กลุ่มผู้หญิงที่สนใจหรือดึงดูดผู้หญิงด้วยกัน
G – Gay (เกย์) กลุ่มผู้ชายที่สนใจหรือดึงดูดผู้ชายด้วยกัน
B – Bisexual (ไบเซ็กชวล) กลุ่มที่สนใจทั้งชายและหญิง
T – Transgender (ทรานส์เจนเดอร์) ผู้ที่มีเพศสภาพปัจจุบันต่างจากเพศสภาพตอนกำเนิด
Q – Queer (เควียร์) ผู้ไม่ระบุเพศให้ตัวเอง ชอบได้ทั้งหมด
Q – Questioning (เควสชันนิ่ง) ผู้ที่ยังคงสำรวจตัวเอง ตั้งคำถามกับอัตลักษณ์ทาฃเพศตัวเอง
I – Intersex (อินเตอร์เซ็กส์) ผู้ที่เกิดมาพร้อมกับอวัยวะหรือฮอร์โมนเพศทั้งชายและหญิง
P – Pansexual (แพนเซ็กชวล) ผู้ที่รักได้ทุกเพศ มีขอบเขตกว้างกว่าไบเซ็กชวล
2S – Two Spirit (ทู สปิริต) กลุ่มที่มีจิตวิญญาณเป็นทั้งเพศชายและเพศหญิงในร่างเดียวกัน
A – Asexual (เอเซ็กชวล) กลุ่มที่ไม่โฟกัสด้านความรู้สึกหรือความต้องการทางเพศ
A – Allies (แอลลาย) ผู้ที่สนับสนุนและยอมรับในกลุ่มหลากหลายทางเพศ โดยที่ตัวเองไม่ได้มีอัตลักษณ์ในกลุ่มหลากหลายทางเพศ
ติดตามทุกข่าวสารเกี่ยวกับละครและวงการบันเทิง ได้ที่
FB : https://www.facebook.com/lakornonlinefan/
ยูทูป : https://www.youtube.com/channel/UCQAR4HLhUFJhx_-rRbaZXGA
IG : https://www.instagram.com/lakorn_online/
TikTok : https://vt.tiktok.com/ZSJCY5xQa/
#ยืนหนึ่งข่าวละคร #ละครออนไลน์